บทที่ 1058 จ้าวจื่อชงจากตระกูลจ้าว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1058 จ้าวจื่อชงจากตระกูลจ้าว

บทที่ 1058 จ้าวจื่อชงจากตระกูลจ้าว

จ้าวจื่อชงคนนี้ขี่ม้าเที่ยวเล่นในย่านใจกลางเมือง และเกือบทำให้ประชาชนบางคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หากนางคนนี้ไม่มีความกล้าหาญ คาดว่าคงมีคนได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้

แทนที่จะขอบคุณหญิงสาว จ้าวจื่อชงกลับตำหนิหญิงสาวและกล่าวหาว่าความผิดทั้งหมดเป็นของนาง

กู้เสี่ยวหวานเห็นหญิงคนนั้นถูกจ้าวจื่อชงคุกคามไม่หยุด และไม่มีทางที่จะปล่อยหญิงสาวไป แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด นางจึงมีความกังวลและคิดว่าต้องช่วยหญิงคนนี้ให้ได้

หญิงสาวถูกขวางไว้และสะบัดไม่หลุดจากจ้าวจื่อชง ใบหน้าของนางแดงก่ำ “เจ้าหลบไปให้พ้น!”

น้ำเสียงของนางผะแผ่ว และไม่มีผู้ใดสนใจนางเลยแม้แต่น้อย

ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนกล้าหาญ ครั้นเห็นผู้คนมากมายรอบตัวนาง นางไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย นางเป็นผู้หญิงกล้าหาญที่ช่างหาได้ยากจริง ๆ

เพียงแค่มอง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกถูกชะตากับหญิงคนนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพบเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางรุดขึ้นหน้าฉับไวและเอ่ยบางอย่างกับหญิงคนนี้สองสามคำ

“คุณชายจ้าว” กู้เสี่ยวหวานเบียดกายแทรกระหว่างคนทั้งคู่ ครั้นผู้คนรอบ ๆ เห็นว่าคือกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงหลีกทางให้กู้เสี่ยวหวานด้วยความเคารพยำเกรง

จ้าวจื่อชงสบถอย่างรุนแรง เขาไม่ได้คาดหวังว่ากู้เสี่ยวหวานจะปรากฏตัวขึ้น มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้างดงามไร้ที่ติของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและโค้งคำนับให้กู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่”

กู้เสี่ยวหวานตอบรับ จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ช่างมีชีวิตชีวาจริง ๆ ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์น่าสนใจใดเกิดขึ้นที่นี่”

ชาวบ้านคนหนึ่งรีบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้กู้เสี่ยวหวานฟังทันที

บนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ อยู่เสมอ และดูเหมือนว่านางจะไม่เห็นด้วยที่จะต้องมีคนรับผิดชอบเรื่องนี้

หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ จ้าวจื่อชงก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “เสี้ยนจู่ นางทำให้ม้าของข้าตกใจ และข้าก็พลาดท่าตกลงมาจากหลังม้า ร่างกายของข้าเจ็บปวดราวกับกระดูกทั้งร่างจะแตกสลาย ท่านบอกข้าทีเถิดว่านางควรจะชดใช้หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “นั่นคือสิ่งที่ควรกระทำ”

จ้าวจื่อชงไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะออกหน้าแทนตนเอง ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มพึ่งพอใจ

“ทว่า…” กู้เสี่ยวหวานไม่รีรอให้เขาพูดจบ และเอ่ยขึ้นขัดความดีใจของอีกฝ่าย “ม้าของเจ้าเกือบจะชนคน หากหญิงคนนี้ไม่หยุดเอาไว้ เกรงว่ามันคงจะทำอันตรายต่อผู้คน และอาจจะทำให้เจ้าถูกจับ ฐานการขี่ม้าในเมืองที่พลุกพล่านและทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย นั่นถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง”

จากนั้นจ้าวจื่อชงไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะมาพูดสิ่งดี ๆ กับผู้หญิงคนนี้ เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็กลับมารู้สึกตัวทันทีและพูดด้วยความไม่พอใจ “เสี้ยนจู่ ท่านกำลังพูดอะไร นางไม่ผิดเลยสักนิดหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานหัวเราะและมองไปที่จ้าวจื่อชง เมื่อจ้าวจื่อชงถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“คุณชายจ้าว ตอนนี้เจ้ายังสบายดี ยังสามารถยืนคุยกับข้าได้อย่างปกติ”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทันใดนั้น ทุกคนก็เข้าใจความหมายของกู้เสี่ยวหวาน และหัวเราะครื้นออกมาทันที

ตอนนี้จ้าวจื่อชงรู้แล้วว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังใช้คำพูดของเขาเพื่อปิดปากเขา ดังจึงเก็บสีหน้าไม่พอใจไม่อยู่อีกต่อไป

