เล่ม 1 ตอนที่ 262-1 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ สตรีศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 262-1 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ สตรีศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือด

สำนักผู้อาวุโสเป็นหมู่สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะหากไม่นับปราสาทเฮ่อหลัน หอศิลาทั้งสิบสามหลังของมัน แต่ละหลังเทียบเท่ากับปราสาทเก่าแก่ขนาดเล็กหลังหนึ่ง มันกินพื้นที่ภูเขาผู้อาวุโสทั้งลูก พื้นที่ทั้งหมดใหญ่ยิ่งกว่าตำหนักธิดาเทพ มรดกวัฒนธรรมที่มันเก็บรักษาไว้ก็มากมายอย่างที่สุด ล้ำค่าอย่างที่สุด เพราะหอศิลาแต่ละหลังของมันล้วนเป็นสถานที่ที่โหราจารย์รุ่นสุดท้ายคอยตรวจดูการก่อสร้างด้วยตนเองยามยังมีชีวิต หากจะบอกว่ามันคือตำหนักเทพแห่งที่สองของเผ่าถ่าน่าก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ทุกวันที่สิบห้า สิบหกของเดือน สำนักผู้อาวุโสจะเปิดให้ชาวเผ่าบนเกาะมีสิทธิเข้าไปด้านใน ชาวเผ่าทุกคนเข้าไปชมหอศิลาได้อย่างอิสระ และไปเล่าเรียนในหอตำราลับได้ แน่นอนว่าเพราะของโบราณและมรดกวัฒนธรรมด้านในนั้นล้ำค่ามาก หอตำราลับที่เปิดให้ผู้คนบนเกาะชมจึงไม่ใช่หอตำราลับของหอศิลาหลังที่สิบสาม แต่เป็นหอตำราลับหลังเล็กของหอศิลาหลังที่สอง ตำราในหอตำราเล็กเป็นของที่ซื้อหามาในปัจจุบัน ไม่มีอายุเก่าแก่อะไรนักแล้วก็ไม่ครบถ้วนนักด้วย แต่คนที่อ่านหนังสือออกในเผ่าถ่าน่ามีน้อยยิ่ง คนส่วนใหญ่ยินดีไปฝึกวรยุทธ์มากกว่า ดังนั้นต่อให้เปิดแค่หอตำราเล็กก็เพียงพอต่อความต้องการของชาวเผ่าบนเกาะแล้ว

หอศิลาหลังที่สิบสามมีแต่คนฐานะสูงส่งถึงจะมีสิทธิเข้าไป ตอนเหอจั๋วอายุยังน้อย มักจะเห็นร่างของเขาอยู่ในหอตำราลับเสมอ นอกจากเหอจั๋วแล้ว ผู้ที่มาเยี่ยมชมบ่อยที่สุดก็คือคนของตำหนักธิดาเทพ ดังนั้นหากพูดถึงความคุ้ยเคยกับหอตำราลับ เกรงว่าศิษย์ของตำหนักธิดาเทพจะไม่แพ้ให้ผู้อาวุโสคนใด

หากชิงหงจำไม่ผิด หอตำราลับมีทางเข้าออกเพียงทางเดียวนั่นก็คือประตูศิลาที่ชั้นหนึ่ง นับตั้งแต่นายน้อยตระกูลจีเข้ามาในหอตำราลับ นางกับศิษย์น้องทั้งหลายก็เฝ้าอยู่นอกประตูตลอด ไม่ผละออกไปสักก้าวเดียว นางมั่นใจอย่างยิ่งว่านายน้อยตระกูลจีไม่ได้หนีออกไปใต้หนังตาของนาง จีหมิงซิว…จะต้องอยู่ด้านในแน่!

