บทที่ 1059 รับอาจั่วเข้ามา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1059 รับอาจั่วเข้ามา

บทที่ 1059 รับอาจั่วเข้ามา

ใบหน้าของชายหนุ่มบูดบึ้งไม่น่ามอง ครั้นเห็นอารมณ์ของจ้าวจื่อชงกำลังคุกรุ่น ชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนคนรับใช้ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจว่า อีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่สามารถรุกรานได้

หากเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เกรงว่าเมื่อจ้าวจื่อชงเหยียบย่ำไปที่ใดในเมืองหลิวเจียคงไม่มีผู้ใดกล้ารุกราน แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป

ตอนนี้คนที่สามารถเดินเล่นภายในเมืองหลิวเจียหรือแม้กระทั่งเมืองรุ่ยเสียนโดยไม่มีผู้ใดกล้ารุกรานได้มีเพียงเสี้ยนจู่ตรงหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียว

ไม่ใช่แค่ลวี่เทา แม้แต่เจ้าเมืองรุ่ยเสียนยังต้องคุกเข่าเมื่อพบเจอกู้เสี่ยวหวาน

คนรับใช้กลัวว่าจ้าวจื่อชงจะพูดอะไรผิด และเกิดทำให้กู้เสี่ยวหวานขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงรีบคว้าจ้าวจื่อชงที่กำลังเดือดดาลไว้ “นายท่าน ท่านจะโกรธไม่ได้ คนตรงหน้าท่านคือเสี้ยนจู่ นางคือคนที่เราไม่สามารถรุกรานได้ นอกจากนี้คนที่อยู่ข้างนางก็รู้ศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเรามีแต่จะเสียเปรียบ”

หลังจากที่จ้าวจื่อชงได้ยินคำพูดของคนรับใช้ เขาก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างไม่พอใจ แต่ก็เห็นกู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา

ในหัวใจของจ้าวจื่อชงมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกัน

จ้าวจื่อชงทั้งชื่นชมและรู้สึกไม่พอใจกู้เสี่ยวหวานในเวลาเดียวกัน

ก่อนหน้านี้กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธแม่สื่อและแม่ของเขาอย่างไม่ไว้หน้า และปฏิเสธที่จะแต่งงานกับตระกูลจ้าว

จ้าวจื่อชงยังได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของกู้เสี่ยวหวานจากฮูหยินจ้าวหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวาน

ดังนั้นในบางครั้งเขาจึงไปทานอาหารที่ร้านจิ่นฝู และได้พบเจอกู้เสี่ยวหวานหลายครั้ง

ครั้งนี้เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้รับการแต่งตั้งเป็นเสี้ยนจู่ หากเขาสามารถแต่งงานกับกู้เสี่ยวหวานได้จริง ด้วยสถานะของตระกูลจ้าวและสถานะของกู้เสี่ยวหวาน ตระกูลเจียงที่มักจะกดขี่พวกเขาจะต้องหลีกทางให้

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเจียงมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่แต่เพียงตระกูลเดียวในเมืองหลิวเจีย

หากใช้ประโยชน์จากสถานะของกู้เสี่ยวหวานเพื่อเหยียบย่ำตระกูลเจียงได้จริง ๆ

ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ ความขุ่นเคืองและความไม่พอใจเมื่อครู่พลันหายวับไปในพริบตา ก่อนจะคลี่ยิ้มประจบประแจง “เสี้ยนจู่พูดถูกแล้ว ข้าจะไม่ขี่ม้าในเมืองอีก และจะไม่ทำมันอีกต่อไปแล้ว”

จ้าวจื่อชงรีบให้คำสัญญาว่าเขาจะไม่ทำสิ่งนั้นอีกในอนาคต เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงเกิดความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หากแต่ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก จากนั้นจึงพูดว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รีบไปขอบคุณล่ะ หญิงคนนี้ช่วยชีวิตเจ้าไว้”

จ้าวจื่อชงไม่รู้ว่าทำไม หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็ปรี่เข้าไปขอโทษอาจั่วอย่างเชื่อฟัง

“ขอบคุณแม่นางท่านนี้”

อาจั่วพยักหน้าตอบรับ “รู้ว่าตัวเองผิดก็ดีแล้ว และในอนาคตเจ้าไม่ควรขี่ม้าในเมืองอีก”

จ้าวจื่อชงคนนั้นจากไปด้วยความนอบน้อม มันทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่คาดคิดว่าฮูหยินจ้าวที่หยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการจะมีลูกชายที่เชื่อฟังเช่นนี้

เมื่อเห็นเขาจากไป กู้เสี่ยวหวานจึงรีบเข้าไปสำรวจร่างกายของหญิงคนนั้นทันที เมื่อครู่รถม้าของจ้าวจื่อชงแล่นมาด้วยความเร็วที่มากเกินไป อาจั่วที่เห็นเหตุการณ์นั้นเข้าไปกระชากเด็กหญิงคนหนึ่งออกมาก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อมือ หากแต่อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรงนัก

