เล่ม-1 ตอนที่ 266-2 ผู้กล้าตัวน้อยทั้งสาม ตำหนักธิดาเทพถูกเปิดโปง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 266-2 ผู้กล้าตัวน้อยทั้งสาม ตำหนักธิดาเทพถูกเปิดโปง

“ท่านโหราจารย์! ท่านโหราจารย์!” ผู้อาวุโสห้าวิ่งตามท่านโหราจาย์จนขาอ้วนๆ ทั้งสองข้างใกล้จะขาดแล้ว เขาเกาะกำแพงของร้านสุราร้านน้อยพลางหอบหายใจขาดเป็นห้วงๆ “ท่าน…ท่าน…ท่าน….จะไปที่ใดกัน…ตอน…ตอนนี้เย็นแล้ว…ท่าน…ตามข้า…กลับไป…พักผ่อนเถิด…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดห่อผ้าหนักอึ้งห่อหนึ่งไว้แล้วตอบว่า “ตามเจ้าไปพักที่ใด”

ผู้อาวุโสห้าหอบแฮ่ก “ตำหนักโหราจารย์…ยัง…จัดการไม่เสร็จ…ท่าน…ตามข้ากลับ…สำนักผู้อาวุโสก่อน…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา “ข้าไม่ไป”

“ถ้าอย่างนั้น…เฮ่อหลัน…ปราสาทเฮ่อหลันก็ได้…พี่ชายของท่านคือท่านเขยน้อย…ท่านอาศัยอยู่กับ…พี่ชายพี่สะใภ้ที่นั่น…ก็…ก็ดี!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตายิ่งกว่าเดิม “ผู้ใดเป็นพี่ชายของข้า ข้ามีพี่ชายตั้งแต่เมื่อใด ข้าบอกว่าข้ามีพี่ชายหรือ ออกไปซะ! หากตามข้ามาอีก ข้าจะสังหารเจ้า!”

“ท่านโหรา…”

ปึง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักปิดประตู

ร้านสุราน้อยเป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่หลังที่ยังไม่ถล่ม แต่มันก็เสียหายเล็กน้อย เฟิงซื่อเหนียงกำลังพาดบันไดอันหนึ่งเพื่อซ่อมเชิงห้อยโคมแขวนที่อยู่บนเพดาน แต่นางใช้แขนได้เพียงข้างเดียวจึงซ่อมอย่างยากลำบากอยู่บ้าง

ใต้เท้าเจ้าสำนักถือห่อผ้าอันหนักอึ้งขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา

เฟิงซื่อเหนียงมองเขา แล้วซ่อมโคมต่อไม่พูดไม่จา

ผ่านไปครู่หนึ่งใต้เท้าเจ้าสำนักก็เดินหน้าทะมึนลงมา “ข้าวของข้าเล่า”

เฟิงซื่อเหนียงชี้ห้องของตนเอง

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไป เดินไปก็ถามไปด้วย “เหตุใดข้าวของข้าจึงมาอยู่ในห้องท่าน”

เฟิงซื่อเหนียงตอบว่า “หลังจากนี้เจ้านอนข้างล่าง ข้าจะนอนห้องใต้หลังคา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่นางแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก จากนั้นหอบหิ้วหีบใบโตของตนขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา

ภายในหีบล้วนแต่เป็นข้าวของที่เคยใช้สมัยเด็ก ของมากกว่าครึ่งเก็บมาจากข้างนอก บ้างก็ฉกชิงมา บ้างก็เป็นของที่เฟิงซื่อเหนียงทำด้วยมือตนเอง แต่พวกมันล้วนไม่ใช่ข้าวของมีค่ามีราคา

เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนห้องใต้หลังคา จากนั้นเททองที่ ‘ปล้น’ มาจากผู้อาวุโสห้ากับเหล่าองครักษ์ออกมานับทีละชิ้นๆ

เฟิงซื่อเหนียงเดินขึ้นมาที่ห้องใต้หลังคา ในมือถือถาดใบหนึ่ง บนถาดวางเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมไว้สองสามชุด เนื้อผ้าเช่นนี้ ชั่วชีวิตของเฟิงซื่อเหนียงไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันอ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆ ดมแล้วได้กลิ่นหอมจางๆ