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้คนฉงนยิ่งนักก็คือ นางค้นหาด้านบนกับด้านล่างในหอศิลาจนทั่วแล้ว ทุกซอกของชั้นหนังสือ ทุกมุมกำแพงก็ไม่ปล่อยผ่าน แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของนายน้อยตระกูลจี

จะบอกว่า…คนผู้นี้หายตัวไปเฉยๆ หรือ

ชิงหงกำนิ้วมือ สายตาประหนึ่งน้ำแข็ง “ผู้ใดเป็นคนนำอาหารเย็นมาส่ง”

ศิษย์หญิงนามว่าชิงผิงลุกขึ้นมาตอบอย่างนอบน้อม “ตอบศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเองเจ้าค่ะ”

ชิงหงมองนาง “เจ้าส่งเองถึงมือเขาหรือไม่”

ชิงผิงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่”

ชิงหงครุ่นคิด “ตอนที่เจ้าไปส่งอาหาร เขากำลังทำสิ่งใดอยู่”

ชิงผิงตอบว่า “เขากำลังอ่านตำรา ข้าวางถาดอาหารไว้บนพื้นตรงหน้าเขา ตอนแรกอยากจะรอเขาทานเสร็จค่อยออกไป แต่เขาบอกว่า…ข้าคอยดูอยู่ตรงนั้น เขากินไม่ลง สตรีศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราเฝ้าเขาไว้ให้ดีเท่านั้น ไม่ได้ให้พวกเราทารุณเขา ดังนั้น…ดังนั้นข้าจึงออกไปข้างนอก หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ข้าก็เข้าไปเก็บถาดอาหาร เขาวางถาดอาหารไว้ที่ปากทางเข้าชั้นสอง ความอยากอาหารของเขาเหมือนจะไม่แย่ กินหมดไม่เหลือ”

ถูกขังไว้ยังกินอาหารลงอีก ร้ายกาจจริงๆ

ชิงฟงแววตาเย็นยะเยือก “ตอนเจ้าไปเก็บถาดอาหาร เขายังอยู่หรือไม่”

ชิงฟิงรีบตอบ “อยู่เจ้าค่ะๆ! ตอนที่ข้าเดินเข้าไปส่องดูด้านใน เขายังอ่านตำราอยู่ หลังจากนั้นข้าก็เดินลงมา”

ชิงหงกระชากคอเสื้อของชิงผิง “เจ้าเห็นหน้าของเขา หรือเห็นเงากับเสื้อผ้าเท่านั้น”

“เรื่องนี้…” ชิงผิงตอบอย่างวิตกกังวล “ข้า…ข้า…ข้าจำไม่ได้แล้ว…”

ชิงหงสะบัดชิงผิงทิ้ง สองตาวาวโรจน์ “ปิดสำนักผู้อาวุโส นับจากตอนนี้แมลงวันสักตัวก็ห้ามปล่อยให้หลุดออกไป!”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่!”

ศิษย์น้องทั้งหลายตอบรับแล้วจากไปอย่างว่องไว ความจริงตั้งแต่เมื่อวานพวกนางก็ปิดสำนักผู้อาวุโสเอาไว้แล้ว ดังนั้นต่อให้คนผู้นั้นออกมาจากหอศิลาได้จริงก็น่าจะยังอยู่ในสำนักผู้อาวุโส

ชิงหงหันไปมองศิษย์น้องเล็กสองสามคนที่อยู่ด้านข้าง “พวกเจ้าไปค้น ต่อให้ต้องขุดดินขึ้นมาสามฉื่อก็ต้องหาบุรุษที่อยู่ในหอศิลาออกมาให้จงได้!”

“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่!”

ทุกคนล้อมสำนักผู้อาวุโสไว้จนแม้แต่น้ำก็ยังมิอาจลอดผ่าน แต่พวกนางหาด้านในด้านนอกสามสี่รอบกลับไม่พบร่องรอยของบุรุษคนใดเลยจริงๆ

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ชิงหงตกตะลึงยิ่งนัก ตามหลักแล้วนางเฝ้าประตูศิลาไว้อย่างดี การจะติดปีกบินหนีออกมาจากหอตำราลับเพียงอย่างเดียวก็เป็นไปได้ยากแล้ว ต่อให้เขาทะลุกำแพงออกมาได้จริง ในสำนักผู้อาวุโสก็มีแต่ศิษย์ของตำหนักธิดาเทพ จะไม่มีผู้ใดสักคนเห็นตัวเขาได้อย่างไรกัน

