ตอนที่ 264-1 โหราจารย์ปรากฏตัว

ผู้อาวุโสใหญ่ตื่นเต้นจนเกือบจะสะดุดล้ม เขาดีใจจนเนื้อเต้นวิ่งไปยังตำหนักโหราจารย์

ผู้อาวุโสสี่คนที่เหลือไล่ตามไปอย่างรีบร้อน

ไม่นานชาวบ้านผู้ประสบภัยพิบัติที่รุมล้อมอยู่รอบศิษย์ของตำหนักธิดาเทพก็ไล่ตามฝีเท้าของผู้อาวุโสทั้งหลายไปพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน

ชั่วพริบตาข้างกายศิษย์หญิงกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ว่างเปล่า!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองหอศิลาที่โผล่ออกมาจากพื้นดินอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่มันเป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…”

หอสอยดาวเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ไม่เคยมีผู้ใดทราบว่ามันตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ หลายปีที่ผ่านมาพวกนางค้นหาร่องรอยของมันอย่างไม่หยุดหย่อนมาตลอด หากจะบอกว่าทุกซอกทุกมุมของเกาะนิรนามถูกพวกนางค้นมาจนหมดสิ้นแล้วก็ไม่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

หากไร้หอสอยดาว ตำนานย่อมเป็นเพียงเรื่องโกหก!

ส่วนไข่มุกจันทร์กระจ่างนั่น ผู้อื่นไม่รู้ แต่นางจะไม่รู้หรือไร มันเป็นเพียงสมบัติที่ตกทอดมาในตระกูลเฮ่อหลันก็เท่านั้น! เหอจั๋วเองนั่นแหละที่เอาไปทิ้งไว้ในหุบเหวร้อยผี!

ดังนั้นต่อให้ตามหาไข่มุกจันทร์กระจ่างพบจริงก็ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักโหราจารย์สักนิด!

ตำหนักโหราจารย์เป็นเรื่องโกหก มันเป็นเรื่องหลอกหลวง มันต้องเป็นเหลวไหลทั้งเพสิ!

เฟิงซื่อเหนียงที่อยู่ด้านข้างมองตำหนักโหราจารย์อย่างตกตะลึง มือขวาวางแตะหัวไหล่ซ้าย

เฉียวเวยหันไปมองชาวบ้านผู้ประสบภัยรอบด้าน คนที่วิ่งไหวล้วนวิ่งไปกันหมดแล้ว คนที่นั่งอยู่บนพื้นเพราะวิ่งไม่ไหวต่างก็เรียงนิ้วทั้งห้าของมือขวาชิดติดกันแล้วทาบแตะหัวไหล่ซ้ายเช่นเดียวกับเฟิงซื่อเหนียง

เฉียวเวยอยู่เผ่าถ่าน่ามาสักระยะหนึ่งแล้ว นางย่อมรู้ว่านี่คือวิธีแสดงความเคารพของชนเผ่าถ่าน่า แต่ว่า…จะทำความเคารพหอศิลาหลังหนึ่งทำไมเล่า

เฉียวเวยหันไปมองคนของตำหนักธิดาเทพ สีหน้าของพวกนางในตอนนี้น่าประทับใจพอสมควร เฉียวเวยสาวเท้าเข้าไปหาดุจดาวตกแล้วหยุดยืนข้างกายสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองหอศิลาตาไม่กะพริบ นางไม่รู้สึกตัวสักนิดว่ามีคนผู้หนึ่งมายืนด้านข้าง

อาการอย่างนี้ต้องตระหนกตกใจมากมายเพียงใดกัน!

เฉียวเวยไพล่มือสองข้างไปด้านหลังแล้วจิ๊ปาก เอ่ยขึ้นมาว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ข้าเพิ่งมาอยู่ไม่นาน โง่เขลาความรู้น้อย ไม่ทราบว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งพอจะคลายความสงสัยให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองเฉียวเวยอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าได้ลำพองไปนัก”

เฉียวเวยกอดอกยักคิ้ว “ข้าจะลำพองแล้วจะทำไม ตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าบอกว่าข้าล่วงเกินองค์เทพจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวหนนี้ไม่ใช่หรือ ตอนนี้แผ่นดินไหวจนหอสอยดาวโผล่ออกมา ตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าจะว่าอย่างไรอีกเล่า”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตวัดสายตามาดุจคมมีด!

เฉียวเวยยิ้มละไม “ข้าไปก่อน! จะไปดูเรื่องสนุกสักหน่อย!”

นิ้วมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำแขนเสื้อแน่น เพราะออกแรงมากเกินไป เนื้อผ้าจึงเกือบจะทะลุเป็นรู

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเอ่ยว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง พวกเราก็ไปดูบ้างเถิด บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจจะเข้าใจผิด นั่นอาจเป็นเพียงหอศิลาธรรมดาๆ หลังหนึ่งเท่านั้น พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาบอกว่าหอศิลาหลังหนึ่งเป็นหอสอยดาวไม่ได้”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วว่า “เจ้าพูดไม่ผิด พวกเราไป”

ขบวนคนเดินอ้อมซากปรักหักพังเข้าไปในหอศิลา

ผู้อาวุโสทั้งห้าเป็นคนกลุ่มแรกที่มาถึงหอศิลา ผู้อาวุโสใหญ่นำอยู่ด้านหน้าสุด เขาขุดเอาพละกำลังที่เคยใช้สมัยหนีงานวิวาห์ออกมา ฮึดอึดใจเดียววิ่งเข้ามาในห้องโถงของตำหนัก กลิ่นอายของความสงบเยือกเย็นโถมเข้าใส่ใบหน้า ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของดินโคลน ห้องโถงอันกว้างใหญ่ให้ความรู้สึกวังเวงแทรกอยู่ในความโอ่อ่า

บนเสาศิลามังกรเลื้อยสองฝั่งของห้องโถงใหญ่ฝังไข่มุกจันทร์กระจ่างไว้นับไม่ถ้วน แต่พวกมันถูกฝุ่นหนาปกคลุมไว้

แสงตะวันจากด้านนอกตำหนักส่องลาดเอียงเข้ามากระทบร่างผู้อาวุโสใหญ่จนเกิดเงาทอดยาวบนแผ่นหินอ่อนขาวอันเย็นเฉียบและแข็งกระด้าง

สุดปลายเงามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่

คนผู้นั้นสวมอาภรณ์ตัวยาวสีครามเข้ม เรือนร่างสูงตระหง่านประหนึ่งต้นสน ยามแสงตะวันตกต้องร่างสะท้อนเป็นรัศมีจางๆ จนดูเสมือนหนึ่งเขาถือกำเนิดมาจากแสงสว่าง

ผู้อาวุโสใหญ่ชะงักเท้า “ผู้ใด”

คนผู้นั้นหันกายกลับมายิ้มน้อยๆ ชั่วพริบตานั้นห้องโถงทั้งห้องราวกับฟื้นกลับมามีชีวิต

น้ำเสียงทุ้มนุ่มมีเสน่ห์ของเขาดังเอื่อยเฉื่อยขึ้นในห้องโถง “ผู้อาวุโสใหญ่”

ผู้อาวุโสใหญ่ตกตะลึงอย่างยิ่ง “เหตุไฉน…เหตุไฉนเป็นเจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้าถูกฝังอยู่ใต้ซากหอตำราลับไปแล้วไม่ใช่หรือ”

จีหมิงซิวพึมพำแผ่วเบา “หอตำราลับถล่มลงมาแล้วจริงๆ สินะ”

