ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 93 ถอนรากถอนโคน (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

รัชศกถงไท่ปีที่สิบสี่ เดือนแปด ท่านกงฝึกฝนทหารจนชำนาญแล้วจึงนัดแนะหรงเยวียนรวมกำลังพลบุกยึดเซียงหยาง หรงเยวียนถูกกองทัพแข็งแกร่งสกัดทำให้มิอาจรุกคืบ ถูกขวางอยู่ที่จิ้งหลิง ท่านกงยกทัพออกมาทางอี้หยาง เดินทัพผ่านเยวียนเฉิง เติ้งโจว ตีเซียงหยางแตก เมื่อทราบข่าวว่าฉู่กั๋วโหวเจียงเจ๋อป้องกันกู่เฉิงอยู่จึงนำทัพบุกตีเมือง เจียงเจ๋อบรรเลงพิณเหนือกำแพงเมือง ท่านกงได้ยินเสียงพิณก็ถอยทัพ ถอนหายใจกล่าวว่า ‘อาจารย์ข้ามิใช่จะบุกตีได้ง่ายๆ รอหนึ่งคืน’

หรงเยวียนถอยทัพจากจิ้งหลิง ทราบข่าวท่านกงยึดเซียงหยางสำเร็จก็โกรธจัด ถวายฎีกาสองฉบับติดกันใส่ร้ายว่าท่านกงครองกำลังทหารเอาตนเป็นใหญ่ ยามนั้นในหมู่ชาวบ้านมีบทเพลงแพร่หลายร้องว่า ‘ลู่อ๋องผงาดขึ้นบัญชา พันกองทัพพร้อมขานรับ’ อัครมหาเสนาบดีซั่งคลางแคลงว่าท่านกงมีความคิดจะตั้งตนเป็นใหญ่

ท่านกงไม่ทราบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเจียงหนาน เขาบุกตีกู่เฉิงอยู่สิบวัน ขณะที่กำลังจะตีได้ ท่านกงก็ทราบว่าเซียงหยางตกอยู่ในอันตรายจึงทิ้งกู่เฉิงยกทัพกลับ ปราบกองทัพต้ายงแพ้พ่ายที่นอกเมือง ท่านกงกังวลว่าเซียงหยางจะขาดกำลังพลจึงขอกองหนุนจากราชสำนัก อัครมหาเสนาบดีซั่งทราบเรื่องก็สงสัยว่าท่านกงลอบสมคบกับคนต้ายง จึงเร่งให้เจ้าแคว้นออกราชโองการเรียกตัวเขากลับ ท่านกงปฏิเสธอ้างว่าแม่ทัพอยู่ไกลมิฟังคำสั่ง เจ้าแคว้นสดับคำตอบพลันพิโรธ ออกราชโองการถอยทัพเรียกให้เข้าเฝ้าติดกันเจ็ดฉบับ

ท่านกงด้านนอกไร้กำลังเสริม ด้านในขาดแคลนเสบียงจึงมิอาจมิถอยทัพ เขาโต้ลมร่ำไห้ ‘การใหญ่มิทันสำเร็จต้องหวนคืนทักษิณกลางคัน นับจากวันนี้มิอาจมุ่งหวังจงหยวนอีกต่อไป’

ตอนท่านกงจะยกทัพกลับ ประชาชนเซียงหยางมาขวางหน้าอาชาบอกว่า ‘พวกข้าช่วยแม่ทัพใหญ่ป้องกันเมือง กองทัพต้ายงใช้กฎกองทัพปกครองเซียงหยางคงไม่ละเว้นพวกข้าเป็นแน่’

ท่านกงได้ยินก็หลั่งน้ำตา ชะลอการเดินทัพ รอให้ชาวบ้านอพยพลงใต้ กองทัพต้ายงรู้ข่าวก็โกรธเกรี้ยว โหมบุกมิถอย ท่านกงป้องกันอยู่เจ็ดวันแล้วจึงเผาเซียงหยางถอยทัพกลับ

เดือนเก้า ท่านกงนำทัพกลับถึงอันลู่ ผู้แทนพระองค์เดินทางมาถึงในกองทัพเร่งรัดให้ท่านกงรีบเดินทางเข้าเมืองหลวง แม่ทัพใต้สังกัดบางคนเกลี้ยกล่อมให้เขาก่อกบฏ ท่านกงกล่าวว่า ‘จะผิดต่อความภักดีได้เช่นไร’ จากนั้นจึงออกเดินทางทั้งที่เจ็บป่วย ทหารทั้งกองทัพหลั่งน้ำตา

