แม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าอับอาย แต่ก็เอ่ยตอบอย่างวิตกกังวล “แม่ทัพน้อย คำสั่งกองทัพมิอาจขัดขืน ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าบอกแม่ทัพน้อยว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ แต่มิมีที่ใดให้หนี แทนที่จะกระเสือกกระสนหายใจรวยริน มิสู้รักษาชื่อจงรักภักดี อีกอย่างท่านแม่ทัพย่อมถวายฎีกาปกป้อง ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสรอด ขอแม่ทัพน้อยเข้าใจความลำบากใจของท่านแม่ทัพ อย่าให้ถูกตราหน้าว่ามิจงรักภักดีเลย”
สืออวี้จิ่นแต่เดิมก็นิสัยดั่งเปลวเพลิง นางยกหอกเงินชี้เฉินหมิงแล้วตวาดด่า “ข้ามิสนความจงรักภักดีอันใด หากกล่าวถึงความภักดี ยังมีผู้ใดเหนือกว่าแม่ทัพใหญ่อีก ถึงกระนั้นเจ้าแคว้นออกราชโองการคำเดียว พ่อสามีก็ยังต้องเข้าไปอยู่ในคุก ข้าไม่มีทางปล่อยให้น้องอวิ๋น น้องรองกับเหมยเอ๋อร์ไปตายที่เจี้ยนเย่
กลับไปบอกท่านพ่อของข้า ตอนนั้นงานแต่งนี้เขาเป็นคนส่งเสริม ยิ่งกว่านั้นพวกเราตระกูลสือก็ได้ตระกูลลู่สนับสนุนขึ้นมา หากเขาจะอกตัญญูเนรคุณ ช่วยเสนาบดีชั่วคนนั้นมาทำร้ายพวกเราสามีภรรยา ต่อให้ตาย ข้าก็จะไม่นับเขาเป็นพ่อ”
เฉินหมิงฟังคำนี้จบ ดวงตาก็เผยแววตาประหลาดก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อแม่ทัพน้อยพูดถึงขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยก็ได้แต่ล่วงเกินแล้ว บุก ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ห้ามทำร้ายแม่ทัพน้อยกับคุณหนูเหมย”
สืออวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด คิดไม่ถึงว่าเฉินหมิงจะกล้าลงมือจริงๆ ขณะที่กำลังจะควงหอกบุกเข้าไป องครักษ์คนสนิททั้งหลายก็ชิงออกมาขวาง ตะโกนบอกเสียงดังว่า “แม่ทัพน้อยโปรดหนีไปก่อน พวกเราจะสกัดท้ายให้เอง”
สืออวี้จิ่นตะลึงงัน หากเป็นก่อนหน้านี้ อย่าพูดถึงการปล่อยให้ลูกน้องเป็นคนสกัดศัตรูท้ายขบวนเลย หากตนเองพุ่งเข้าไปประจัญบาญช้าสักก้าว นางก็เสียใจนานหลายวันแล้ว แต่เมื่อนึกถึงสภาพของตนในวันนี้ แล้วคิดถึงเหมยเอ๋อร์ในอ้อมแขน แทนที่จะถูกรั้งอยู่ที่นี่มิสู้หนีไปก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ต่างฝ่ายต่างมิใช่ศัตรู ขอเพียงตนเองหนีรอดไปแล้ว ทหารเหล่านี้ย่อมทิ้งอาวุธยอมจำนนเอง เฉินหมิงเองก็คงไม่สร้างความลำบากให้พวกเขา
พอคิดมาถึงตรงนี้ นางก็ตวาดกร้าว “เฉินหมิง หากเจ้าสังหารพวกเขา ช้าเร็วเจ้าจะต้องสังเวยชีวิตใต้คมหอกของข้า” กล่าวจบก็ควบม้าห้อตะบึงจากไป มีองครักษ์คนสนิทแปดนายติดตามนางไปด้วย ส่วนองครักษ์อีกครึ่งหนึ่งรั้งอยู่ขวางกองทหารที่ไล่ตาม เพียงชั่วครู่เงาแผ่นหลังของพวกสืออวี้จิ่นก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นต่อสู้ขัดขวางอย่างมิคิดชีวิต เฉินหมิงถูกขวางอยู่เพียงครู่เดียวก็ไล่ตามไม่ทัน จึงถอนหายใจเอ่ยว่า “แม่ทัพน้อยไปแล้ว พวกเจ้ายังไม่วางอาวุธยอมจำนน ตามข้ากลับไปขอรับโทษจากท่านแม่ทัพอีก”
องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นล้วนเป็นลูกน้องเก่าของสือกวน เพียงแต่ถูกสืออวี้จิ่นเลือกไปเป็นองครักษ์คนสนิท หากมิใช่ทำเพื่อแม่ทัพน้อย พวกเขาก็คงไม่สู้กับเฉินหมิง พอได้ยินคำนี้จิตใจก็หมดความฮึกเหิม องครักษ์คนสนิทสองคนถูกโจมตีจนร่วงจากหลังม้า พอองครักษ์คนสนิทที่เหลือเห็นเช่นนี้จึงยิ้มเจื่อนทิ้งอาวุธ ปล่อยให้ทหารใต้บัญชาของเฉินหมิงจับตัวพวกเขาไป
ไหนเลยจะคาดคิดว่าทันใดนั้นทหาราชองครักษ์นายหนึ่งกลับยกดาบเหล็กฟันลงมา พวกเฉินหมิงต่างคิดไม่ถึง จึงได้แต่เบิกตามององครักษ์คนสนิทคนหนึ่งล้มลงจมกองเลือด ทหารราชองครักษ์ผู้นั้นถูกทหารไหวซีคนที่เหลือขวางไว้ทันควัน แต่ทหารราชองครักษ์คนนั้นกลับบอกอย่างมิยอมแพ้ “คนพวกนี้เป็นคนถ่อยโจรกบฏ สมควรสังหารทุกคน หากหัวหน้ากองพันเฉินปกป้องพวกเขาก็จะมีโทษเดียวกัน”
แววตาเหี้ยมเกรียมฉายวาบในดวงตาของเฉินหมิง แต่สติฉุดรั้งให้นึกได้ว่าท่านแม่ทัพออกคำสั่งมาอย่างเด็ดขาด ในที่สุดจึงฝืนข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยว เอ่ยว่า “พวกเขาทำผิดกฎกองทัพ ท่านแม่ทัพย่อมเป็นผู้ลงโทษ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านยุ่งไม่เข้าเรื่อง ที่นี่คือไหวซี หาใช่เจี้ยนเย่”
ทหารราองครักษ์นายนั้นเพิ่งสังเกตเห็นเพลิงโทสะในดวงตาของผู้คนรอบกาย พอคิดได้ว่าตอนนี้ตนเองมีจำนวนคนเพียงน้อยนิด หากถูกผู้อื่นสังหารปิดปากคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะตะโกนร้องขอความยุติธรรม มิสู้กลับไปใส่สีตีไข่ให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ฟังสักยกจะดีกว่า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความยโสโอหังของเขาก็ลดลงทันที ดวงตาฉายแววหวาดกลัวเพิ่มขึ้นมา
เฉินหมิงมองเขาอย่างเย็นชาหนหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดัง “กลับค่าย!” กล่าวจบตนเองก็ตรงไปอุ้มศพองครักษ์คนสนิทที่ถูกสังหารคนนั้นมาขึ้นม้าห้อตะบึงจากไป ทหารไหวซีที่เหลือสบตากันแล้วพากันตัดเชือกที่มัดองครักษ์คนสนิทที่ยอมจำนนเหล่านั้น ปล่อยให้พวกเขาขึ้นม้ากลับไปด้วยตนเอง จะได้มิถูกทหารราชองครักษ์เหล่านั้นทำร้ายอีก
จากนั้นพวกเขาก็หันหลังควบอาชากลับอย่างไม่สนใจ ทหารราชองครักษ์ที่รอดชีวิตเหล่านั้นล้วนโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ แต่พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจศพของสหายร่วมรบ ได้แต่ควบม้าติดตามกองทัพไหวซีจากไป จะได้มิถูกทิ้งให้รั้งท้ายแล้วตายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สืออวี้จิ่นควบม้าห้อตะบึงออกมานานแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องดูสภาพของลู่เหมยเสียหน่อย นางตะโกนสั่งให้ทุกคนหยุดพาหนะ ตัวนางเปิดหน้ากากและตลบผ้าคลุมออก หลังจากมองสำรวจรอบหนึ่งพบว่าบนร่างลู่เหมยไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บจึงวางใจ แต่แล้วหูกลับได้ยินเสียงสะอื้น นางหันไปมองอย่างตกใจ เห็นดวงหน้างามวิไลดุจเทพธิดาของลู่เหมยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