“จริงๆ สินะ หมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่ฉงนยิ่งนัก ตอนได้ยินว่าหอตำราลับถล่มลงมา ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือนึกถึงองครักษ์ของจั๋วหม่าน้อยที่ยังอยู่ด้านใน ในใจเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง ตอนนี้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าตนเองอย่างไม่บุบสลาย จะบอกว่าไม่ยินดีก็คงโกหก แต่…คำว่า ‘จริงๆ สินะ’ คำนั้นหมายความว่าอย่างไร เหมือนกับว่า…เขาไม่รู้ว่าหอตำราลับถล่มลงมาแล้ว แต่ก็เหมือนกับเขาคาดไว้แล้วว่ามันจะถล่มลงมา นี่แปลกมากไม่ใช่หรือ ตอนนั้นเขาอยู่ในหอตำราลับตลอดแท้ๆ! “คุณชายหมิง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า สองวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏตัวที่หอสอยดาว”

จีหมิงซิวมองเพดานห้องอันใหญ่โตโอ่โถง ห้องโถงสูงสองจั้งกว่า เมื่อคนอยู่ในห้องโถงจึงเล็กกระจ้อยร่อยประหนึ่งเมล็ดข้าวโพด เขารั้งสายตากลับมามองผู้อาวุโสใหญ่แล้วบอกว่า “หอตำราลับมีบันทึกที่โหราจารย์เหลือทิ้งไว้เล่มหนึ่ง ในนั้นบันทึกแผนผังโครงสร้างของหอตำราลับรวมถึงความลับของหอตำราลับเอาไว้”

“ความลับของหอตำราลับหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่ไม่เข้าใจ

จีหมิงซิวพยักหน้า “ไม่ผิด ข้างใต้หอตำราลับมีทางลับเส้นหนึ่งเชื่อมต่อมายังหอสอยดาวที่ฝั่งใต้ของเกาะ จุดประสงค์แรกของทางลับเส้นนี้คือเพื่อใช้หนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นหลังจากเข้ามาในทางลับ หอตำราลับจะถล่มลงมาเอง จากนั้นเส้นทางลับก็จะถล่มลงมาเป็นทอดๆ”

ผู้อาวุโสใหญ่เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หอตำราลับถล่ม…เพราะเจ้า…เข้าไปในทางลับหรือ เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งของในหอตำราลับสำคัญสำหรับคนทั้งเผ่าถ่าน่ามากเพียงไร”

ระหว่างที่พูด จู่ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ก็นึกถึงหอสอยดาวที่อยู่ตรงหน้าตนเอง หากไม่เข้าไปในทางลับ ไม่ทำลายหอตำราลับ ก็อาจจะ…ตามหาตำหนักโหราจารย์หลังสุดท้ายแห่งนี้ไม่พบ

หากมองเช่นนี้ หอตำราลับก็ถือว่าไม่ถล่มลงมาเสียเปล่า

เพียงแต่ว่าถึงอย่างนั้นก็เจ็บปวดใจอยู่ดี อย่างไรเสียด้านในก็มีบันทึกลายมือของโหราจารย์อยู่

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ต้องกังวล ตำราเล่มสำคัญข้าเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้หมดแล้ว ส่วนที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ ข้าก็จดจำไว้ในสมองเรียบร้อย”

ผู้อาวุโสใหญ่บื้อใบ้ หลังจากนั้นสักพักใหญ่ จู่ๆ เขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ้นแตะไหล่ซ้าย ค้อมกายคำนับหนึ่งหน

จีหมิงซิวผงกศีรษะรับเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินไปยังโถงทางเดินฝั่งตะวันออก ถามขึ้นว่า “ภรรยาของข้าสบายดีหรือไม่”

“ภรรยาหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่งุนงง เขาไม่รู้จักภรรยาของอีกฝ่ายเสียหน่อย!

จีหมิงซิวจึงเอ่ยเสริมว่า “จั๋วหม่าน้อย”

นัยน์ตาของผู้อาวุโสใหญ่เบิกโตขึ้นทันควัน “เจ้าคือ…”

จีหมิงซิวยิ้มละไม ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสใหญ่อยากดูรอบๆ หรือไม่”

ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่ทันเรียกสติกลับมาจากคำว่า ‘ภรรยา’ คำนั้นของเขา จึงตอบอย่างมึนๆ “…ก็ดี”

