ตอนที่ 266-1 ผู้กล้าตัวน้อยทั้งสาม ตำหนักธิดาเทพถูกเปิดโปง
ศิษย์หญิงผู้นั้นถูกลงโทษเสร็จก็เหลือเพียงลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า นางถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องหามออกจากตรอกพาขึ้นรถม้าที่ติดตามมาท่ามกลางสายตาแปลกใจของชาวเผ่าที่ล้อมมุงอยู่
แม้ไม่ทราบว่าศิษย์หญิงคนนี้ทำผิดเรื่องใด แต่การลงโทษศิษย์ของตำหนักธิดาเทพต่อหน้าธารกำนัลแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นหากเป็นก่อนหน้านี้ อย่างไรเสียในใจชาวเผ่าทั้งหมดพวกนางก็เป็นเสมือนร่างจำแลงขององค์เทพ การล่วงเกินพวกนางย่อมต้องพบกับทัณฑ์สวรรค์
ทว่าวันนี้ศิษย์หญิงคนนี้กลับถูกสำนักผู้อาวุโสลงโทษ สตรีศักดิ์สิทธิ์ดูอยู่ด้านข้างก็ยังอับจนหนทาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่เคยรู้สึกขายหน้าเท่านี้มาก่อน ฝ่ามือเหล่านั้นเหมือนไม่ได้ตบลงบนใบหน้าของลูกศิษย์ แต่ตบลงบนใบหน้าของนาง แก้มสองข้างของนางร้อนราวกับไฟเผา อยากจะรีบหาซอกรูสักแห่งมุดเข้าไปยิ่งนัก
ศิษย์ทั้งหลายต่างก็อับอายแทบจะทนมิไหว แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางเหิมเกริมวางอำนาจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่เสร็จก็ยังได้รับการคำนับจากผู้คนนับพันหมื่นเช่นเดิม ไหนเลยจะรู้ว่าตีห่านป่าทุกวัน วันนี้กลับถูกห่านป่าจิกตาเข้าให้ ถูกองครักษ์ของผู้อื่นสั่งสอนเข้าแล้ว
หลังจากศิษย์พี่ศิษย์น้องของศิษย์หญิงหามนางขึ้นรถม้าอย่าเร็วไว ศิษย์ที่เหลือก็หาข้ออ้างต่างๆ นานาขึ้นรถม้าไปบ้าง
วันนี้ขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ สำหรับศิษย์ที่ถูกยกยอจนเคยชินอย่างพวกนางช่างเป็นเรื่องที่มิอาจทนรับได้โดยแท้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองคนที่ถูกเรียกขานว่าท่านโหราจารย์ผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา ทว่าท่านโหราจารย์เดินเชิดหน้าจากไปอย่างพึงพอใจตั้งแต่ชั่วขณะแรกที่การลงโทษเสร็จสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสห้าติดตามเขาไป ยิ้มถามว่าเขาหิวหรือไม่ ต้องการกินสิ่งใดหรือไม่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าเขียว “เจ้าเด็กเวร เจ้าอย่าตกมาอยู่ในกำมือของข้าเชียว!”
ห่างไปไม่ไกล มีคนกำลังชมเรื่องสนุกอยู่
เฮ่อหลันชิงพิงตัวรถม้าอย่างเกียจคร้าน ผ้าคลุมสีดำห่มเรือนร่างอรชรของนางไว้ เท้าของนางสวมรองเท้าหุ้มข้อคู่น้อยสีดำสนิทมันวาวที่ทำจากหนังวัว ขับเน้นให้ขาสองข้างของนางยิ่งแลดูเหยียดตรงและเรียวยาว นางกอดอกมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ริมฝีปากสีแดงยกโค้ง ยิ้มอย่างสาแก่ใจ
มือที่อยู่ในแขนเสื้อกว้างของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำหมัด เมื่อครู่หากนางไม่เห็นว่านางมารคนนี้อยู่ตรงนี้ด้วย นางไม่มีทางปล่อยให้สำนักผู้อาวุโสลงโทษศิษย์ของนาง หากนางขัดขวางสำนักผู้อาวุโส นางมารคนนี้จะต้องออกโรงเองแน่ ถึงยามนั้นศิษย์ของนางคงไม่เหลือชีวิตจริงๆ
เฮ่อหลันชิงยิ้มจางๆ “มองอะไร มองอีกร้อยหน เจ้าก็หน้าตาเหมือนข้าไม่ได้หรอก”
‘มิน่าเจ้าถึงอารมณ์ร้ายนัก กล่าวกันว่าบุรุษคือหยาง สตรีคือหยิน หยินหยางต้องสมดุล ทุกเรื่องจึงราบรื่น ไม่เช่นนั้นภายในของเจ้าก็จะเสียสมดุล อารมณ์ร้อน แล้วยังโมโหง่าย ริษยาง่าย ใบหน้าแก่เร็ว เจ้าดูสิเจ้ากับมารดาของข้าอายุเท่ากัน ตัวเจ้าเองก็หน้าตาไม่เลว ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาหงส์ คิ้วดุจกิ่งหลิว ริมฝีปากน้อยสีอิงเถา หน้าตางดงามตามมาตรฐานชัดๆ! แต่เวลาเจ้ากับแม่ของข้ายืนอยู่ด้วยกัน เจ้ากลับดูเหมือนแม่ของนาง!’