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนาง เห็นชัดว่ายังโมโหที่นางเปลี่ยนห้องของตนตามใจชอบ

เฟิงซื่อเหนียงนั่งลงในห้องใต้หลังคาอันคับแคบ แล้ววางถาดลงหน้าเขา “พี่ใหญ่ของเจ้าส่งมาให้”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน

เฟิงซื่อเหนียงหลุบตาลงแล้วยิ้มจางๆ “ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกของตระกูลร่ำรวย”

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่พูดจา เขาเปิดหีบร้อยสมบัติของตนเองแล้วใส่ทองที่กวาดปล้นมาเข้าไป

เฟิงซื่อเหนียงถามอีกว่า “เจ้าจะกลับไปเมื่อใด”

ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงไม่ตอบคำ เขาใส่สลักกุญแจบนหีบร้อยสมบัติ จากนั้นดึงกุญแจออกมายัดไว้ในอกเสื้อ แล้วเดินหนีเฟิงซื่อเหนียงลงมาชั้นล่าง

เฟิงซื่อเหนียงเดินตามไปก็เห็นเขาแบกเครื่องไม้เครื่องมือปีนขึ้นไปบนบันไดซ่อมเชิงห้อยโคมแขวนทีละอันๆ จนเรียบร้อย

เฟิงซื่อเหนียงขอบตาระคายเคือง เด็กน้อยที่ร้องไห้ตะโกนถามว่าเหตุใดข้าไม่มีพ่อแม่ในอ้อมแขนนางคนนั้น…โตแล้วจริงๆ

เวลาเที่ยงคืน กลุ่มของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกลับมาถึงตำหนักธิดาเทพ เวลานี้ดึกมากแล้ว แต่เพราะเป็นห่วงเรื่องทางนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าต่างก็ยังไม่เข้านอน พวกนางนั่งรออย่างร้อนใจอยู่ในห้องโถงใหญ่ พอได้ยินเสียงคนที่ประตู ทั้งสองคนก็ออกไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แต่ปรากฏว่ากลับเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าเขียวเดินเข้ามา ด้านหลังสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมีศิษย์ร่างกายโชกเลือดคนหนึ่งถูกคนหามเข้ามาด้วย

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้างุนงงทันที พวกนางถามเป็นเสียงเดียว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น พาคนไปจับ ‘เฮ่อหลันชิง’ ตอนก่อเหตุไม่ใช่หรือ เหตุใด…เหตุใดมีคนบาดเจ็บกลับมา”

ใช่แล้ว แผนการวันนี้แต่เดิมสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แต่เกิดความผิดพลาดที่ใดกันจึงกลายมาเป็นสถานการณ์ในตอนนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้อย่างขุ่นเคือง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “เดิมทีใกล้จะลงมือสำเร็จแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาต่ำช้าไร้ยางอายกล้าปลอมตัวเป็นชิงหง หลอกให้ข้าไว้ใจ ลักลอบเรียนกระบวนท่าของข้า ทำร้ายศิษย์ของข้าไปสามคน! หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ลงมือสำเร็จไปนานแล้ว!”

“อะไรนะ ชิงหงเป็นตัวปลอมหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ตกตะลึงมากจนโยนความขุ่นเคืองระหว่างตนเองกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามทิ้งออกไปนอกสารบบ “นางเป็นตัวปลอมตั้งแต่เมื่อใด”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามตวัดสายตามองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอย่างเย็นชา “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ชิงหงมิใช่ลูกศิษย์ของข้าเสียหน่อย!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคิดว่าลูกศิษย์ถูกผู้อื่นสวมรอยมาแทน แต่คนเป็นอาจารย์กลับดูไม่ออก เรื่องนี้เพียงพอพิสูจน์ว่าล้มเหลวในการเป็นอาจารย์แล้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งส่งสายตาคมกริบประหนึ่งมีดมา พอเห็นท่าศึกแย่งชิงอำนาจภายในกำลังจะเริ่มขึ้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกจึงเอ่ยขึ้นว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม ต่อให้ท่านลงมือสำเร็จก็คงไร้ประโยชน์ ตอนนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพวกเรากับจั๋วหม่าทั้งสองแล้ว พวกเราใส่ร้ายพวกนางสองแม่ลูกไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อมีโหราจารย์คุ้มหัว ผู้ใดยังจะทำอันใดพวกนางได้อีกเล่า”