จีหมิงซิวก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน

ผู้อาวุโสใหญ่เดินตามไปอย่างมึนงง ระหว่างที่เดินตามก็กดเก็บความตกตะลึงในหัวใจลงไปด้วย เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าฐานะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาคือสามีของจั๋วหม่าน้อย แต่เมื่อครุ่นคิดดูอีกหน คนเช่นนี้หากไม่ใช่สามีของจั๋วหม่าน้อยก็ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง

จะดีจะร้ายเขาก็เป็นผู้หาหอสอยดาวพบและเป็นผู้ที่ทำให้มรดกของโหราจารย์หวนคืนสู่แสงสว่าง นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของชนเผ่าถ่าน่า ในเมื่อเขามีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ชาวเผ่าที่เคยถ่มน้ำลายก่นด่าจั๋วหม่าน้อยที่แต่งงานกับคนจงหยวนพวกนั้นก็คงจะสงบเสงี่ยมลงได้บ้างกระมัง

ผู้อาวุโสใหญ่ครุ่นคิดจบก็กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหตุการณ์ที่แท่นประกอบพิธีบวงสรวงถล่มทำให้คนในเผ่าคิดไปในแง่ร้าย แผ่นดินไหวหนนี้จึงมีคนโยนความผิดมาให้จั๋วหม่าน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้”

บรรยากาศรอบตัวจีหมิงซิวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันควัน

ผู้อาวุโสใหญ่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่โถมเข้ามาใส่ใบหน้า หัวใจของเขาสั่นสะท้าน เขารวบรวมสติเอ่ยต่อว่า “แต่ในเมื่อแผ่นดินไหวจนหอสอยดาวปรากฏออกมาย่อมนับว่ากลายเป็นความดีความชอบ”

จีหมิงซิวเปิดประตูห้อง เวลานี้เองผู้อาวุโสสี่คนที่เหลือกับผู้นำทั้งแปดก็ไล่ตามมาทัน ชาวเผ่าไม่น้อยก็ตามมาถึงในห้องโถงแล้ว แต่จนปัญญาที่องครักษ์ทั้งหลายของผู้นำเผ่าขวางอยู่ พวกเขาจึงไม่อาจก้าวเท้าไปด้านหน้าต่อ

นอกจากประมุขตระกูลไซน่า ผู้นำกับเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นล้วนตกตะลึงอย่างยิ่งที่พบจีหมิงซิวอยู่ที่นี่ คนผู้นี้คือองครักษ์ที่เดินทางไปลานประลองเป็นเพื่อนจั๋วหม่าน้อยเมื่อวันนั้นไม่ใช่หรือ ในวันนั้นองครักษ์ที่ติดตามไปมีทั้งหมดสามคน เขาเป็นคนที่ดูสะดุดตาที่สุดเพราะหน้าตาท่าทางดูไม่เหมือนองครักษ์ แต่เหมือนเจ้านายคนหนึ่งมากกว่า ทว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองย่อมไม่มีผู้ใดสะดวกเข้าไปถาม วันนี้มาพบเขาที่หอสอยดาวแห่งนี้ ทุกคนจึงได้แต่ฉงนว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนจึงมาถึงก่อนหน้าพวกเขา

ผู้อาวุโสใหญ่คล้ายจะมองเห็นความสงสัยของทุกคนจึงอธิบายอย่างอดทน “ท่านเขยน้อยเป็นคนหาหอสอยดาวพบ”

“ท่าน…ท่าน ท่าน…ท่านเขยน้อยหรือ” ผู้อาวุโสรองติดอ่างไปเสียแล้ว

จีหมิงซิวไม่อธิบายอะไร เขาก้าวเข้าไปในห้อง นี่เป็นห้องตำราแห่งหนึ่ง ภายในห้องเก็บตำราลับนานาชนิดเอาไว้ แต่ละเล่มล้วนเขียนขึ้นด้วยลายมือของโหราจารย์

ผู้อาวุโสทั้งหลายย่อมอ่านไม่ออก แต่นั่นมิได้ขัดขวางพวกเขาจากการมองพวกมันประหนึ่งสมบัติล้ำค่า

