เล่ม 1 ตอนที่ 262-2 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ สตรีศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 262-2 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ สตรีศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือด

สายตาชื่นชมของผู้อาวุโสใหญ่จับจ้องใบหน้าของเฉียวเวย ความสัมพันธ์ระหว่างจั๋วหม่ากับตำหนักธิดาเทพไม่เป็นมิตรต่อกันนักมาตลอด ในพิธีบวงสรวงหนนี้ นางยิ่งขัดแย้งกับตำหนักธิดาเทพต่อหน้าผู้คน เขายังเป็นห่วงอยู่ว่าจั๋วหม่าน้อยจะได้รับอิทธิพลจากมารดาของนางมาจนไม่พอใจตำหนักธิดาเทพด้วยหรือไม่ แต่ดูจากสภาพตอนนี้ จั๋วหม่าน้อยช่างเป็นหญิงสาวที่รู้จักเห็นแก่ส่วนรวม ฉลาดเฉลียวรู้ความ อ่อนหวานจิตใจงดงามจริงๆ

เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “จริงสิ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ข้าได้ยินว่าเมื่อวานตอนเทศนาเย็น ตำหนักธิดาเทพเกิดความวุ่นวายขึ้นหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่หันขวับไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งในใจอยากจะบีบคอเฉียวเวยให้ตายยิ่งนัก “ท่านได้ยินผู้ใดพูดมา เมื่อเย็นวานที่นี่เรียบร้อยดียิ่ง”

คนกลุ่มนั้นถูกธิดาเทพปลอบประโลมแล้ว น่าจะไม่พูดจาส่งเดช แต่ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้ทราบเรื่องเมื่อเย็นวานมากน้อยเท่าใด สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเกรงว่านางจะพูดถ้อยคำยั่วยุยิ่งกว่านี้ออกมาจึงชิงเปลี่ยนเรื่องก่อน “ไม่ทราบว่าจั๋วหม่าน้อยกับผู้อาวุโสใหญ่มาเยือน มีธุระใดหรือ”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “เป็นเช่นนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ทุกปีตำหนักธิดาเทพจะมอบผลสองภพสิบผลเป็นบรรณาการให้ท่านตาของข้า ปีนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ข้าเป็นห่วงว่าธิดาเทพล้มเจ็บอยู่จะลงจากเตียงมาไม่สะดวก จึงเดินทางมารับด้วยตนเอง”

นอกประตู ชิงหงส่งสายตาให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง บอกเป็นนัยว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งควรออกเดินทางได้แล้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยุ่งอยู่กับการต่อสู้ขับเคี่ยวกับเฉียวเวยจึงไม่ทันสังเกตชิงหงที่อยู่ตรงประตู สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกจึงส่งสัญญาณมือให้ชิงหง ชิงหงจึงถอยออกไป

เฉียวเวยเก็บปลายหางตาที่เหลือบมองตรงประตูกลับมาอย่างไม่เผยพิรุธสักนิด นางยิ้มจนตาหยีมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง

ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเขียวไปหมดทั้งหน้าแล้ว “ผลสองภพเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้จริงหรือ”

เฉียวเวยผายมือ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ผลสองภพเป็นของในตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้า ข้าไฉนเลยจะรู้ว่าพวกมันมีสภาพเป็นอย่างไร”

ทำเหมือนกับว่าเมื่อคืนวานคนที่ขโมยผลไม้หลายร้อยลูกกับต้นไม้นับร้อยต้นไปไม่ใช่ตนเอง

หน้าอกของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งราวกับถูกก้อนหินมหึมาก้อนหนึ่งทับไว้ เจ็บปวดรวดร้าวแล้วยังคล้ายจะหายใจไม่ออก รู้ว่าเป็นของของตำหนักธิดาเทพยังใจกล้า ‘หยิบฉวย’ ครั้น ‘หยิบฉวย’ ไปเสร็จยังกลับมาโยนความผิดใส่อีก โจรตะโกนร้องจับโจร ไม่มีสิ่งไหนไร้ยางอายเท่านี้อีกแล้ว!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรู้สึกว่าจะปล่อยให้เฉียวเวยเหิมเกริมเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อย่างมากที่สุดก็ไม่ยอมรับเรื่องที่ตั้งกระบวนทัพสังหารเฮ่อหลันชิง แล้วก็ไม่ยอมรับเรื่องที่ขังจั๋วหม่าน้อยไว้ก็เท่านั้น เพียงกัดฟันบอกว่านางลอบเข้ามาเอง เป้าหมายก็เพื่อขโมยยากับผลสองภพ อาศัยชื่อเสียงที่ผ่านมาของตำหนักธิดาเทพ ไม่แน่ว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อ!