“โหราจารย์คุ้มหัว?” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ขมวดคิ้วอย่างงงงวย “พวกเจ้า..พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน เหตุใดข้ากับศิษย์น้องห้าจึงฟังไม่เข้าใจ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเจ้าเล่ามาให้ชัดหน่อยสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเล่าเรื่องหอสอยดาวกับทายาทโหราจารย์อย่างสั้นกระชับให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนางฟัง

คางของทั้งสองคนเกือบจะร่วงลงมาแล้ว ตอนเกิดแผ่นดินไหว ทุกคนดีใจจนตัวลอย คิดว่าถูกแม่ลูกคู่นั้นเหยียบย่ำมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็มีหนทางโต้กลับ ไหนเลยจะคิดว่าเพียงไม่ถึงวันพวกนางก็ถูกตบหน้า นี่มันกระอักกระอ่วนเกินไปแล้วจริงๆ

กระอักกระอ่วนยังมิเท่าไร สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือศัตรูคู่อาฆาตของพวกนางโผล่หัวออกมาแล้ว!

พวกนางใช้เวลาเนิ่นนานหลายปี ทุ่มเทไปมากเท่าไรกว่าจะแลกฐานะของตำหนักธิดาเทพในวันนี้มาได้ แต่หากตำหนักโหราจารย์ปรากฏขึ้นมาอีกหน ทุกสิ่งที่พวกนางเพียรพยายามสร้างมาย่อมถูกผู้อื่นฉกชิงไปทั้งหมด!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโอดครวญ “ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ตอนนั้นข้าก็ไม่เห็นด้วยที่จะขังเขาไว้ในหอตำราลับ! จับเขากลับมาตำหนักธิดาเทพเสียเลยดีจะตายไป แต่พวกเจ้าเอาแต่บอกว่ากลัวแหวกหญ้าให้งูตื่น ครานี้เป็นอย่างไรเล่า ปล่อยให้เขาหาทางลับพบ! หอสอยดาวปรากฏขึ้นในเผ่าถ่าน่าอีกหน ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้า!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่โต้เถียง “คำพูดนี้ของศิษย์พี่สามช่างไม่น่าฟัง อะไรคือเป็นเพราะพวกเรา พวกเราก็ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเหมือนกัน! ผู้ใดจะรู้ว่าเบื้องหลังของเขาจะร้ายกาจเช่นนี้! ตำราภาษาเยี่ยหลัวพวกนั้น พวกเราศึกษามาตั้งกี่ปียังอ่านไม่จบแม้แต่เล่มเดียว เขาคุณชายตระกูลขุนนางจากจงหยวนคนหนึ่ง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเขาดันอ่านเข้าใจทั้งหมด!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ดังนั้นถึงต้องป้องกันก่อนเรื่องจะเกิดอย่างไรเล่า!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่แต่เดิมก็ไม่ถูกกับนางอยู่แล้ว หนนี้หนี้เก่าทบหนี้ใหม่ นางจึงไม่มีสีหน้าเป็นมิตรอีกต่อไป “เจ้าสงสัยเขาถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าไปด้วยกันกับเขาเล่า”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเข้ามาขวางระหว่างกลางพวกนางทั้งสองคน “สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหยุดทะเลาะกันได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลา การทะเลาะกันเองภายในเป็นเรื่องที่สมควรหลีกเลี่ยงที่สุด อย่าให้พวกเขายังไม่ทันทำอะไรพวกเรา พวกเราก็ทำตนเองย่อยยับไปก่อนแล้ว”

“เหอะ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามนั่งลงด้วยท่าทีเย็นชา

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงบ้าง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนวดขมับที่ปวดตุ้บๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าทายาทของโหราจารย์จะยังใช้ชีวิตอยู่บนเกาะ แล้วยังเป็นคนผู้นั้นที่ถูกพวกเราประกาศตามจับอีกด้วย”