ทันใดนั้นคำพูดของเฉียวเวยก็ลอยขึ้นมาในสมองของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ทำให้นางโมโหจนปวดหัว!
…
เรื่องที่หอสอยดาวกับทายาทของโหราจารย์จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วเมืองน้อย ชาวเผ่าจำนวนไม่น้อยอยากมาสอดส่องดูให้รู้ชัด แต่ถูกองครักษ์ของสำนักผู้อาวุโสกับผู้นำทั้งแปดขวางไว้ หอสอยดาวเป็นตำหนักโหราจารย์แห่งสุดท้าย ล้ำค่ากว่าหอตำราลับของสำนักผู้อาวุโสมาก จำเป็นต้องปกป้องให้ดี ส่วนที่ควรจัดระเบียบก็ต้องจัดระเบียบ ส่วนที่ควรวางการป้องกันก็ต้องวางการป้องกัน ต้องเตรียมการประกาศข่าวดีเรื่องทายาทโหราจารย์ทั้งสองคนกับชาวเผ่าทั้งหลายให้เรียบร้อยก่อนจึงจะปล่อยให้ชาวเผ่าเข้ามาด้านในอย่างเป็นทางการได้
อีกฝั่งหนึ่งผู้อาวุโสเลือกองครักษ์กับหญิงรับใช้ที่ทำงานเก่งมาเริ่มทำความสะอาดหอสอยดาว
หอสอยดาวพื้นที่กว้างขวางยิ่งนัก ทั้งหมดมีสามชั้น การทำความสะอาดไม่ใช่งานเล็กๆ ผู้นำทั้งแปดก็อยากจะลงแรงช่วยด้วย จึงให้องครักษ์ของตนเองหวดแส้ควบอาชารีบเร่งกลับไปยังเมืองถ่าน่า พาบ่าวรับใช้ที่ทำงานได้เรื่องที่สุดในปราสาทมา
จีหมิงซิวจัดการตำราลับอยู่ในหอตำรา เฉียวเวยตักน้ำสะอาดมาหนึ่งอ่าง นางบิดผ้าขี้ริ้ว เช็ดถูโต๊ะเก้าอี้กับชั้นหนังสือย่างพิถีพิถัน
ผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูพักหนึ่ง เห็นทั้งสองคนเหมือนจะไม่รู้สึกถึงการมาของเขาจึงกระแอมเบาๆ เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “อะไรกัน มาจับข้าไปสอบสวนหรือไร”
ผู้อาวุโสใหญ่กระดากอาย “เรื่องนี้…”
เฉียวเวยโมโหฮึดฮัดพลางขยับมือเช็ดถูโต๊ะ “จับก็จับสิ ข้าล่วงเกินองค์เทพ เทพเจ้าไม่ชอบข้า ไม่อยากยอมรับข้าจึงทำให้แท่นประกอบพิธีถล่ม ให้ข้าไม่อาจทำพิธีกรรมลุล่วง แล้วยังทำให้เมืองน้อยแผ่นดินไหว ให้พวกท่านรับรู้เพลิงพิโรธของเขา จะได้ขับไล่ข้าออกจากเกาะ”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มแห้ง “จั๋วหม่าน้อยกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราตรวจสอบไม่ถี่ถ้วนเอง เรื่องแท่นประกอบพิธีบวงสรวงเป็นเพียงอุบัติเหตุ แผ่นดินไหวยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับจั๋วหม่าน้อย”
มือของเฉียวเวยหยุดนิ่ง ดวงตาสองข้างถลึงจนเบิกโต หันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ “แผ่นดินไหวไม่เกี่ยวข้องกับข้าหรือ ท่านหมายความว่าอย่างไร อย่าลืมเชียวว่าผู้ใดเป็นคนหาหอสอยดาวพบ แล้วคนผู้นั้นเป็นอะไรกับข้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่หวาดกลัวจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก “เขาเป็นสามีของจั๋วหม่าน้อย ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นความดีความชอบของจั๋วหม่าน้อย”