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง

เหวยอิงทราบว่าเวลานี้สือกวนแม่ทัพใหญ่แห่งไหวซีกำลังรักษาการณ์อยู่ที่เมืองโซ่วชุน ขณะที่ลู่อวิ๋นนำกองทหารม้าเฟยฉีทำสงครามกับกองทัพต้ายงอยู่ที่จงหลี หลายปีที่ผ่านมาลู่อวิ๋นยกทัพท่องไปมาระหว่างซู่โจวกับเซียวเซี่ยน หลบเลี่ยงคมอาวุธของศัตรู คอยจู่โจมจุดอ่อนของข้าศึก กลายเป็นแม่ทัพน้อยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสองปีก่อน ลู่อวิ๋นกับสืออวี้จิ่นสองคนมักจะออกรบด้วยกัน จึงกลายเป็นว่าเหมือนเห็นคนอยู่ทางซ้าย แต่ประเดี๋ยวก็โผล่มาทางขวา ปั่นป่วนกองทัพศัตรูจนโกลาหล หากได้ลู่อวิ๋นสนับสนุน ชูแขนปลุกระดม อย่างน้อยกองทัพไหวซีก็คงจะลุกขึ้นสนับสนุน บิดาบุตรใจสื่อถึงกัน บางทีอาจบีบให้ลู่ช่านจำต้องก่อกบฏสำเร็จก็เป็นได้ หรืออาจถึงขั้นมิจำเป็นต้องชูธงกบฏ เพียงจงใจจุดชนวนศึกที่ชายแดนให้เปิดศึกกับต้ายง พอสงครามบังเกิด ซั่งเหวยจวินย่อมมิกล้าสังหารลู่ช่านโดยง่ายแล้ว

พอคิดมาถึงตรงนี้ เหวยอิงก็มิอนาทรความเหนื่อยยาก เร่งรีบเดินทางตลอดคืนมุ่งสู่จงหลี เขาทราบดีว่าเมื่อลู่ช่านยอมให้จับตัวแต่โดยดีแล้ว ผู้แทนพระองค์ของราชสำนักย่อมมุ่งหน้ามายังไหวซีต่อ ดังนั้นเขาต้องหวดแส้เร่งม้า รีบไปให้ถึงก่อนผู้แทนพระองค์คนนั้น

เดือนเก้า วันที่ยี่สิบสอง เหวยอิงผู้มอมแมมไปทั้งตัวรีบเร่งมาถึงโซ่วชุน แต่เดิมเขาไม่คิดแวะเข้าเมือง หมายจะตรงไปพบลู่อวิ๋นที่จงหลีเลย แต่ทว่าเขากลับเห็นองครักษ์สิบกว่าคนคุ้มกันแม่ทัพหนุ่มผู้สวมเกราะสีเงินกับผ้าคลุมสีแดงดุจโลหิตคนหนึ่งฝ่าออกมาจากประตูเมือง แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นถือหอกสีเงิน กวัดแกว่งจนกลายเป็นเงา ทหารที่ป้องกันประตูเมืองเหล่านั้นพากันหลีกทาง ปล่อยให้พรรคพวกของเด็กหนุ่มผู้นั้นฝ่าพ้นประตูเมือง

เหวยอิงหลบเข้าข้างทางแล้วมองตามจนสุดสายตา ด้านหน้าของแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นเหมือนมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ แต่เขาใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่ห่อคนผู้นั้นไว้จนมิด ท่วงท่าอันองอาจผ่าเผยของแม่ทัพหนุ่มทำให้ผู้ได้ยลต้องชื่นชม ทว่าเหวยอิงเห็นแล้วกลับรู้สึกเหน็บหนาว ถึงแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นจะสวมชุดเกราะเต็มตัว แต่เขาก็จดจำได้ว่าเขาคือสืออวี้จิ่น ภรรยาของลู่อวิ๋น