“ท่านหมายถึงคนสวมหน้ากากผู้นั้นหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกจำเขาได้อยู่เลือนราง อย่างไรเสียตอนนั้นเขาก็เป็นคนขายเด็กน้อยทั้งสองให้แก่เฟิงซื่อเหนียง แต่สุดท้ายกลับพาเด็กจากไปอย่างเงียบๆ แต่เดิมพวกนางไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่วันนี้พอได้เห็นภาพที่เขากับนายน้อยตระกูลจีสองพี่น้องพบหน้ากัน นางก็เหมือนจะเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นเช่นไรแล้ว “เขาถูกคนลักพาตัวมาบนเกาะ พลัดพรากจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก ต้องทนทุกข์ยากแสนสาหัส แต่พี่ชายของเขากลับสวมอาภรณ์หรูหรากินอยู่สุขสบาย เขาคงแค้นพวกเขาจนแทบกระอัก”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามดวงตาทอประกายวาววับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราดึงเขามาเป็นพวก!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกส่ายหน้า “ท่านลืมเรื่องที่ฮาจั่วเกือบสังหารเขาและทำลายรังเก่าของเขาแล้วหรือ เขาใช้สมองสักหน่อยก็รู้แล้วว่าฮาจั่วเป็นพวกเดียวกับพวกเรา เขายอมให้พวกเราใช้งานก็แปลกแล้ว” ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ศิษย์หญิงไม่มีตาคนนั้นยังล่วงเกินเขาอีก เขาคงตั้งใจจะตัดสัมพันธ์กับตำหนักธิดาเทพอย่างสมบูรณ์แล้ว

“หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกไม่น่าทำเช่นนั้นกับเขาเลย!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเสียใจจนใจแทบขาดแล้วจริงๆ!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถอนหายใจ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีกับพวกเราอย่างยิ่ง คำวิวรณ์ที่คลาดเคลื่อนหนนี้ทำให้พวกเราสูญเสียความน่าเชื่อถือไปไม่น้อย ฝั่งสำนักผู้อาวุโสคงนึกตำหนิตำหนักธิดาเทพอยู่พอสมควร”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ข้าคิดว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไปนัก”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหันไปมองนางอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”

บนใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกไม่มีเค้าความกังวลแม้แต่น้อย “แม้ตำหนักโหราจารย์จะดี แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต ตำหนักธิดาเทพครองแผ่นดินแห่งนี้มาหลายร้อยปี ชาวเผ่าทั้งหมดบนเกาะล้วนเป็นสาวกของพวกเรา ต่อให้พวกเขายังโอบกอดภาพลวงตาของตำหนักโหราจารย์อยู่ แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านอย่าลืมว่า พวกเขา ขาดพวกเราไม่ได้”

กล่าวจบ สายตาของนางก็เลื่อนไปจับขวดกระเบื้องลายครามขวดหนึ่งบนโต๊ะ

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาดึงจุกขวดออกแล้วรินน้ำศักดิ์สิทธิ์ใสแวววาวหยดหนึ่งลงบนมือ “ไม่ผิด ไม่มีผู้ใดขาดพวกเราได้ ไม่มีสักคน”

สำนักผู้อาวุโสทำตามข้อเสนอของเฉียวเวย พวกเขาหยุดสร้างเพิงแล้วให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักโหราจารย์ ตระกูลใหญ่แต่ละแห่งล้วนจัดการเช่นนี้โดยไม่มีผู้ใดเห็นแย้ง พวกเขาต่างส่งองครักษ์กับหญิงรับใช้มาช่วยสำนักผู้อาวุโสบรรเทาภัยพิบัติ

หลังจากเฉียวเจิงได้ข่าวก็รีบเร่งเดินทางมาจากปราสาทเฮ่อหลัน เขาช่วยรักษาแผลของผู้คนร่วมกับหมออีกหลายคน มีแต่บาดแผลที่ไม่สาหัสมากนัก ไม่นานก็รักษาจนเสร็จ แต่ต่อจากนั้นอีกหลายวันยังต้องทำแผลใส่ยา เฉียวเจิงจึงตัดสินใจพักที่นี่