ในใจครุ่นคิดจบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็เชิดคาง “เมื่อคืนสวนผลไม้ของตำหนักธิดาเทพถูกโจรปล้น หญิงรับใช้รายงานว่าหัวขโมยผู้นั้นก็คือ…”

“จริงสิ เมื่อครู่ข้าเก็บของชิ้นหนึ่งได้ระหว่างทาง ไม่ทราบว่าใช่ของของตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าหรือไม่” เฉียวเวยเอ่ยขัดสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง นางเปิดผ้าเช็ดหน้าออก ด้านในคือมีดบินสีดำวาววับดูสะดุดตาเล่มหนึ่ง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองปราดเดียวก็จำมันได้ทันที นี่เป็นอาวุธลับที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับศิษย์ทั้งหลายของนางใช้ มีพิษร้ายแรงอย่างยิ่ง มันมาอยู่ในมือสาวน้อยคนนี้ได้อย่างไร นางไม่เชื่อหรอกว่าสาวน้อยคนนี้เก็บมา หรือว่า…ตอนที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับศิษย์ทั้งหลายไล่ล่านางเมื่อคืนวานจะใช้อาวุธลับชนิดนี้

พวกโง่!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกรีบเอ่ยว่า “นี่จะเป็นของตำหนักธิดาเทพของพวกเราได้อย่างไรเล่า พวกเราตำหนักธิดาเทพดำรงตนสง่าผ่าเผยมาตลอด ไม่เคยใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าชื่นชม “ข้าก็คิดเช่นนั้น ตำหนักธิดาเพทเป็นตัวแทนขององค์เทพ เป็นตัวตนที่ชาวเกาะทั้งหลายเคารพศรัทธา คงจะไม่มีทางใช้อาวุธลับอาบยาพิษเช่นนี้หรอก มีผู้ใดบุกเข้ามาในตำหนักธิดาเทพแล้วทำหล่นไว้เพราไม่ระวังหรือไม่”

แววตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกวูบไหว ตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อคืนวานมีหัวขโมยคนหนึ่งเข้ามาในตำหนักธิดาเทพ ขโมยยากับผลสองภพของพวกเราไป ของสิ่งนี้คงจะเป็นหัวขโมยผู้นั้นทำหล่นเอาไว้”

“ตำหนักธิดาเทพถูกโจรปล้นหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่โกรธจัด “ผู้ใดขวัญกล้าถึงเพียงนั้น”

เฉียวเวยตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ท่าทางโกรธแค้น “ใช่แล้ว ผู้ใดขวัญกล้าถึงเพียงนั้น! แม้แต่ของของตำหนักธิดาเทพก็กล้าขโมย ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว! แต่จะว่าไปแล้ว ยอดฝีมือของตำหนักธิดาเทพมีมากมายดุจเมฆา เหตุไฉนจึงปล่อยให้หัวขโมยผู้หนึ่งลงมือสำเร็จได้ คงไม่ใช่ว่า…มีไส้ศึกหรอกกระมัง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกัดฟัน “จั๋วหม่าน้อย”

เฉียวเวยตอบหน้าตาใสซื่อ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งอย่าโกรธสิ ข้าก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ไม่เช่นนั้นท่านเรียกทุกคนมาแล้วนับทีละคน ดูซิว่าขาดผู้ใดไป”

ขาดไปสามสิบกว่าคนอย่างไรเล่า!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยิ้มไปไม่ถึงดวงตา “จั๋วหม่าน้อยวางใจเถิด ตำหนักธิดาเทพของข้าจะไม่มีเรื่องอย่างการยักยอกสมบัติที่ดูแลแน่”

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ข้าไม่ได้สงสัยว่าตำหนักธิดาเทพยักยอกสมบัติหรอก แต่ใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซื่อตรงจิตใจดีงามเช่นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง แต่ ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นหัวขโมยที่มาจากด้านนอก ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะเชื่อตามด้วย ข้าคนนี้น่ะความจริงแล้วมีเหตุผลยิ่งนัก ตำหนักธิดาเทพถูกโจรปล้น ผลสองภพย่อมไม่ต้องส่งมอบแล้ว! กลับไปข้าจะรายงานท่านแม่ของข้า ขอให้นางส่งลูกน้องทั้งหมดออกมาตามจับหัวขโมยคนนั้นให้ทั่วทั้งเกาะ จะต้องจับหัวขโมยทวงความยุติธรรมให้ตำหนักธิดาเทพได้เป็นแน่!”