ชิงหงรู้ดีว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้วจึงไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย กลับไปรายงานความผิดปกติที่สำนักผู้อาวุโสกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งในตำหนักธิดาเทพทันที

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งทรมานมาครึ่งค่อนคืนกว่าจะหลับลงได้ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถูกเสียงเอะอะปลุกให้ตื่น

“ฟ้าสางเจ้าค่อยกลับมารายงานไม่ได้หรือไร” ภายในม่านมุ้ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ชิงหงก้มหน้า ตอบอย่างละอายใจ “ศิษย์…ศิษย์ก็ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของอาจารย์ แต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก มีแต่ต้องขอคำตัดสินใจจากอาจารย์”

“เรื่องใด” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถามเคร่งขรึม

ชิงหงฝืนใจตอบว่า “นายน้อตระกูลจี…หายไปแล้วเจ้าค่ะ!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเปิดม่านออกมาทันใด “หายไปแล้วหมายความว่าอย่างไร”

นางไม่ทันตอบอาจารย์ ชิงหงก็เห็นใบหน้าบวมปูด หูโต ปากเป็นไส้กรอกของอาจารย์ นางตกใจจนผงะถอยหนึ่งก้าว มือวางบนด้ามจับกระบี่!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแววตาสั่นไหว ปล่อยม่านลงตามเดิม

เพียงพริบตาเมื่อครู่ ชิงหงก็ตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งตัว นางกลืนน้ำลายถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาจารย์…ท่าน…หน้าของท่าน…เป็นอะไรไปเจ้าคะ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบเรียบๆ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก เจ้าบอกว่านายน้อยตระกูลจีหายไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ชิงหงตอบว่า “ศิษย์ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ก็เปิดประตูศิลาของหอตำราลับ จะเข้าไปคุมตัวนายน้อยตระกูลจี แต่เมื่อศิษย์ขึ้นไปถึงชั้นสองก็เห็นแต่เสื้อตัวหนึ่งเท่านั้น!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าถอดสี “เจ้าแน่ใจหรือว่ามีคนเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด”

“แน่ใจเจ้าค่ะ”

หากเป็นเช่นนี้ก็แปลกแล้ว สำนักผู้อาวุโสมีประตูบานเดียวชัดๆ ในเมื่อประตูบานนี้ถูกเฝ้าไว้ดีแล้ว นายน้อยตระกูลจีจะหายไปจากทางใดได้อีก

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถามอย่างฉงน “ระหว่างนั้นมีผู้ใดเข้าไปหรือไม่”

ชิงหงรีบตอบว่า “มีเจ้าค่ะ ศิษย์น้องยกอาหารเย็นไปให้นายน้อยตระกูลจี หลังจากนั้นก็เข้าไปอีกหน เห็นเขาอ่านตำราอยู่ แต่ไม่ได้รบกวนเขา ทว่า…หนนั้นศิษย์น้องชิงผิงเห็นแต่เงาบนพื้นเท่านั้น ดังนั้นศิษย์จึงไม่แน่ใจว่า เงานั่นเป็นเงาของตัวเขาเองหรือเงาของอาภรณ์ตัวนั้น”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเค้นคำลอดไรฟัน “ดังนั้นเขาหายไปตั้งแต่เมื่อใด เจ้าก็ไม่แน่ใจเช่นนั้นหรือ”

ชิงหงตอบอย่างละอายใจ “ขออภัยเจ้าค่ะ อาจารย์”