สืออวี้จิ่นมิเหมือนสตรีทั่วไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลู่อวิ๋น ครองตำแหน่งรองแม่ทัพของค่ายเฟยฉี ความห้าวหาญแกร่งกล้าของนางมิแพ้บุรุษ ทุกครั้งยามออกรบนางล้วนสวมเกราะสีเงิน รูปลักษณ์ภายนอกละม้ายคล้ายลู่อวิ๋น กองทัพต้ายงต่างรู้จักนามลู่สือของนาง นางเป็นทั้งแม่ทัพหนุ่มผู้เลื่องชื่อระบือนามแห่งหนานฉู่และบุตรีของสือกวน เหตุไฉนจึงต้องตะลุยฝ่าออกมาจากเมืองโซ่วชุนด้วย

ชั่วขณะที่เหวยอิงรีรอ คนกลุ่มนั้นก็ควบอาชาผ่านเขาไปประหนึ่งลมกรด ผ้าคลุมผืนใหญ่ถูกสายลมพัดปลิวสะบัดเผยให้เห็นดวงหน้าของคนผู้นั้นที่อยู่ด้านหน้าของสืออวี้จิ่น นางเป็นเด็กสาวอ้อนแอ้นอรชรงามตรึงตราคนหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เหวยอิงตกตะลึงก็คือ ดรุณีน้อยผู้นี้คือลู่เหมย บุตรีเพียงหนึ่งเดียวของลู่ช่าน

สืออวี้จิ่นเดิมทีตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว มิเช่นนั้นนางก็คงไม่จากจงหลีกลับมาพักที่โซ่วชุน แต่เวลานี้นางกลับควบอาชาห้อตะบึงบนถนน หรือว่าผู้แทนพระองค์จากราชสำนักจะลงมือกับไหวซีแล้ว ไม่ก็สือกวนลงมือทำอะไรบางอย่าง เหวยอิงยังมิทันขบคิดเรื่องนี้ตกก็เห็นทหารสวมชุดราชองครักษ์กองหนึ่งแห่ออกมาจากเมือง ไล่ตามพวกสืออวี้จิ้นไปอย่างกร่างกำเริบ

เหวยอิงเกือบพลัดตกหลังม้า ทหารราชองครักษ์กองนี้เหิมเกริมเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ไล่ฆ่าบุตรีของสือกวนในเขตไหวซี สือกวนลอบส่งสัญญาณนิดเดียวก็ล้อมสังหารพวกเขาได้แล้ว อย่างมากที่สุดก็ปัดความรับผิดชอบให้กองทัพต้ายงเท่านั้น ความสงสัยผุดพรายในใจ หรือว่าสือกวนจะหันไปเข้ากับซั่งเหวยจวินเร็วถึงเพียงนี้ เขาจะทำร้ายลู่เหมย สืออวี้จิ่นจึงขัดคำสั่งบิดาช่วยเหมยเอ๋อร์หนีไป

ต่อจากนั้นเหวยอิงก็เห็นทหารม้ากลุ่มหนึ่งของกองทัพไหวซีพุ่งออกมาจากประตูเมือง ในใจเขายิ่งร้อนรน เวลานี้เหวยอิงไม่คิดจะเข้าเมืองไปพบสือกวนแล้ว หากสือกวนหันไปเข้ากับซั่งเหวยจวินแล้วจริงๆ ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตนลงมือช่วยสืออวี้จิ่นก็ไร้ประโยชน์ แต่หากมิใช่ ตนก็มิจำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง มิสู้รีบเร่งเดินทางไปจงหลีเสียตอนนี้ บอกข่าวให้ลู่อวิ๋นทำใจเตรียมรับมือสักหน่อยจะดีกว่า

ถึงกระนั้นในใจของเหวยอิงก็คล้ายจะมองเห็นเงาเลือนรางของความล้มเหลว แม้แต่คนภักดีเช่นตระกูลลู่ก็มิได้รับความเมตตาจากสวรรค์ ทำได้เพียงปล่อยให้คนเจ้าเล่ห์เพทุบายผู้นั้นกระทำการชั่วช้าสำเร็จโดยที่ตนไม่มีโอกาสสักนิดจริงๆ หรือ

ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกเกราะของสืออวี้จิ่นซีดเผือด นางมิได้ขี่ม้ามาหลายเดือนจึงไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง นอกจากนั้นความรู้สึกไม่สบายตัวที่รู้สึกอยู่เลือนรางก็ทำให้นางเวียนหัวตาลาย แต่นางยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างแน่วแน่ มิยอมเผยความเหนื่อยล้าให้เห็นแม้แต่เศษเสี้ยว นางกอดเหมยเอ๋อร์แน่น ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ

สิบกว่าวันก่อนนางทราบข่าวว่าลู่ช่านผู้เป็นพ่อสามีถูกใส่ร้าย นางรู้สึกไม่สบายใจจึงรบเร้าให้บิดาถวายหนังสือแก้ต่างแทนพ่อสามี แต่กลับเหมือนก้อนหินจมลงในมหาสมุทร สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือเมื่อคืนวานองครักษ์คนสนิทข้างกายบิดาลอบมาบอกนางว่าซั่งเหวยจวินส่งผู้ส่งสารมาเยือน แจ้งว่าแม่ทัพใหญ่ถูกจับกุมเข้าเมืองหลวงแล้ว จึงต้องการคุมตัวสามพี่น้องตระกูลลู่กลับเมืองเจี้ยนเย่เป็นการลับด้วย ฝ่ายบิดาก็ยอมตกลง ขอเพียงปกป้องตนไว้ได้คนเดียวก็พอ

สืออวี้จิ่นแค้นที่บิดาไร้คุณธรรมจึงไม่รอช้า ไปตามหาลู่เหมยแล้วพาองครักษ์คนสนิทข้างกายฝ่าออกจากเมืองโซ่วชุน นางตั้งใจจะเดินทางไปรวมพลกับลู่อวิ๋นที่จงหลี จึงไม่มีเวลาสนใจอาการไม่สบายบนร่าง และยิ่งไม่มีเวลาสนใจอธิบายความจริงให้เหมยเอ๋อร์ฟัง ทำได้เพียงมุ่งมั่นเร่งเดินทาง

โชคดีที่ทหารรักษาเมืองล้วนไม่กล้าประมือกับนางจึงปล่อยให้นางฝ่าพ้นประตูเมืองมาได้ง่ายๆ ออกจากเมืองมาไม่นานนางก็รู้สึกว่าด้านหลังมีกองทหารราชองครักษ์ไล่ตามมา นางตัดสินใจนำองครักษ์คนสนิททั้งหลายหันหัวม้ากลับเข้าประจัญบาน

แม้ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นจะผ่านการฝึกฝนมาตลอดหลายปี แต่เมื่อเทียบกับยอดทหารม้าแห่งกองทัพไหวซีที่เข่นฆ่าศัตรูมาเนิ่นนาน พวกเขาย่อมเสมือนลูกวัวแรกเกิดเท่านั้น แม้พวกเขาจะบุกเข้ามาอย่างไม่หวาดหวั่น ทว่าก็ถูกพรรคพวกของสืออวี้จิ่นตีจนแตกพ่ายอย่างง่ายดาย

สืออวี้จิ่นควบอาชาตะลุยเดี่ยวนำหน้า นางควงหอกเสียบทะลุหน้าอกของแม่ทัพกองทหารองครักษ์ แต่แล้วขณะที่กำลังจะเค้นเรี่ยวแรงสะบัดศพออก จู่ๆ มือก็พลันไร้เรี่ยวแรง พละกำลังมลายสิ้น โลหิตจึงสาดกระเซ็นเข้ามาหา เกราะสีเงินของนางเปื้อนโลหิตไปทั้งตัว โชคยังดีที่ลู่เหมยถูกนางใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่ห่อไว้ด้านหน้าจึงไม่เปื้อนโลหิต สืออวี้จิ่นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หอกสีเงินยกชี้บรรดาพลทหารของกองทหารราชองครักษ์ที่กำลังหนีกระเจิง จากนั้นตะโกนเสียงลั่น “ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”

ในตอนนี้เอง ฝุ่นควันก็ฟุ้งตลบจากที่ไกลๆ แม่ทัพวัยกลางคนผู้หนึ่งนำทหารกองทัพไหวซีร้อยกว่าคนมุ่งมาหา พลทหารไหวซีเหล่านั้นแปรแถวออกสองฝั่งประหนึ่งปีกสองข้างแผ่สยาย ปกป้องทหารราชองครักษ์ที่หนีมาทางพวกเขา แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพน้อย ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ขอแม่ทัพน้อยกับคุณหนูลู่กลับโซ่วชุนทันที”

สืออวี้จิ่นตวาดเกรี้ยวกราด “เฉินหมิง เจ้าถึงกับกล้ามาจับข้า ลืมแล้วหรือว่าตอนนั้นผู้ใดเป็นคนชำระแค้นศัตรูที่สังหารพี่ชายเจ้า เจ้าไม่ละอายต่อน้องอวิ๋นกับข้าหรือไร”