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจจ้าวจื่อชง หากแต่ก้าวเข้าไปถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง “แม่นาง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

หญิงสาวอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี นางมีใบหน้ากลมและรูปร่างกำยำ ลักษณะที่ไม่เหมือนหญิงสาวจากครอบครัวทั่วไป

แม้ว่าภายนอกจะดูธรรมดา หากเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าตกตะลึง ซึ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะหมิ่นประมาท

อาจั่วยิ้มจนดวงตาหรี่ลงจนไม่สามารถมองเห็นดวงตาของนางได้อีกต่อไป นางลอบมองกู้เสี่ยวหวาน และเห็นว่ากลิ่นอายของกู้เสี่ยวหวานค่อนข้างคล้ายกับเจ้านายของนาง

หญิงสาวคลี่ยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของแม่นาง ข้าไม่เป็นอะไร”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกชื่นชมหญิงประเภทนี้ หญิงสาวที่ดึงดาบเพื่อช่วยเหลือคนไร้ทางสู้ต่อต้านความอยุติธรรม

จ้าวจื่อชงคนนี้ช่างเป็นคนที่น่ารำคาญเสียจริง

กู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าอาจั่วไม่เป็นอะไร นางจึงหันศีรษะมองไปที่จ้าวจื่อชง

“คุณชายจ้าว ผู้หญิงคนนี้กระทำความดี หากเมื่อครู่นางไม่ยื่นมือมาช่วย ข้าเกรงว่าจะมีวิญญาณอีกดวงอยู่ใต้กีบม้าของเจ้า เจ้าไม่กลัววิญญาณจะมาขอคำอธิบายจากเจ้ากลางดึก หรือ?”

เดิมทีจ้าวจื่อชงเป็นคนขี้ขลาด หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ตอนแรกเขาตกใจมากและนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะแสดงท่าทางหวาดกลัว “เสี้ยนจู่ ท่านอย่ามาทำให้ข้ากลัว”

เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขา กู้เสี่ยวหวานก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ล่อเล่น “ข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร ถ้าชีวิตดี ๆ ของใครบางคนต้องสูญเสียไปจากน้ำมือของเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะได้อยู่อย่างสงบสุขหรือไม่”

จ้าวจื่อชงอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปี และยังมีความเกรงขามต่อพลังลึกลับและเทพเจ้าอีกด้วย ครั้นได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที แต่เนื่องจากชื่อเสียงและภูมิหลังของตระกูลจ้าวในเมืองหลิวเจีย เขาจะกลัวสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดได้อย่างไร

ทันใดนั้น เขาตะโกนอย่างไม่พอใจ “เสี้ยนจู่อันผิง ข้า จ้าวจื่อชงเป็นคนที่กล้าหาญมาโดยตลอด ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณอะไรพรรค์นั้นหรอก”

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเขายังทำปากแข็ง แต่เมื่อเห็นดวงตาลุกลี้ลุกลนดวงนั้น เกรงว่าหัวใจของเขาจะเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาแล้ว

นางจึงเอ่ยสิ่งที่ทำให้เขาตกใจอีกครั้ง “คุณชายจ้าว เจ้าบอกว่าไม่กลัวสิ่งเหล่านั้น แต่สวรรค์ล้วนจับตามองอยู่ หากเดินทางไปไหนในยามค่ำคืนและพบกับวิญญาณ ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่กลัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่กลัว หากวิญญาณบนร่างของเจ้ามีมากเกินไป ต่อจากนี้ไป เวลาเจ้าไปไหนในยามค่ำคืน วิญญาณทั้งหมดอาจจะกำลังตามเจ้าอยู่ เพียงแค่เจ้าหันมาก็จะเห็นเหล่าวิญญาณของคนที่เจ้าเคยทำร้ายเดินตามมาด้านหลัง”

จ้าวจื่อชงเป็นคนเสเพล กิน ดื่ม และเล่นทั้งวันทั้งคืน และกระทำสิ่งเลวร้าย

แต่เนื่องจากตระกูลจ้าวไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จ้าวจื่อชงคนนี้ก็ขี้ขลาดและมักจะทำเรื่องเล็กที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนอื่น ถ้าให้เขาทำร้ายผู้อื่นจริง ๆ เขาก็ไม่กล้าพอ

แค่เห็นกู้เสี่ยวหวานตำหนิตัวเองเพราะหญิงสาวคนนั้น เขาก็เก็บอารมณ์คุกรุ่นเอาไว้ไม่อยู่

เขาจะยังจำสถานะปัจจุบันของกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างเริ่มชี้มาที่ตนเอง จ้าวจื่อชงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนลิงที่ถูกผู้อื่นเยาะเย้ย

——————————————————————–