เฉียวเวยยิ้มอย่างพออกพอใจ “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! หากข้าไม่ได้พาคนผู้นี้กลับมาในเผ่าด้วย พวกท่านก็รอไปอีกหลายร้อยปีเถอะ”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม “จั๋วหม่าน้อยพูดถูกต้องที่สุด” ก่อนหน้านี้ใส่ร้ายผู้อื่นไป ยามนี้ฟังผู้อื่นระบายโทสะหน่อยก็สมควร
เฉียวเวยเปลี่ยนน้ำสะอาดมาหนึ่งอ่าง ขณะที่กำลังจะยกถังน้ำมาเทเพิ่มอีกสักหน่อย ผู้อาวุโสใหญ่ก็ชิงเข้ามาหิ้วถังน้ำก่อนหน้านางหนึ่งก้าว แล้วเทน้ำให้นางจนเต็มอ่าง
เฉียวเวยซักผ้าขี้ริ้วแล้วถอนหายใจ “ผู้อาวุโสใหญ่อย่ามาใส่ใจข้าเลย สายเลือดของข้าไม่บริสุทธิ์ ไม่มีสิทธิเป็นจั๋วหม่าน้อยของพวกท่าน”
ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งอับอายและกระอักกระอ่วนจริงๆ “จั๋วหม่าน้อยเอาสิ่งใดมาพูด ท่านแต่งงานกับท่านโหราจารย์แล้ว ผู้ใดยังจะกล้ากังขาว่าสายเลือดของท่านไม่บริสุทธิ์อีก ตระกูลเฮ่อหลันกับโหราจารย์เป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุดในเผ่า พวกท่านรวมกันเป็นหนึ่งเดียวย่อมเป็นประสงค์ของสวรรค์ บุตรที่พวกท่านให้กำเนิดจะกลายเป็นเด็กน้อยที่สายเลือดสูงศักดิ์ที่สุดในช่วงเวลาหลายปีของชนเผ่าถ่าน่า”
เฉียวเวยชอบใจคำพูดนี้
สีหน้าของเฉียวเวยไม่บูดบึ้งเท่าเดิมแล้ว แต่นางยังคงวางท่าต่อ ไม่อย่างนั้นหากหายโกรธง่ายดายเช่นนี้ ผู้คนก็คิดว่านางรังแกง่ายสิ “ข้าทำความสะอาดห้องที่ตำหนักข้างเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวก็ให้ชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติพวกนั้นเข้ามาอยู่เถอะ”
ผู้อาวุโสใหญ่เหมือนจะกังวล “ให้ชาวบ้านที่ประสบภัยเข้ามาอยู่ในตำหนักโหราจารย์ นี่จะไม่ค่อยดีหรือไม่”
เฉียวเวยจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้พวกเขาอยู่กันข้างถนนหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่รีบตอบว่า “องครักษ์กับช่างฝีมือกำลังไปสร้างเพิงให้แล้ว”
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ “มีที่ให้อาศัยเหตุใดต้องสิ้นเปลืองกำลังคนกำลังทรัพย์ไปสร้างเพิง แล้วอีกอย่างถึงเผ่าถ่าน่าจะไม่มีฤดูหนาว แต่อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนก็ต่างกันมาก ตกกลางคืนอากาศค่อนข้างเย็น ด้านนอกมีผู้เฒ่าผู้แก่กับเด็กน้อยมากมายปานนั้น เกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร ผู้ใดตรวจ ผู้ใดควักเงินจ่าย ผู้ใดซื้อยา หรือว่าค่าใช้จ่ายก้อนนี้ พวกท่านสำนักผู้อาวุโสจะออก!”
จู่ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้สึกว่าแววตาของจั๋วหม่าน้อยคมกริบยิ่งนัก! เขาหัวใจสั่นระริก ตอบว่า “ค่าใช้จ่ายจะเอามาจากคลังของเผ่าครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งทุกคนในเผ่าช่วยกันแบกรับ สำนักผู้อาวุโสกับตำหนักธิดาเทพก็จะช่วยเหลือเต็มกำลังเช่นเดียวกัน”
ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “ตระกูลเฮ่อหลันก็ต้องออกด้วยหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “ใช่แล้ว”
คนแซ่เฉียวผู้คลั่งเงินพองขนทันควัน “ถ้าอย่างนั้นยังไม่รีบให้พวกเขาย้ายเข้ามาอีก!”
ผู้อาวุโสใหญ่เกือบตกใจตาย ตอนที่บอกว่าจะจับนางไปสอบสวนความผิด จั๋วหม่าน้อยยังไม่เห็นโกรธถึงเพียงนี้ เหตุไฉนพอได้ยินว่าต้องควักเงินกลับเหมือนไปเอาชีวิตของนางเสียอย่างนั้น ผู้อาวุโสใหญ่รีบวิ่งตุปัดตุเป๋ออกไปจนชนบานประตู เขาหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้า จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาวิ่งกะโผลกกะเผลกออกไปต่อ
“หายโมโหแล้วหรือ” จีหมิงซิวอมยิ้มถาม
เฉียวเวยเดินมาที่ประตูแล้วยื่นศีรษะน้อยๆ ออกไปสอดส่องตรงโถงทางเดิน เมื่อแน่ใจแล้วว่าผู้อาวุโสใหญ่จากไปไกลจนไม่อาจไกลได้อีกแล้วก็หมุนตัวกลับมายิ้มหวาน “หายโมโหแล้ว”
จีหมิงซิวยิ้มพลางจัดตำราต่อ
เฉียวเวยเช็ดโต๊ะ เช็ดไปเช็ดมาก็เช็ดมาถึงข้างเขาแล้วกระซิบเสียงเบาว่า “เรื่องน้องชายของท่านเป็นมาอย่างไรกัน เขาถูกฝังลงสุสานไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยังฟื้นกลับมาอีก”
แต่เดิมนางอยากถามเรื่องโหราจารย์ แต่เจ้าคนชั่วนั่นสะดุดตามากเกินไป จนนางต้องเก็บความสงสัยเกี่ยวกับบรรพบุษของตระกูลจีเอาไว้ก่อน
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างเข้าอกเข้าใจ “ก็ใช่ ท่านกับเขาเกิดมาวันเดียวกัน ตอนเขาถูกฝังลงสุสาน ท่านยังอายุไม่ครบเดือนดี ตัวเขาเองจะรู้เรื่องนี้หรือไม่”
จีหมิงซิวคิดถึงท่าทางผิดแปลกต่างๆ นานาของน้องชายแล้วตอบว่า “น่าจะรู้”
เฉียวเวยกะพริบตาอย่างแปลกใจ “เขารู้แล้วเขายังจะวิ่งไปต่อกรกับตระกูลจีอีกหรือ”
จีหมิงซิวไม่ตอบนางทันที แต่ถามกลับว่า “เจ้าเห็นหน้ากากบนใบหน้าของเขาหรือไม่”
“เห็นแล้ว” แต่เดิมมีสองชิ้น ชิ้นที่เป็นทองถูกนางแย่งมา ตอนนี้ลงไปแอ้งแม้งอยู่ในหีบสมบัติของวั่งซูแล้ว ส่วนชิ้นที่เป็นหยกชิ้นนี้ นางมักจะเห็นเขาสวมไว้อยู่ตลอด
จีหมิงซิวบอกว่า “นั่นก็เป็นหยกเหมันต์ชิ้นหนึ่ง มีฤทธิ์กดกำลังภายในเหมือนกัน ตอนนั้นพวกเราต่างได้รับบาดเจ็บตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ข้าได้ผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายช่วยเอาไว้ เขาก็น่าจะพบยอดคนสักคน ได้ผู้มีวิชาสูงส่งช่วยเหลือไว้เช่นกัน”
“เขาก็ใช้กำลังภายในผนึกฝ่ามือเทพเก้าสุริยันไว้เหมือนกันหรือ” เฉียวเวยถาม
“น่าจะใช่” จีหมิงซิวตอบ
เฉียวเวยสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดเบาๆ “พอท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