จีหมิงซิวเปิดตำราเล่มหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านเขยน้อย ในนี้บันทึกอะไรไว้หรือ”

จีหมิงซิวปิดตำรา “เล่มนี้คือ ‘ซือจิง[1]’”

ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้ม “ท่านโหราจารย์ช่างเป็นคนรอบรู้กว้างขวาง” กล่าวจบก็หยิบตำราไม้ไผ่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ท่านเขยน้อยโปรดดูหน่อยว่าเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับอะไร”

ผู้อาวุโสรองขยับเข้ามาหา กระซิบถามผู้อาวุโสใหญ่เสียงเบา “เขาอ่านภาษาเยี่ยหลัวออกหรือ”

“ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ

ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งหลายปรากฏสีหน้าประหลาดใจระคนตกใจ ภาษาเยี่ยหลัวเป็นภาษาที่หายสาบสูญไปตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว แม้แต่จงหยวนในยามนี้ก็หาคนที่รู้ภาษาเยี่ยหลัวได้อยู่ไม่กี่คน ท่านเขยน้อยผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่จึงอ่านภาษาเยี่ยหลัวออก

จีหมิงซิวเปิดตำราไม้ไผ่อ่านดูแล้วตอบว่า “ ‘ซือจิง’ เหมือนกัน”

ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มอย่างเคารพเลื่อมใส แล้วหยิบตำราไม้ไผ่อีกเล่มขึ้นมาส่งให้จีหมิงซิว “ท่านโหราจารย์เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง ตำราที่อ่านล้วนเป็นยอดวรรณคดี”

จีหมิงซิวอ่านออกเสียงทีละคำ “วิถีแห่งการแลกหยินหยางระหว่างบุรุษสตรี”

“แค่ก!” ผู้อาวุโสใหญ่สำลัก

ฝั่งนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังรุมล้อมจีหมิงซิวพลางเปิดดูตำราในห้องหนังสือ อีกด้านหนึ่งผู้นำเผ่าทั้งหลายเดินตระเวนไปถึงห้องอีกห้องหนึ่ง

ทันใดนั้นเสียงตกตะลึงของประมุขตระกูลปี้หลัวก็ดังมาจากด้านหลังห้องโถง “รีบมาดูเร็วเข้า! ตรงนี้มีกระบี่อยู่หนึ่งเล่ม!”

สิ่งที่ควรบอกกล่าวสักหน่อยก็คือหลังจากประมุขเฒ่าของตระกูลปี้หลัวถูกเฮ่อหลินชิงตบจนบาดเจ็บหนัก ลุกจากเตียงไม่ได้เป็นเวลาครึ่งปีถึงหนึ่งปี ประมุขตระกูลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ตอนนี้ก็คือปี้หลัวฟู่บุตรชายของเขาซึ่งก็คือบิดาของฮาจั่ว

ทุกคนได้ยินก็รีบเดินไปหา เพิ่งเดินมาถึงห้องโถง ประมุขตระกูลไซน่าที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็ตะโกนเสียงดัง “มีขโมย!”

ทุกคนชะงัก ก่อนจะรีบเร่งมุ่งไปทางด้านซ้าย

ประมุขตระกูลปี้หลัวตะโกนเสียงดัง “ช่างเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนัก!”

ทุกคนชะงักอีกหน จากนั้นรีบเดินไปทางด้านขวา

ประมุขตระกูลไซน่าตวาดลั่น “ช่างเป็นหัวขโมยที่เจ้าเล่ห์นัก!”

ทุกคนชะงักเป็นหนที่สามแล้วรีบวิ่งไปทางซ้าย

“กระบี่!”

“หัวขโมย!”

“กระบี่!”

“หัวขโมย!”

ทุกคนมึนหัวแล้ว ผู้อาวุโสห้ากุมหน้าอก “ข้ากับเจ้าสี่ เจ้าห้าจะไปจับหัวขโมย พวกเจ้าไปดูกระบี่ก็แล้วกัน!”

[1]ซือจิง ตำรารวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน