ตอนที่ 264-2 โหราจารย์ปรากฏตัว

จีหมิงซิวไม่สนใจการจับหัวขโมย เขาเดินไปดูกระบี่ตั้งนานแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสสามติดตามมาว่องไวประหนึ่งเท้าเหยียบย่างบนสายลม ในสวนดอกไม้น้อยแห่งนั้นปลูกพุ่มดอกไม้สดสวยไว้เต็มไปหมด หมู่มวลบุปผาชูช่อสีม่วงสีแดงงามสะพรั่ง บนกลีบดอกไม้ยังมีหยดน้ำเกาะวาว บุปผชาติสีสันเข้มสดราวกับจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้ ช่างงดงามตรึงตานัก

ทุกคนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง หอศิลาหลังนี้นอนหลับใหลอยู่ใต้พสุธามาเนิ่นนาน เหตุไฉนจึงมีดอกไม้เบ่งบานสวยสดงดงามเช่นนี้

ใจกลางสวนดอกไม้น้อยคือศิลามหึมาก้อนหนึ่ง ตรงกลางก้อนศิลามีกระบี่วิจิตรงดงามทอประกายเย็นเฉียบเล่มหนึ่งปักอยู่ ตัวกระบี่และฝักกระบี่ปักลงกลางหิน ปี้หลัวฟู่ยืนอยู่บนหินก้อนนั้น สองมือจับด้ามกระบี่ดึงขึ้นสุดชีวิต ทว่าดึงจนเหงื่อโชกศีรษะก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย

“นี่ นี่ นี่มันกระบี่กิ๊กก๊อกอะไรกัน” ปี้หลัวฟู่ดึงไม่ขยับ

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ถูฝ่ามือ “เจ้าถอยไป ข้าจะลองบ้าง”

ปี้หลัวฟู่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วกระโดดลงมาจากบนก้อนหิน

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์เหลือบมองรูปร่างผอมบางของเขาแล้วหัวเราะเยาะ “บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าให้ใช้เวลาฝึกวรยุทธ์สักหน่อย เจ้าก็ไม่ฟัง วันๆ เอาแต่ยุ่งอยู่กับแม่นางทั้งหลาย ครานี้เป็นอย่างไรเล่า ร่างกายหมดสภาพ แม้แต่กระบี่ก็ดึงไม่ขึ้น”

ปี้หลัวฟู่อายุน้อยกว่าประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์หนึ่งรุ่นจึงไม่สะดวกจะโต้เถียงกับเขา ทำได้เพียงแค่นเสียงเหอะหนึ่งหนแล้วกลอกตาใส่ “ท่านไหว ท่านก็ทำสิ!”

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์รูปร่างสูงใหญ่ เขาไม่จำเป็นต้องขึ้นไปเหยียบบนหินก้อนนั้น เพียงยื่นมือออกมาก็จับถึงด้ามกระบี่ จากนั้นเขาก็ออกแรงดึง

เอ๋

ดึงไม่ขึ้น!

ทุกคนประสานเสียงหัวเราะ

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์กระแอมอย่างเก้อกระดาก จากนั้นเพิ่มแรงมากขึ้นแล้วดึงอีกหน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนักก็คือกระบี่เล่มนี้ราวกับเป็นของปลอม มันดึงไม่ออกแม้แต่น้อย แววตาของเขาวูบไหว ก่อนจะทำหน้าจริงจังเอ่ยขึ้นว่า “นี่มันของปลอม ไม่มีกระบี่”

ปี้หลัวฟู่หัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ดึงฝักกระบี่อกมาสิ!”

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์กำฝักประบี่ เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนก้อนหินหมายจะอาศัยแรงถีบช่วยดึงฝักกระบี่ออกมา แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไรก็ไม่อาจขยับฝักกระบี่ได้แม้แต่น้อย

“ข้าเอง!” ประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์ตบไหล่ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ปล่อยมือออกอย่างไม่ใคร่จะยินยอม “ข้าดึงไม่ออก เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำได้หรือ”

ประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์หัวเราะ “ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งกระโน้นตอนข้าง้างธนูหนักสามร้อยต้านได้ ธนูของเจ้าเพิ่งจะหนักหนึ่งร้อยห้าสิบต้านเองนะ!”

ประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์เป็นผู้แข็งแกร่งและทรงพลังมากที่สุดในหมู่ผู้นำทั้งแปด ในการประลองธนูในอดีต ไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้

ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์หลีกทางให้

ประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์ทดลองใช้พละกำลังของตนเอง แน่นอนว่าพอได้ลงมือ เขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดในทันที ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีกว่าผู้นำอีกสองคนสักเท่าไร

“ประหลาดจริงเชียว นี่มันกระบี่อะไรกันแน่” ปี้หลัวฟู่พึมพำ

จีหมิงซิวกับผู้อาวุโสทั้งสามคนเดินเข้ามา

ปี้หลัวฟู่รีบก้าวเข้าไปดึงแขนสื้อของเขา “ผู้อาวุโสใหญ่ท่านมาพอดี ท่านรีบมาดูกระบี่เล่มนี้ว่าเป็นของปลอมหรือไม่”

ผู้อาวุโสใหญ่มองเขาอย่างเย็นชา ปี้หลัวฟู่ถูกมองจนหัวใจกระตุกวูบ ปล่อยมือที่คว้าแขนผู้อาวุโสใหญ่ทันที ผู้อาวุโสใหญ่เดินมาถึงหน้ากระบี่ มือขวาแตะหัวไหล่ซ้ายแล้วคำนับ

ผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสสามต่างก็คำนับเช่นกัน

ผู้นำทั้งหลายมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ

ผู้อาวุโสใหญ่บอกสีหน้าจริงจัง “นี่คือกระบี่โหราจารย์ที่ออกคำสั่งกับคนทั้งเผ่าได้ นอกจากโหราจารย์แห่งเผ่าถ่าน่า ไม่มีผู้ใดดึงมันออกมาจากฝักกระบี่ได้”

ทุกคนทำหน้าเคร่งขรึมแสดงความเคารพออกมาทันที

“ความหมายของผู้อาวุโสใหญ่ก็คือผู้ใดดึงกระบี่โหราจารย์ออกมาได้ ผู้นั้นก็ออกคำสั่งกับคนทั้งเผ่าได้หรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนำศิษย์น้องและลูกศิษย์โขยงหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเอิกเกริก

ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าซับซ้อนแต่ก็พยักหน้า “ใช่แล้ว”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งส่งสายตาให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม “ศิษย์น้องสาม”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสะกิดปลายเท้าเหินขึ้นไปบนก้อนหินอย่างชดช้อยประหนึ่งนกนางแอ่นเหิน นางเอื้อมมือเรียวขาวผ่องดุจต้นหอมออกมากุมด้ามกระบี่แล้วออกแรงดึง!

แล้วก็ดึงอีกหน!

เกิดอะไรขึ้น นางดึงไม่ขยับ!

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม ให้ข้าลองบ้าง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเดินออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน นางเคยรับตำแหน่งธิดาเทพของตำหนักธิดาเทพมาก่อน วรยุทธ์มิเป็นรองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ทั้งยังเป็นเด็กที่เคยได้รับการปกปักษ์จากองค์เทพ ให้นางออกโรงน่าจะมีโอกาสสำเร็จมากพอควร

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามใช้วิชาตัวเบาเหินกลับมาข้างกายสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเดินไปหากระบี่ แววตาเฉยชาจับจ้องอยู่พักใหญ่ก่อนจะคว้าด้ามกระบี่ นางหลับตาลง รีดเค้นกำลังภายในมหาศาลจนมันซัดสาดดั่งเกลียวคลื่น เส้นเลือดบนข้อมือของนางปูดนูนออกมา นางตวาดเบาๆ หนหนึ่งจากนั้นก็ดึงกระบี่!

น่าเสียดาย ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น

“ข้าช่วยเจ้าเอง!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกุมด้ามกระบี่ สองคนร่วมแรงหมายจะดึงกระบี่ออกจากฝัก

เฉียวเวยอมยิ้มเดินเข้ามา “จิ๊ๆ ต้องหน้าไม่อายถึงเพียงนี้เชียวหรือ คนเดียวดึงไม่ออกก็ใช้สองคน ข้าว่ามิสู้พวกเจ้าคนของตำหนักธิดาเทพทั้งหมดช่วยกันดึงเสียเลยเป็นอย่างไร ข้าให้พวกเจ้ายืมเชือกสักเส้นดีหรือไม่ คนสิบกว่าเกือบยี่สิบคนดึงช้างตัวหนึ่งก็ยังไหว กระบี่เล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งน่าจะไม่ใช่ปัญหากระมัง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างดุร้าย

เฉียวเวยกลอกตาใส่ แล้วเดินมาข้างกายจีหมิงซิว จากนั้นกระตุกแขนเสื้อของเขา “ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวกุมมือของนางแนบแน่น น้ำเสียงทั้งอ่อนโยนและรักใคร่ “ข้าไม่เป็นอะไร”

เฉียวเวยยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่มีทางถูกนางปีศาจเฒ่าฝูงนั้นขังไว้ง่ายๆ ท่านจะต้องคิดหาวิธีได้แน่”

จีหมิงซิวลูบเรือนผมที่คลอเคลียใบหน้าของนาง

ปลายนิ้วเขาเย็นเล็กน้อย พอแตะถูกผิวของนางอย่างไม่ทันระวังก็รู้สึกร้อนผ่าวประหนึ่งถูกเหล็กร้อนนาบ

เฉียวเวยเม้มริมฝีปากที่คอยแต่จะยกโค้งขึ้นมาเอาไว้ จากนั้นหันไปมองกระบี่ “นั่นเป็นกระบี่ของโหราจารย์จริงหรือ หากข้าดึงมันออกมาได้ ก็สั่งให้ทุกคนขับไล่ตำหนักธิดาเทพออกจากเกาะได้ใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะไม่ไหว “อืม”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะลองดูบ้าง!” เฉียวเวยถลกแขนเสื้อ เดินอาดๆ เข้าไป “พวกเจ้าสองคน หลบไป!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามแค่นเสียงหยัน “เจ้าสู้ข้ายังไม่ได้ ยังกล้ามาดึงกระบี่อีกหรือ”

เฉียวเวยตอบอย่างเฉยชา “เจ้าก็พ่ายแพ้แม่ข้าเหมือนกัน แม่ข้ายังไม่ทันมาดึงกระบี่ เจ้ามีสิทธิอะไรมาดึงเล่า”

“เจ้า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถูกนางโต้จะสะอึก ใบหน้าแดงก่ำเป็นสีตับหมู

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกลากสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกลับมาข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง พวกนางไม่เชื่อหรอกว่าจั๋วหม่าน้อยผู้ไร้วรยุทธ์จะอาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียวดึงกระบี่โหราจารย์ออกมาได้ อยากขายหน้าก็ปล่อยให้ขายหน้าไปเสียเถอะ พวกนางจะรอชมเรื่องสนุกด้วยความยินดี

เฉียวเวยกำด้ามกระบี่

ทุกคนกลั้นลมหายใจ

เฉียวเวยเริ่มออกแรง

“ขยับ…ขยับแล้ว…ขยับแล้ว! ขยับแล้ว!” ปี้หลัวฟู่ตกใจยิ่งนัก

เฉียวเวยเค้นเรี่ยวแรงกระชากอีกหน ครืน! บางสิ่งถูกกระชากออกมาจากพื้น แรงเฉื่อยทำให้เฉียวเวยหงายหลังล้มลงบนพื้น ของที่อยู่ในมือนางหล่นลงมาข้างกาย นางเพ่งสายตาดู ทันใดนั้นก็ต้องตาค้าง

อะไรกัน

เหตุใดดึงแท่นศิลาออกมาทั้งอันเลยเล่า!

กระบี่ยังเสียบอยู่ในก้อนหิน

สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายซับเหงื่อเย็นเฉียบตรงข้างขมับแล้วพรูลมหายใจยาว สวรรค์ถึงจะรู้ว่าวินาทีที่เฉียวเวยดึงจนมีบางสิ่งขยับนั่น หัวใจของพวกนางต่างหยุดเต้น โชคดีแล้วที่ดึงแท่นศิลาทั้งแท่นออกมาไม่ใช่กระบี่

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเชิดคางขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่ นี่น่าจะไม่นับว่าสำเร็จกระมัง”

ผู้อาวุโสใหญ่มองเฉียวเวยอย่างหมดคำจะพูด เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงมาด้วยอะไรกันแน่ พละกำลังถึงมากมายมหาศาลเช่นนี้!

เฉียวเวยกอดก้อนหินขนาดใหญ่ไว้บนตัก

ทุกคนตาโตอ้าปากค้าง ก้อนหินใหญ่ขนาดนี้ทับอยู่บนขาเรียวงามนุ่มนิ่มของนางจะไม่เป็นอะไรจริงหรือ

“เจ้าจะทำอะไร” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถามเสียงเข้ม

เฉียวเวยตอบว่า “ข้าจะผ่าหินออกน่ะสิ! ทำเช่นนี้ก็ดึงกระบี่ข้างในออกมาได้แล้วไม่ใช่หรือ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งว่าเสียงเย็น “เจ้าจะเล่นโกง!”