จีหมิงซิวหันไปมองนาง “เรื่องอะไร”
เฉียวเวยบิดผ้าขี้ริ้วในมือ แล้วเล่าว่า “หนก่อนตอนไซน่าอิงหายตัวไป ข้ากับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปยังหุบเหวร้อยผีเพื่อตามหาร่องรอยของไซน่าอิง ข้ากับสือชีพบน้องชายของท่านใกล้กับเขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพ สือชีซัดฝ่ามือใส่เขาหนึ่งฝ่ามือ เขาถูกฝ่ามือซัดจนบาดเจ็บ ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าอาการของเขากับท่านเหมือนกันมาก ข้ายังให้โลหิตของเสี่ยวไป๋กับเขาไปหนึ่งขวด แต่ข้าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ดังนั้นจึงลืมบอกท่าน”
จีหมิงซิวจึงว่า “ตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
“ข้าเหมือนจะเข้าใจความหมายของท่านแล้ว สภาพของเขากับท่านเหมือนกัน พวกท่านต่างต้องได้รับการรักษาถึงจะมีชีวิตรอด แต่ในปีนั้นตระกูลจีเลือกท่านแล้วทอดทิ้งเขา ตอนนี้เขารู้เรื่องแล้ว ดังนั้นเขาจึงเคียดแค้นอยู่ในใจ ต้องการกลับมาล้างแค้นตระกูลจี เขาจับตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาก็เพื่อเป้าหมายประการนี้! เจ้าคน…”
เฉียวเวยพูดพลางก็ยกกำปั้นขึ้นมา แต่เห็นจีหมิงซิวยังอยู่ที่นี่จึงกลืนคำพูดคำหลังลงไป
‘ความผิดย่อมไม่ตกถึงบุตร’ เรื่องราวในตอนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกจิ่งอวิ๋น กล่าวได้ว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยแม้แต่นิดเดียว แต่เจ้าหมอนั่นดันมาคิดบัญชีเอากับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคน!
หมิงซิวเองก็ไม่ได้ทำ หมิงซิวรู้เรื่องอะไรด้วยเล่า ตัวเขาเองก็เป็นทารกน้อยคนหนึ่ง เขาไหนเลยจะรู้ว่าชีวิตของตนแลกมาด้วยการเสียสละของน้องชาย
เจ้าเด็กคนนั้นแค้นเหมาทั้งตระกูลจีไปแล้ว
แววตาของจีหมิงซิฉายแววลุ่มลึก “เขาทุกข์ทนมามากมายนัก แต่พวกเราทุกคนกลับห่มอาภรณ์หรูหรากินดื่มสุขสบาย ต่อให้ไม่มีเขาก็เหมือนจะไม่โศกเศร้า ในใจเขาจะไม่พอใจก็สมควรแล้ว”
เฉียวเวยเกี่ยวนิ้วของจีหมิงซิวแล้วเอ่ยแผ่วเบา “ถึงอย่างไรก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ช่วงเวลาที่โศกเศร้าที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนต่างอดทนจนผ่านมาได้ ชีวิตอย่างไรก็ต้องดำเนินต่อไป” นางหยุดครู่หนึ่ง พอคิดอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยต่อ “องค์หญิงนาง…คงเสียใจมากมาตลอดเลยใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวกุมมือของเฉียวเวย แล้วตอบอย่างเศร้าสร้อย “แต่ละวันท่านแม่ใช้ชีวิตอยู่กับความเสียใจ ยามหวนนึกถึงลูกชายคนเล็กที่จากไปตั้งแต่ยังเยาว์ก็เศร้าโศกจากก้นบึ้งหัวใจ อายุสามสิบกว่าปีก็จากโลกไปแล้ว”
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้พวกท่านพี่น้องได้อยู่พร้อมหน้าแล้ว ดวงวิญญาณขององค์หญิงบนสรวงสวรรค์คงดีใจอย่างยิ่งเป็นแน่ ท่านเบิกบานใจสักหน่อยสิ อย่างมากที่สุดต่อจากนี้ข้าจะไม่หาเรื่องเขาอีก”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “อืม”
…