เล็บของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งจิกลึกลงไปในเนื้อ “ไม่รบกวนจั๋วหม่าน้อยให้ลำบาก หัวขโมยผู้นี้ปล่อยให้พวกเราจับเองเถิด!”

เฉียวเวยยิ้ม “ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีธุระ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” พูดพลางก็กุมมือสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ต้องจับหัวขโมยคนนั้นมาลงโทษให้ได้นะ”

หัวขโมยก็นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า แต่เจ้าไม่มีปัญญาทำอันใดสักนิด

หลังจากเฉียวเวยกับผู้อาวุโสใหญ่จากไป สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป นางกุมหน้าออก ร่างกายสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมา!

การเดินทางไปเยือนตำหนักธิดาเทพของเฉียวเวยกับผู้อาวุโสใหญ่ ซื้อเวลาอันล้ำค่าให้อี้เชียนอินได้มากยิ่งนัก อี้เชียนอินเฝ้าอยู่บนเส้นทางที่ต้องผ่านระหว่างตำหนักธิดาเทพกับสำนักผู้อาวุโส เขาเห็นศิษย์หญิงนางหนึ่งควบอาชาผ่านมา ทันใดนั้นเขาก็พลิ้วกายออกมาจากพุ่มไม้ ขวางทางของศิษย์หญิงเอาไว้

ศิษย์หญิงรีบกระตุกสายบังเหียน หยุดอาชาตัวสูงใหญ่ จากนั้นมองบุรุษที่จู่ๆ ก็โผล่มาขวางหน้าม้าของนางอย่างไม่มีความอดทน บุรุษคนนี้หน้าตาหล่อเหลาสง่างามประหนึ่งหยก อายุยังน้อย ท่างทางองอาจผึ่งผาย รูปร่างสูงโปร่ง แม้สวมอาภรณ์ที่สวมไม่สะดุดตาสักนิด แต่ทั้งตัวก็สะอาดสะอ้าน ทำให้คนหัวใจเต้น

“เจ้าเป็นใคร” ศิษย์หญิงถาม

อี้เชียนอินยกยิ้ม “เจ้าคือผู้ใด”

ศิษย์หญิงเดิมทีเห็นเขาหน้าตาหล่อเหลาจึงพูดจากับเขาด้วยดี ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับไร้มารยาทเช่นนี้ สีหน้าจึงบึ้งตึงลงทันควัน “บังอาจ! กล้าตั้งคำถามคนของตำหนักธิดาเทพ!”

“ที่แท้ก็ศิษย์ของตำหนักธิดาเทพ มิน่าจึงรูปโฉมดุจเทพธิดาเช่นนี้ ข้าเกือบคิดว่าเป็นพี่สาวเทพธิดาจากที่ใดเสียแล้ว”

ชิงหงที่เมื่อครู่โมโห พอได้ยินคำประจบประโยคนี้ก็อดไม่ได้ลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ ไม่มีผู้ใดไม่ชอบถูกชมว่างดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชมว่าตนเองงามคือคุณชายผู้สง่างามดุจต้นหยกเล่นลมคนหนึ่ง ใบหน้าของชิงหงแทบจะปรากฏสีแดงระเรื่อออกมาตรงนั้นแล้ว “ข้าคือชิงหงศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักธิดาเทพ”

ศิษย์พี่ใหญ่หรือ ข่างเป็นฐานะที่ยอดเยี่ยมนัก!

อี้เชียนอินยิ้มจนตาหยี เลียมุมปาก “ดวงหน้าของแม่นางงดงามปานนี้ ขอข้ายืมใช้หน่อยเป็นอย่างไร”

“เจ้าว่าอะไรนะ” ชิงหงตกตะลึง

อี้เชียนอินยิ้มชั่วร้าย “ข้าบอกว่า ข้าอยากจะยืมใบหน้าของเจ้าสักหน่อย”

ชิงหงหน้าบึ้งตึงในพริบตา “บังอาจ!”