“ไม่เช่นนั้นเจ้ามาผ่าเอาหรือไม่” เฉียวเวยส่งก้อนหินให้อย่างใจกว้าง

หินก้อนนี้ใหญ่เท่ากับโต๊ะกินข้าวตัวหนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเห็นนางอุ้มอย่างสบายๆ จึงไม่คิดอะไรมาก เอื้อมมือออกมารับก้อนหิน ผลปรากฏว่า ตึง! ก้อนหินร่วงลงมาทับ กระชากร่างนางทรุดลงไปกับพื้น โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างถูกทับไว้ทั้งแขน ใกล้จะถูกทับขาดอยู่รอมร่อ!

“ยกออกไป! ยกมันออกไป!”

เฉียวเวยยกก้อนหินออก แล้วเดินไปตรงหน้าประมุขตระกูลปี้หลัว “เจ้าจะลองผ่าหรือไม่”

ปี้หลัวฟู่ส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง

เฉียวเวยหันไปถามประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์กับประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ต่อ “พวกเจ้าจะลองผ่าหรือไม่”

ทั้งสองคนมองมือสองข้างที่บวมจนเหมือนอุ้งตีนหมีของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง แล้วกลืนน้ำลายพร้อมกันทั้งที่ไม่ได้นัด “ไม่ดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” เฉียวเวยนั่งลงบนพื้นแล้วเริ่มผ่าก้อนหิน

แม้วิธีการนี้จะน่าขัน แต่เรื่องที่น่าขันยิ่งกว่านี้ จั๋วหม่าน้อยก็เคยทำมาแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกันการจะเด็ดผลไม้แต่เด็ดไม่ถึงจึงถอนต้นมันขึ้นมาทั้งราก ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ยังสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าจั๋วหม่าน้อยผู้คาดเดาอะไรไม่ได้ผู้นี้จะเอากระบี่โหราจารย์ออกมาได้หรือไม่ หากได้มาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่สายเลือดของนางไม่บริสุทธิ์ก็คงจะ…ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

จีหมิงซิวมองเฉียวเวยอย่างรักใคร่ ในแววตาแฝงความนัยที่ผู้อื่นอ่านไม่ออก

ตอนที่เฉียวเวยกำลังผ่าก้อนหินอย่างระมัดระวังอยู่นั่นเอง ประมุขตระกูลไซน่าก็ไล่ตามหัวขโมยน้อยมาถึงด้านนี้

“หัวขโมยน้อยจะหนีไปไหน” ประมุขตระกูลไซน่าตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ยิงธนู!”

“ยิงไม่ได้ๆ!” ผู้อาวุโสห้าตะโกน “ตำหนักโหราจารย์จะเสียหาย!”

ประมุขตระกูลไซน่าโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โบกมือให้องครักษ์ถอยไปแล้วชักดาบโค้งที่ห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมาฟันใส่หัวขโมยน้อยผู้นั้น

หัวขโมยน้อยฝ่าเข้ามากลางกลุ่มคน เขาชนสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่จนหงายหลัง จากนั้นก็ถลาไปชนผู้อาวุโสใหญ่จนล้มคว่ำ

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามขมวดคิ้ว ดีดนิ้วส่งคลื่นลมอันรุนแรงสายหนึ่งออกมา

หัวขโมยน้อยถูกโจมตีตรงข้อพับจึงเซถลาไปหาเฉียวเวยที่อุ้มก้อนหินอยู่ เขาพุ่งเข้ามาชนก้อนหิน เจ็บจนสองตาเห็นดาว

เฉียวเวยหันไปมองเขา

เขาก็หันมามองเฉียวเวย

ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ขนอ่อนของเขาลุกชันขึ้นมาทันที “นางยักษ์!”

เฉียวเวยเบิกตาโต “เจ้าคนชั่ว!”

“เจ้าหัวขโมย ! ปล่อยจั๋วหม่าน้อยซะ!” ประมุขตระกูลไซน่าฟันดาบใส่แผ่นหลังของเขา

เขาจึงคว้ากระบี่โหราจารย์ จากนั้นดึงออกมาขวางดาบโค้งของประมุขตระกูลไซน่า