กู้เสี่ยวหวานรีบพาอาจั่วไปที่โรงหมอ และหลังจากที่ท่านหมอพานตรวจดูแล้ว เขาก็บอกว่าอาการของนางไม่ได้สาหัสนัก

“สำเนียงของหญิงสาวผู้นี้ ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่คนท้องถิ่น” ระหว่างทางกลับ กู้เสี่ยวหวานถามถึงพื้นเพความหลังของอาจั่ว

ดังนั้นอาจั่วจึงบอกกู้เสี่ยวหวานว่าตนเองเป็นคนไร้บ้าน และที่มาเมืองหลิวเจียเพื่อหาเลี้ยงชีพ

ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินนางบอกว่าคนในครอบครัวนางเสียชีวิต นางใช้ชีวิตจมอยู่กับความเศร้ามานาน และต้องออกร่อนเร่เพื่อหาเลี้ยงชีพไปทั่วดินแดน

อาโม่กำลังขับรถม้า และเมื่อเขาได้ยินอาจั่วบอกว่าตัวเองเป็นคนไร้บ้านและเร่ร่อนไปทั่ว มันเป็นเรื่องจริงและจริงใจ ซึ่งต่างทำให้คนฟังรู้สึกประทับใจ

เมื่อคิดดูแล้ว เรื่องนี้น่าจะสร้างความประทับใจให้กู้เสี่ยวหวานได้ไม่น้อย

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประทับใจจริง ๆ แต่นางยังไม่ได้พาหญิงสาวกลับบ้านไปในทันที

“แม่นางจั่ว ถ้าไม่รังเกียจ ทำไมเจ้าไม่มาช่วยงานในร้านอาหารของข้าล่ะ อีกอย่างเจ้าจะได้มีที่พักด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง”

กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนประเภทที่จะพาใครสักคนกลับบ้านทันที นางยังต้องการสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายเสียก่อน เมื่อนางเห็นว่าภูมิหลังของอาจั่วไม่ดีนัก

ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

หากชีวิตของนางน่าสงสารจริง ๆ คงจะดีไม่น้อยหากให้ที่พักในร้านจิ่นฝูและมีอาหารสามมื้อต่อวัน

เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ ดวงตาของอาจั่วเป็นประกาย “เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณคุณหนูแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานจัดให้อาจั่วอยู่ในครัว ล้างจาน จุดไฟ ช่วยทำงาน และมีอาหารให้สามมื้อต่อวัน ซึ่งนับว่าไม่เลว

ในร้านอาหาร อาจั่วขยันหมั่นเพียรและทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับกู้เสี่ยวหวานได้มาก

ไม่ใช่แค่คนในครัวเท่านั้น แม้แต่คนในร้านอาหารทั้งหมดยังบอกว่าอาจั่วทำงานอย่างหนัก และสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ฉินเย่จือกลับมาจากเมืองรุ่ยเสียน และได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานได้รับผู้หญิงเข้ามาในร้านจิ่นฝู ดังนั้นเขาจึงติดตามกู้เสี่ยวหวานไปเพื่อลอบสังเกตการณ์หญิงคนนั้น

และยังคุยกับกู้เสี่ยวหวานว่านางยังขาดสาวรับใช้ข้างกาย ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงคิดว่ามันเหมาะสม ที่จะรับสาวใช้ที่วางใจได้

กู้เสี่ยวหวานรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ และสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านตระกูลเจียงครั้งล่าสุดก็เป็นสิ่งเตือนสตินางเป็นอย่างดี

แม้ว่าอาโม่จะอยู่ข้างนางเสมอ แต่เขาก็เป็นผู้ชาย และมีหลายครั้งที่เขาไม่สะดวกที่จะติดตามนางไปทุกที่

เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว หากอาโม่ไม่ได้เฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงต้องการที่จะหาสาวใช้ไว้ข้างกาย แต่ก็มีเงื่อนไขในการเลือกสาวรับใช้สูงเช่นกัน และมันไม่ใช่เรื่องง่ายกับการหาสาวใช้สักคน

ด้านจ้าวจื่อชงจากตระกูลจ้าว หลังจากคุยกับกู้เสี่ยวหวานในวันนั้น เขาก็ไปทานอาหารที่ร้านจิ่นฝูบ่อยขึ้น และมองหาโอกาสเพื่อดูว่าตนจะสามารถใกล้ชิดกู้เสี่ยวหวานได้หรือไม่

กู้เสี่ยวหวานเองไม่ค่อยได้ไปที่ร้านอาหารบ่อยนัก และแม้ว่านางจะไปที่นั้น แต่นางก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องรับรอง และปล่อยให้อาโม่จัดการเรื่องต่าง ๆ แทนตนเอง

ในวันนี้ กู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านจิ่นฝูเช่นเดิม หลังจากเข้าร้านอาหารทางประตูหลังก็มุ่งตรงไปที่ห้องครัวทันที เพื่อตรวจสอบคุณภาพของอาหารในวันนี้ก่อนแล้วจึงไปที่ห้องรับรอง