พอลู่เหมยรู้สึกถึงสายตาเป็นกังวลของสืออวี้จิ่นก็เงยหน้าขึ้น รวบรวมความกล้าถามว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดพวกเขาบอกว่าท่านพ่อถูกจับไปขังคุก เหตุใดท่านลุงสือจึงต้องการจับตัวพวกเรา”
สืออวี้จิ่นหัวใจเจ็บแปลบ ตอบว่า “เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวล แม้ท่านพ่อจะประสบเรื่องยากลำบากอยู่ แต่ใช่จะไร้หนทางพลิกสถานการณ์ บิดาของข้าเนรคุณ ข้าเองก็ดูแคลนเขา แต่เขาคงไม่ถึงขั้นจะเข่นฆ่ากันให้สิ้นซาก พวกเราไปตามหาพี่ใหญ่ของเจ้าก่อน ถึงเวลามีทหารม้าเฟยฉีคุ้มกัน คงไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับพวกเรา”
ดวงตาของลู่เหมยมีหยดน้ำตาเอ่อคลอ นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้ารู้ว่าทุกคนล้วนไม่ต้องการบอกความจริงกับข้า พระพันปีหลวงต้องการให้ข้าเข้าวังเป็นกุ้ยเฟย แต่ตัวข้ามิปรารถนา พี่รองจึงหลอกข้าเดินทางมาโซ่วชุนโดยไม่บอกความจริงกับข้า ตอนนี้พี่สะใภ้ก็ยังทำเช่นนี้เหมือนกัน ทั้งหมดเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์ไร้ประโยชน์ ช่วยเหลือทุกคนไม่ได้ แล้วยังเป็นตัวภาระของพี่สะใภ้”
สืออวี้จิ่นยิ่งปวดร้าว ปลอบเสียงเบาว่า “สาวน้อยโง่เขลา เจ้าเป็นไข่มุกกลางฝ่ามือของคนตระกูลลู่ หากต้องปล่อยให้เจ้าว้าวุ่นใจเรื่องศึกสงครามกับการต่อสู้ในราชสำนัก พวกเรายังจะอยู่ไปเพื่ออะไร เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิตก็จะปกป้องเจ้าให้ได้ อย่างมากที่สุดข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก็ควงหอกคู่ตะลุยฝ่าออกไปจากไหวซีเท่านั้น”
ลู่เหมยฟังจบ น้ำตายิ่งร่วงพรู ซุกกายเข้าหาหน้าอกของสืออวี้จิ่น เอาแต่สะอื้นไม่พูดไม่จา องครักษ์คนสนิททั้งแปดคนล้วนสีหน้าหม่นหมอง คนหนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างแค้นใจ “ท่านแม่ทัพยึดถือคุณธรรมมาตลอด หนนี้หันไปพึ่งอำนาจอัครมหาเสนาบดีได้อย่างไร แม้แต่แม่ทัพน้อยก็มินึกถึง” พอกล่าวคำนี้ออกมาจบ เขาก็ตระหนักได้ว่าพลั้งปากเสียแล้ว สืออวี้จิ่นสีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ลู่เหมยกรีดร้องตกใจอย่างห้ามตนเองไม่ได้ นางเอื้อมมือออกมาประคองสือวี้จิ่น
ทุกคนต่างทราบว่าสืออวี้จิ่นมีนิสัยชอบเอาชนะ หนนี้ความลำบากที่ต้องระหกระเหินหนีออกจากโซ่วชุนยังเจ็บปวดมิเท่าบิดาเป็นคนออกคำสั่ง องครักษ์คนสนิทผู้นั้นสำนึกเสียใจจนยากจะทนรับไหว เขาตบหน้าตนเองแรงๆ หนึ่งหน สืออวี้จิ่นฝืนลืมตาแล้วบอกเสียงเรียบ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ช่างเถิด พวกเราไปจงหลีกันก่อน”
พอเอ่ยคำนี้จบ ทุกคนก็ขานรับอย่างพร้อมเพรียง แต่ในเวลานี้เอง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “จงหลีหนทางยาวไกล เกรงว่าทุกท่านคงไปมิถึง ให้ข้าส่งแม่ทัพน้อยสือกับคุณหนูลู่ไปปรโลกแทนเถิด”
ทุกคนได้ยินเสียงพลันหันไปมอง บนทางเส้นน้อยทางฝั่งซ้าย ห่างไปร้อยกว่าจั้ง มีสตรีอาภรณ์เขียวนางหนึ่งเดินออกมาอย่างแช่มช้า ดูเหมือนการเคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างยิ่ง ทว่าเพียงพริบตาเดียวกลับขยับมาถึงตรงหน้า เท้ามิแปดเปื้อนฝุ่นดิน อาภรณ์สีเขียวพลิ้วสะบัด ท่วงท่างดงามชดช้อย แม้คิ้วเรียวกับหางตาจะมีร่องรอยของกาลเวลาอยู่บ้างแต่รูปโฉมก็ยังงดงามชวนหวั่นไหว มิเป็นรองสาวน้อยวัยแรกแย้ม ทั้งร่างของนางนอกจากกระบี่ครามคมเล่มหนึ่งที่สะพายอยู่บนหลังก็มิมีสิ่งอื่นใด แลดูเรียบง่ายมิฟุ้งเฟ้อ
คิ้วของสืออวี้จิ่นขมวดแน่น พลางจ้องมองสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้น นางเคยเรียนวิทยายุทธ์ของสำนักเอ๋อเหมย มิได้ใช้เป็นแต่วรยุทธ์สำหรับเข่นฆ่าในสนามรบ นางมองปราดเดียวก็เห็นว่าสองตาของสตรีนางนี้ทอประกายเย็นยะเยือก ปราณกระบี่ทั่วร่างน่าครั่นคร้าม เป็นยอดฝีมือที่หาได้น้อยนัก หากต่อสู้ในสนามรบตนเองยังมีโอกาสสู้ได้อยู่สองสามส่วน แต่หากเป็นการต่อสู้เข่นฆ่าเฉกเช่นในยุทธภพ ตนเองคงพ่ายแพ้ยับเยิน
สืออวี้จิ่นตบหลังปลอบลู่เหมยที่ตัวสั่นระริกเบาๆ แล้วตะโกนว่า “เจ้าคือผู้ใด กล้ามาขวางทางข้า”
สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นดวงตาฉายแววเยาะหยันจางๆ ก่อนจะตอบออกมาเรียบๆ “ข้ามีนามว่าเฟิ่งเฟยเฟย แม่ทัพน้อยอาจมิเคยได้ยินนามนี้”
สืออวี้จิ่นฉงนงงงวย รู้สึกว่าฟังดูคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินนามนี้มาจากที่ใด มิรู้ว่าอย่างไร สืออวี้จิ่นกลับรู้สึกว่าสีหน้าเยาะหยันของสตรีนางนี้มิได้มุ่งมาที่ตน แต่เหมือนจะเยาะหยันตัวนางเองเสียมากกว่า ทว่าเวลานี้นางไม่มีเวลาขบคิดสิ่งเหล่านี้ นางส่งสัญญาณผ่านสายตา องครักษ์คนสนิทผู้หนึ่งบังคับอาชาเข้ามาบอกเสียงเบา
“ล่วงเกินแล้ว” หลังจากนั้นก็เอื้อมสองมือมาอุ้มลู่เหมยไปวางไว้บนม้าของเขา แม้ลู่เหมยจะวิตกอยู่บ้าง แต่องครักษ์คนสนิทผู้นั้นอายุสามสิบกว่าปีแล้วจึงให้ความรู้สึกเหมือนญาติผู้ใหญ่ของนาง อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็ระมัดระวัง แล้วยิ่งในใจลู่เหมยเป็นห่วงสืออวี้จิ่นอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่แสดงสีหน้าผิดปกติออกมา
สืออวี้จิ่นส่งลู่เหมยหลบไปด้านข้างแล้ว ในใจก็โล่งอก ถือหอกชี้สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้น กล่าวว่า “มิว่าเจ้าเป็นผู้ใด คิดจะมาเอาชีวิตข้า ก็ต้องถามหอกเงินของข้าก่อนว่าตกลงหรือไม่”