อี้เชียนอินกำนิ้วมือ “เจ้าไม่ให้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ได้แต่เอามาเอง”

“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ใบหน้าของข้าเจ้าแตะต้องได้หรือ รับกระบี่!” ชิงหงชักกระบี่ออกมาแทงใส่อี้เชียนอินอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด

อี้เชียนอินเบี่ยงกายหลบ สองนิ้วคีบหยุดกระบี่เล่มงาม จากนั้นก็หักอย่างเยือกเย็น เปรี๊ยะ! กระบี่หักแล้ว!

ชิงหงมองกระบี่หักในมืออย่างไม่อยากเชื่อ นางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายจะสูงส่งเช่นนี้

อี้เชียนอินก็มึนงงเหมือนกัน เมื่อวานนี้เขายังถูกศิษย์ตัวน้อยเหล่านี้ไล่ต้อนจนแทบไม่มีกำลังจะสวนกลับอยู่เลย เวลาเพียงชั่วคืน เขากลับหักกระบี่ของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนางได้แล้ว!

ชิงหงโกรธแล้ว นางทิ้งกระบี่พลิกกายกระโดดลงจากม้า จากนั้นซัดฝ่ามือฟันอี้เชียนอิน!

อี้เชียนอินไม่ใช้กระบวนท่าพิสดารอันใดทั้งสิ้น เขากำหมัดต่อยแรงๆ ลงไปกลางฝ่ามือของนาง

ชิงหงถูกต่อยปลิวออกไปร่วงกระแทกพื้นห่างหนึ่งจั้ง กะโหลกกระแทกก้อนหิน สลบไปทันที

อี้เชียนอินดีใจเจียนคลั่ง ยกแขนเบ่งกล้ามอวด

ศิษย์หญิงทั้งหลายในสำนักผู้อาวุโสกำลังตามาร่องรอยของจีหมิงซิวอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าคนส่วนมากในหมู่พวกนางไม่รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของจีหมิงซิว รู้เพียงว่าเป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่สวมหน้ากากหยกครึ่งหน้า

ตอนที่ทุกคนเกือบจะรื้อสำนักผู้อาวุโสให้หงายชี้ฟ้าแล้วนั่นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนางก็กลับมา

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

ศิษย์หลายคนเข้าไปต้อนรับ

อี้เชียนอินวางท่าทำเป็นมีมาดขานอืมตอบคำหนึ่ง “หาเป็นอย่างไรบ้าง พบร่องรอยของบุรุษผู้นั้นหรือไม่”

ศิษย์หญิงนางหนึ่งตอบว่า “ขออภัยอย่างยิ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ หลังท่านไปพวกเราก็ค้นหาทั้งด้านในด้านนอกสำนักผู้อาวุโสจนทั่วแล้วแต่ก็หาไม่พบเลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็หาต่อไปสิ!” เสียงของอี้เชียนอินเลียนแบบได้เหมือนจริงยิ่งนัก เพียงแต่ว่านิสัยเหมือนจะแปลกพิกล ปกติศิษย์พี่ใหญ่ไม่ดุด่าผู้คนเช่นนี้

ศิษย์หญิงทั้งหลายมองหน้ากัน แต่ติดที่ศิษย์พี่ใหญ่ดูน่าเกรงขามนัก พวกนางจึงกระเจิงไปเหมือนวิหคแตกตื่น

อี้เชียนอินเดินอาดๆ มาถึงบนยอดเขา ตลอดทางมีคนคำนับเขาไม่หยุด เรียกศิษย์พี่ใหญ่ๆ ไม่ขาดสาย

พอนึกขึ้นมาว่าหนก่อนถูกขวางไว้ที่ตีนเขาก็รู้สึกเหมือนได้ระบายแค้นจริงๆ!

อี้เชียนอินมาถึงหอตำราลับ ศิษย์สองคนที่ประตูก้าวเข้ามา “ศิษย์พี่ใหญ่!”

อี้เชียนอินเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “พวกเจ้าสองคนไปหาด้านนั้น ข้าจะเข้าไปเดินดูในหอตำราลับอีกรอบ ดูซิว่าจะพบอะไรใหม่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่”

ทั้งสองคนผละจากไปอย่างไม่นึกสงสัย

อี้เชียนอินเดินเข้ามาในหอตำราลับ พอเดินขึ้นมาบนชั้นสองก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเสียงของตนเองแล้วเรียกแผ่วเบา “นายน้อย ข้าเอง อี้เชียนอิน!”