“ตัวไร้ประโยชน์! มีแต่ตัวไร้ประโยชน์! ให้เฝ้าจั๋วหม่าน้อยก็เฝ้าไม่ได้ ให้เฝ้าบุตรเขยน้อยก็ปล่อยให้ติดปีกบินหนีไป จั๋วหม่าน้อยนั่นช่างเถิด ดีเลวนางก็ตีสาวใช้จนสลบแล้วถึงหนีออกไปได้ แต่หอตำราลับนั่นเหมือนกับคุก พวกเจ้าเฝ้าทางเข้าออกปิดตายอยู่ เขาจะหายวับไปได้อย่างไร!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งโกรธแทบตายแล้ว นับตั้งแต่จับตัวจั๋วหม่าน้อยผู้นั้นมา เรื่องราวก็ไม่ราบรื่นสักอย่าง คนหนีไปแล้ว ยาถูกปล้นจนเกลี้ยง สวนผลไม้ก็ถูกทำลายย่อยยับ แม้แต่ไพ่ใบเดียวในมือก็ยังติดปีกบินหนีไปอีก ไม่ต้องพูดถึงว่าเย็นวันนี้นางขายหน้าต่อหน้าผู้คนจนหมดสิ้น ตอนนี้หน้าตาไม่เหลือเค้าเดิม ใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต นางไม่เคยมีสภาพอเนจเนาถเท่านี้มาก่อน!

“สั่งเคลื่อนพลศิษย์ทั้งหมด…ขอเพียงเขายังอยู่บนเกาะ ต้องหาเขามาให้ข้าให้จงได้!”

“ถ้าเช่นนั้น…ที่สำนักผู้อาวุโสยังต้องหาอีกหรือไม่เจ้าคะ” ชิงหงถาม

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบเสียงเย็นชา “หา! จะไม่หาได้อย่างไร! ข้ารู้สึกว่าเขายังอยู่ที่นั่นเพียงแต่หลบอยู่ในที่ที่ผู้ใดคิดไม่ถึงก็เท่านั้น แต่อย่าตัดความเป็นไปได้ว่าพวกเราอาจโชคร้าย เขาหนีไปจากใต้หนังตาของพวกเจ้าแล้วจริงๆ”

ชิงหงแก้ตัว “ไม่มีทางท่านอาจารย์ พวกเราเฝ้าทางเข้าอยู่ตลอดจริงๆ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่มีทางปล่อยผ่านออกไปเด็ดขาด!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตวัดสายตาเย็นชามองมา “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงหายไปได้เจ้าบอกข้าสิ!”

ชิงหงหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดแล้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองกระดาษหน้าต่างสีขาวนวลแล้วถอนหายใจ “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ข้านอนไม่หลับแล้ว เอาเช่นนี้ เจ้าไปหาที่สำนักผู้อาวุโสต่อก่อน ประเดี๋ยวข้ากับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกจะไปหาด้วย สรุปก็คือไม่ว่าเขาจะซ่อนอยู่ที่ไหน ก็ต้องหาเขาออกมาให้จงได้!”

“เจ้าค่ะ!”

ฟ้าเริ่มทอแสงสลัว กำลังภายในของอี้เชียนอินโคจรรอบร่างจนครบเต็มรอบใหญ่ ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกสบายตัวจนบอกไม่ถูก พละกำลังเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง แม้แต่ตรงที่บาดเจ็บเมื่อวานก็ไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่แล้ว

เขาลูบใบหน้า บวมน้อยลงแล้ว จากนั้นก็มองรอยช้ำบนท่อนแขน หายไปแล้ว

เขากะพริบตาหนหนึ่ง จากนั้นซัดฝ่ามือใส่ดาบเหล็กนิลเล่มใหญ่ที่แขวนประดับไว้ในห้อง เปรี้ยง! ได้ยินเสียงดังสนั่น ดาบเหล็กนิลเล่มใหญ่ถูกซัดแตกเป็นชิ้นๆ

เขามองสองมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ กินผลไม้ไปผลเดียวเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ เก่งกาจขึ้นถึงเพียงนี้เชียว

“จ่ายค่าเสียหายมาด้วย ตามราคาตลาด!”

นอกประตู เสียงไม่เกรงใจสักนิดของเฉียวเวยดังขึ้นมา

หัวใจดวงน้อยๆ ของอี้เชียนอินสั่นเทา ฮูหยินน้อย ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนท่านมานะ ท่านขี้เหนียวเช่นนี้จะดีจริงหรือ

อีกด้านหนึ่ง ไห่สือซานกับสือชีกลับมาแล้ว

“ฮูหยินน้อย” ไห่สือซานประสานมือคำนับ

เฉียวเวยพาทั้งสองคนไปยังห้องดื่มชา รินชาร้อนให้ทั้งสองคนสองถ้วย แล้วยกขนมที่เพิ่งออกมาจากเตาใหม่ๆ มาวาง “เป็นอย่างไร สืบพบข่าวของหมิงซิวหรือไม่”

สือชีกินขนมอย่างเงียบๆ

ไห่สือซานตอบว่า “เหมือนนายน้อยจะหายไปแล้ว คนของตำหนักธิดาเทพกำลังตามหาอยู่ทุกที่”

เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “หายไปแล้ว หมายความว่า…หมิงซิวหนีไปแล้วหรือ ในเมื่อหนีไปแล้ว เหตุใดไม่กลับมาปราสาทเฮ่อหลัน”

ไห่สือซานดื่มชาร้อนคำหนึ่ง แล้วตอบว่า “นี่ก็เป็นจุดที่ข้าสงสัยเช่นกัน หากนายน้อยหนีมาแล้วย่อมกลับมาหาฮูหยินน้อย อีกอย่าง…จากที่ข้าทราบมา หอตำราลับของสำนักผู้อาวุโสมีประตูเพียงบานเดียว ประตูบานนั้นถูกศิษย์ทั้งหลายของตำหนักธิดาเทพคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีโอกาสผ่านออกมาได้เลย”

“หน้าต่างเล่า” เฉียวเวยถาม

ไห่สือซานส่ายหน้า “ไม่มีหน้าต่าง”

เฉียวเวยครุ่นคิด “ไม่มีหน้าต่าง แล้วยังเดินออกทางประตูไม่ได้…พูดเช่นนี้หมิงซิวก็ยังอยู่ในหอตำราลับจริงๆ น่ะสิ”

ไห่สือซานลังเล แล้วเอ่ยว่า “แต่หากจะพูดเช่นนี้…ศิษย์ของตำหนักธิดาเทพก็ค้นในหอตำราลับจนรอบแล้ว แต่ก็พบเพียงเสื้อตัวเดียวของนายน้อยเท่านั้น”

เฉียวเวยลูบคาง “ในหอตำราลับมีสถานที่ลับอันใดหรือไม่”

ไห่สือซานครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “หากมีห้องลับ ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่มีทางไม่ทราบ หากผู้อาวุโสทั้งหลายทราบ ตำหนักธิดาเทพก็ต้องทราบแน่นอน”

เฉียวเวยพยักหน้าเห็นด้วย “นี่ก็จริง ทั่วทั้งเกาะ แม้แต่ท่านตาของข้ารู้สิ่งใดล้วนบอกตำหนักธิดาเทพหมดสิ้น”

พูดพลาง เฉียวเวยก็ลุกขึ้นยืน เดินวนภายในห้อง “หรือว่าหมิงซิวจะยังอยู่ในหอตำราลับจริงๆ”

“หอตำราลับอะไรหรือ” อี้เชียนอินเดินเข้ามา

เฉียวเวยจึงบอกว่า “เจ้ามาพอดี หมิงซิวหายไปแล้ว…”

อี้เชียนอินโพล่งขัดเฉียวเวยทันที “อะไรนะ นายน้อยหายไปแล้วหรือ!”

เฉียวเวยเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วว่า “เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตกใจ ฟังข้าเล่าให้จบก่อน เขาน่าจะยังอยู่ในหอตำราลับ กำลังภายในของเจ้าฟื้นคืนมาแล้วกระมัง รอประเดี๋ยวเจ้าแปลงโฉมเป็นหน้าตาของศิษย์ตำหนักธิดาเทพแล้วพาหมิงซิวออกมา ข้าจะไปตำหนักธิดาเทพรั้งนางปีศาจเฒ่าฝูงนั้นเอาไว้”

นับตั้งแต่ตำหนักธิดาเทพจะประกอบพิธีกรรมที่สำนักผู้อาวุโส ผู้อาวุโสใหญ่ก็ ‘นอนเอกขเนกอยู่ที่บ้าน’ คนที่คุ้นชินกับชีวิตที่ต้องยุ่งวุ่นวายแต่เช้า จู่ๆ พอว่างขึ้นมาก็รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง เขายังคงตื่นแต่เช้าตรู่ ทานอาหารเช้าง่ายๆ จากนั้นก็เตรียมตัวจะเดินไปทางสำนักเช่นเดิม แต่แล้วก็ได้ยินข้ารับใช้มารายงานว่าจั๋วหม่าน้อยมาเยือน

ผู้อาวุโสใหญ่มาต้อนรับจั๋วหม่าน้อยด้วยตัวเอง “จั๋วหม่าน้อยมาหาข้าตั้งแต่เช้าตรู่ มีธุระหรือ”

เฉียวเวยตอบว่า “ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องเดินทางไปเยือนตำหนักธิดาเทพสักหน ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่มีเวลาว่างไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่ ท่านตาของข้าป่วย แม่ของข้าต้องดูแลเขา นอกจากผู้อาวุโสใหญ่ ข้าก็ไม่รู้ว่าสมควรให้ผู้ใดไปเป็นเพื่อนข้าแล้ว แต่หากผู้อาวุโสใหญ่ยุ่งอยู่ พวกเราค่อยไปกันวันอื่นก็ได้”

ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มแย้ม “หลายวันนี้ข้ากำลังว่างอยู่พอดี ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์สะดวก ไปตอนนี้เลยเถิด”

ทั้งสองคนนั่งรถม้าเดินทางไปยังตำหนักธิดาเทพ

ภายในตำหนักธิดาเทพ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งฟังรายงานของศิษย์เอกชิงหงจบ ฟ้าก็สางแล้ว นางล้างหน้าล้างตาเสร็จก็แต่งตัวจนเรียบร้อย สวมผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าที่เปลี่ยนจากเดิมจนไม่เหลือเค้าเดิมไว้ แล้วเรียกสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกไปค้นหาที่สำนักผู้อาวุโส เพิ่งจะขยับตัว รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าประตู ม่านรถม้าถูกเลิกเปิด เฉียวเวยกระโดดลงมา

หนังตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนกระตุกทันทีทันใด!

เมื่อวานเพิ่งจะเกิดเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนั้น วันนี้สาวน้อยคนนี้ยังกล้ามาอีกหรือ!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเงื้อฝ่ามือขึ้นเคลื่อนกำลังภายในหมายจะฟาดใส่เฉียวเวยแรงๆ ทว่าทันใดนั้นเฉียวเวยก็ประคองคนอีกคนหนึ่งลงมาจากรถม้า

“ผู้อาวุโสใหญ่หรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนตกตะลึง

เฉียวเวยกับผู้อาวุโสใหญ่เดินมาถึงตรงหน้าทั้งสองคน เฉียวเวยมองทั้งสองคนแล้วถามผู้อาวุโสใหญ่ว่า “ทั้งสองท่านนี้คือ…”

ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำอย่างเป็นมิตร “จั๋วหม่าน้อยยังไม่เคยพบสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกสินะ”

“อ้อ ที่แท้ก็สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง เสียมารยาทแล้ว! เสียมารยาทแล้ว!” เฉียวเวยประสานมือคำนับแล้วยิ้มกว้าง “คารวะสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง! คารวะสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หก!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเห็นรอยยิ้มงดงามของเฉียวเวย โทสะก็แล่นพล่านไปทั่วร่าง นางอยากจะด่าสักประโยคจริงๆ ว่าเจ้าทะเลาะกับตำหนักธิดาเทพมาไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว ยังมีหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักอีกหรือ

แต่คำพูดนี้นางได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น หากพูดออกไปจริงๆ ก็เท่ากับดึงหัวไชเท้าออกมาจากโคลน เรื่องที่ตั้งกระบวนทัพจะประหัตประหารเฮ่อหลันชิง เรื่องที่จับเฉียวเวยมาขังแล้วตามไล่ฆ่า ทุกสิ่งคงถูกขุดคุ้ยออกมาหมดสิ้น

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งข่มกลั้นโทสะเชิญทั้งสองเข้ามานั่ง

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ใบหน้าของเจ้าเป็นอะไรหรือ เหตุใดต้องสวมผ้าปิดหน้าเล่า” เฉียวเวยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้นเชียวนะ! สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกดเพลิงโทสะลงไป แล้วตอบอย่างสุขุม “ไม่นานมานี้แพ้บางสิ่ง ใบหน้าจึงขึ้นผื่น”

เฉียวเวยกะพริบตา “ขึ้นผื่นหรือ ข้าได้ยินว่าตำหนักธิดาเทพมียาวิเศษอยู่ไม่น้อย สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งเหตุไฉนจึงไม่ทาเสียหน่อยเล่า”

ไม่ใช่ถูกเจ้าขโมยไปเกลี้ยงแล้วหรือไร!

ในใจสตรีศักดิ์สิทธิ์เริ่มมีคลื่นโถมซัดเล็กน้อย

กล่าวตามตรงนางนับว่าเป็นคนที่ข่มโทสะได้เก่งอยู่พอสมควร หากเปลี่ยนเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเจ้าปืนใหญ่ที่จุดเมื่อใดก็ติดไฟคนนั้น ถูกเฉียวเวยยั่วยุเช่นนี้คงจะลูกขึ้นมาตบกับเฉียวเวยไปแล้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ทาแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงหาย”

เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวขึ้น “ต้องอีกหลายวันเชียวหรือ ข้าได้ยินว่าตำหนักธิดาเทพของพวกท่านมีสิ่งหนึ่งเรียกว่าน้ำค้างแก่นเหมันต์ ผื่นมากอีกเท่าใดหยดลงไปหยดเดียวก็เห็นผลทันตา อิทธิฤทธิ์ของน้ำค้างแก่นเหมันต์นั่นคงไม่ได้คุยโม้โอ้อวดมาหรอกกระมัง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างโหดเหี้ยม!

เฉียวเวยเหมือนไม่รับรู้สักนิดว่าสายตาของนางแทบจะแทงตนเองจนพรุนเป็นกระชอนอยู่แล้ว นางยิ้มแย้มกล่าวต่อว่า “บังเอิญจริง บิดาของข้าเพิ่งผสมยาชนิดใหม่ขึ้นมาได้ ใช้รักษาอาการถูกแมลงกัดต่อย ผิวหนังขึ้นผื่นแดงโดยเฉพาะ แต่เดิมข้าคิดจะมอบให้ไซน่าฮูหยิน ในเมื่อได้พบสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ใช้ก่อนก็แล้วกัน ฝั่งไซน่าฮูหยินข้ากลับไปค่อยให้คนส่งไป”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองขวดหน้าตาคุ้นเคยใบนั้น เสียงขบฟันดังกรอดลอยออกมา ยาใหม่ที่บิดาเจ้าปรุงขึ้นมาอะไรกัน นี่มันน้ำค้างแก่นเหมันต์ของตำหนักธิดาเทพไม่ใช่หรือ แม้แต่ขวดก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน! นางคิดอะไรอยู่กัน!

“ผู้อาวุโสใหญ่” เฉียวเวยหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่อย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ผู้อาวุโสใหญ่จึงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ในเมื่อจั๋วหม่าน้อยมีเจตนาดี เจ้าก็รับไว้เถิด”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่รู้ว่าตนรับยาขวดนั้นมาด้วยความรู้สึกเช่นไร นางรู้แต่ว่าพริบตาที่รับขวดยามา เลือดลมของนางพุ่งทะลักไปรวมกันที่กระหม่อม