เสียงเพิ่งเอ่ยจบ พื้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือน หนังสือบนชั้นวางหนังสือสั่นกึกๆ ก่อนจะร่วงลงมา

อี้เชียนอินตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น

พื้นสั่นอย่างรุนแรง อี้เชียนอินพุ่งออกจากหอตำราลับตามสัญชาตญาณ ทว่าพุ่งออกมาได้ไม่นาน หอศิลาด้านหลังก็ถล่มลงมาดังสะเทือนเลือนลั่น!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนั่งดื่มยาอยู่ในห้อง ระหว่างที่ดื่ม โต๊ะก็สั่นไหว ยาที่อยู่ในถ้วยกระฉอกออกมาบนโต๊ะ

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกแววตาคมปลาบ “แย่แล้ว! แผ่นดินไหวแล้ว!”

คนของตำหนักธิดาเทพพากันวิ่งออกมาจากห้อง

ในเวลาเดียวกันนั้น ไซน่าฮูหยินของปราสาทไซน่าก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะทือนอันรุนแรงเช่นเดียวกัน นางกำลังหั่นปลาอยู่ แต่ชั่วพริบตาเดียวปลาบนเขียงก็กระเด้งจนร่วงลงมาหมด

ปราสาทเฮ่อหลันก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนได้เช่นเดียวกัน เหอจั๋วกำลังนอนพักอยู่บนเตียง พสุธาสั่นไหว ร่างของเขากลิ้งออกมาด้านนอกจนหน้าผากโขกเสาเตียงบวมปูดลูกเบ้อเริ่ม

ช่วงนี้จิ่งอวิ๋นฝึกวรยุทธ์อยู่กับลุงเยี่ยน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยซัดฝ่ามือจนก้อนหินปลิว จิ่งอวิ๋นอิจฉายิ่งนัก เขาแอบฝึกฝนอยู่ในห้อง ตั้งใจว่ารอตนเองฝึกจนกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพแล้วก็จะไม่ถูกน้องสาวกอดรัดใต้ผ้าห่มอีกต่อไป ผู้ใดจะคิดว่าเขาซัดฝ่ามืออยู่ครึ่งวัน ก้อนหินก็ไม่ขยับสักนิด ตอนที่เขาซัดฝ่ามือสุดท้ายออกไปอย่างสิ้นหวังนั่นเอง ก้อนหินก็หล่นตุ้บร่วงลงมาบนพื้น!

จิ่งอวิ๋นมองฝ่ามือน้อยของตนอย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาเบิกโตจนกลมบ๊อก “ข้าทำสำเร็จแล้ว ข้าทำสำเร็จแล้ว! ข้าเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพแล้ว! ข้าจะไม่ถูกน้องสาวลากไปลากมาอีกต่อไปแล้ว!”

โครม!

โคมไฟแขวนที่อยู่เหนือหัวร่วงลงมา!

เจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูพุ่งเข้ามาในห้องในชั่วเสี้ยววินาที นางกอดพี่ชายของตนถลาหลบโคมไฟแขวนที่ตกลงมา จากนั้นวั่งซูก็อุ้มพี่ชายไว้เหนือศีรษะ วิ่งหอบแฮ่กออกไป!

บนเกาะเกิดแผ่นดินไหว

ต้นกำเนิดแผ่นดินไหวยังอยู่ในระหว่างการค้นหา แต่น่าจะไม่ใช่เมืองถ่าน่า ถึงอย่างนั้นเมืองถ่าน่าก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงก็อย่างเช่นสำนักผู้อาวุโสที่หอตำราลับทั้งหลังถล่มลงมา โชคดีไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ในปราสาทเฮ่อหลันมีหญิงรับใช้หลายคนได้รับรอยฟกช้ำเล็กน้อย ตระกูลใหญ่ทั้งหลายเสียเครื่องเรือนไปจำนวนหนึ่ง แต่สมาชิกตระกูลปลอดภัยดี ภายในเมืองได้รับความเสียหายหรือไม่ กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ

สำนักผู้อาวุโสเรียกประชุมด่วนทันที เหอจั๋วป่วยหนัก จั๋วหม่าจึงเข้าประชุมแทน จั๋วหม่าพาจั๋วหม่าน้อยมาฟังด้วย ตำหนักธิดาเทพ แปดผู้นำทั้งหมดล้วนรีบเร่งมายังสถานที่เกิดเหตุ แต่ธิดาเทพบาดเจ็บอยู่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งจึงมาร่วมประชุมหนนี้แทน

นับตั้งแต่ชนเผ่าถ่าน่าอพยพมาอยู่บนเกาะ พวกเขาเคยพบแผ่นดินไหวอยู่เจ็ดถึงแปดหน แต่ทุกครั้งล้วนไหวสะเทือนไม่รุนแรง แต่หนนี้หอตำราลับทั้งหลังกลับถล่มลงมา ทุกคนจึงเคร่งเครียดอย่างห้ามไม่ได้

เฮ่อหลันชิงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานของโต๊ะยาวตัวใหญ่ เฉียวเวยขนเก้าอี้มานั่งข้างนาง

บรรยากาศรอบตัวนางน่าเกรงขามมากเกินไป แม้ไม่พูดสักประโยค แต่เพียงนางนั่งอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ผู้นำทั้งหลายหายใจไม่ออกอยู่เล็กน้อย ประมุขตระกูลไซน่าอาศัยว่ามีความดีความชอบเคยสนับสนุนจั๋วหม่าน้อยจึงมีความกล้ากว่าผู้อื่นอยู่เล็กน้อย เปิดปากนำขึ้นมาก่อน “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหัวเราะเบาๆ “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ในใจทุกคนยังไม่กระจ่างอีกหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่หันไปมองนาง แล้วถามอย่างฉงน “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง…หมายความว่าอย่างไร”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยืดหลังตรงกล่าวขึ้นว่า “ที่ผ่านมาพิธีบวงสรวงวันขึ้นปีใหม่จะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ เรื่องนี้ทุกคนลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ แม้ข้าอยากจะเชื่อยิ่งนักว่าการกลับมาของจั๋วหม่าน้อยเป็นบัญชาของสวรรค์จริงๆ แต่พริบตาที่แท่นประกอบพิธีถล่ม องค์เทพก็ได้ประกาศประสงค์ของพระองค์แล้ว…พระองค์ไม่ประสงค์จะยอมรับจั๋วหม่าน้อย จั๋วหม่าไม่เชื่อ ดึงดันจะบันทึกนามของนางในวงศ์ตระกูลให้ได้ คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า องค์เทพพิโรธแล้ว!”

เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกี่ยวอะไรกับองค์เทพ หรือทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวบนเกาะ…พิธีบวงสรวงวันขึ้นปีใหม่ล้วนเกิดปัญหาทุกหนหรือไร”

หนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่ถูกเฉียวเวยจูงจมูกอีกแล้ว นางหัวเราะหยัน ตอบอย่างไม่รีบร้อน “แม้ไม่แน่ว่าจะเกิดปัญหาในพิธีบวงสรวงเสียทั้งหมด แต่จะมากจะน้อยเหอจั๋วที่รับตำแหน่งอยู่ก็กระทำความผิด องค์เทพจึงลงทัณฑ์ประชาชนของเขา หนนี้เหอจั๋วย่อมไม่ได้ทำผิด แต่คนที่ทำผิดคือจั๋วหม่าน้อยผู้มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์กับจั๋วหม่าที่บีบบังคับธิดาเทพที่บาดเจ็บให้ทำพิธีกรรมจนลุล่วง ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันอีกแล้วกระมัง”

แผ่นดินไหวหนนี้มาได้บังเอิญยิ่งนัก ทันเวลายิ่งนัก หากมาช้ากว่านี้สักครึ่งปี ทุกคนก็คงไม่นึกโทษเฉียวเวยกับเฮ่อหลันชิง แต่ดันมาเกิดตอนเดือนหนึ่งพอดี

เดือนหนึ่งยังไม่ทันผ่านพ้น บนเกาะก็เกิดภัยพิบัติธรรมชาติขึ้น หากจะบอกว่าองค์เทพไม่ได้พิโรธ ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า

เฉียวเวยมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอย่างเย็นชา น่าชังนัก ใช้อุบายเล่นงานนางก็ช่างเถิด แต่ดึงมารดาของนางเข้ามาด้วย ตะกละตะกลามนักนะ!

จั๋วหม่าน้อยหนอจั๋วหม่าน้อย พวกเจ้าแม่ลูกใช้อำนาจบีบบังคับธิดาเทพ สังหารศิษย์น้องของข้า เข่นฆ่าศิษย์ของข้า ปล้นยาของข้า ทำลายสวนผลไม้ของข้า ข้าโกรธจนกินไม่ลง ในที่สุดก็หาโอกาสคิดบัญชีกับพวกเจ้าได้แล้ว!

หนนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยังยืนอยู่ข้างข้า!

ข้าจะดูซิว่าพวกเจ้ายังจะพลิกกระดานได้อย่างไรอีก!