เวลานี้ดึกแล้ว กลับเข้าเมืองไม่สะดวกนัก คนที่เหลือจึงพักอยู่ที่นี่ด้วย

มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่มากนัก แต่ชนชั้นสูงของเผ่าถ่าน่ากับชนชั้นสูงของจงหยวนต่างกันมากที่สุดตรงที่พวกเขาทนความลำบากได้ นอกจากปี้หลัวฟู่ผู้บอบบางคนนั้นที่โอดครวญอยู่สองสามคำ ผู้นำคนที่เหลือต่างปูฟูกผืนหนึ่งบนพื้นนอนหลับไปแล้ว

เฮ่อหลันชิงกับสามีก็นอนบนพื้นเช่นเดียวกัน เฮ่อหลันชิงดึงเฉียวเจิงมานอนเกยบนร่างของตนเอง

“บนพื้นหนาว” นางบอก

เฉียวเจิงตอบอย่างเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรเป็นฝ่ายนอนบนร่างข้าสิ”

เฮ่อหลันชิงโอบเฉียวเจิงแล้วพลิกตัว สลับเฉียวเจิงไปไว้ด้านล่าง

เฉียวเจิงถูกทับจนตาเหลือก เอา…เอาเป็นว่าเปลี่ยนกลับดีกว่านะ…

โคมไฟในห้องของผู้อาวุโสใหญ่ยังส่องสว่าง จีหมิงซิวพาเฉียวเวยมาเคาะประตูห้องของเขา “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านหลับหรือยัง”

“ยัง” ผู้อาวุโสใหญ่ก้าวเร็วไวไปเปิดประตูให้ทั้งสองคนแล้วเชิญทั้งสองคนเข้ามาในห้อง “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จั๋วหม่าน้อยกับท่านโหราจารย์เหตุใดจึงยังไม่พักผ่อนอีก ขออภัย ไม่มีน้ำ ข้าจะไปต้มมาอีกสักกา”

เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น พวกข้าไม่ได้มาดื่มน้ำ พวกข้ามีเรื่องต้องคุยกับผู้อาวุโสใหญ่”

แต่เดิมเฉียวเวยไม่ชอบขี้หน้าผู้อาวุโสใหญ่ที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้นางพบหน้าท่านตา อีกทั้งยังขับไล่นางออกจากปราสาทเฮ่อหลัน แต่หลังจากได้พูดคุยกันสองสามหน เฉียวเวยก็ค้นพบว่าความจริงแล้วผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนซื่อตรงอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง

ดังนั้นตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ คนที่นางกับหมิงซิวคิดถึงเป็นคนแรกจึงเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนนี้

ผู้อาวุโสใหญ่นั่งลงแล้วเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ดึกป่านนี้แล้ว คงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว”

จีหมิงซิวขานอืมตอบคำหนึ่ง เป็นการยอมรับการคาดเดาของผู้อาวุโสใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็หยิบตำราไม้ไผ่ม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง วางลงข้างมือของผู้อาวุโสใหญ่อย่างแผ่วเบา

ผู้อาวุโสใหญ่กางม้วนตำราไม้ไผ่ออกแล้วเพ่งสายตามอง ด้านในคือบันทึกลายมือของโหราจารย์ “นี่คือ…ตำราในหอตำราลับสินะ”

ด้ายที่ร้อยอยู่บนตำราไม้ไผ่เสื่อมสภาพแล้ว เขาเป็นคนเปลี่ยนเองกับมือ ปมที่ผูกไว้เขาจำได้ทุกอัน

จีหมิงซิวตอบว่า “ใช่ ตำราในหอตำราลับ”

“ตำราเล่มนี้มีปัญหาที่ใดหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่ถาม

จีหมิงซิวตอบว่า “ตัวตำราไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เขียนอยู่ในนี้ ผู้อาวุโสใหญ่อาจจะสนใจ”

“มันเขียนอะไรไว้หรือ” ผู้อาวุโสใหญ่อ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออก

จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “สาเหตุที่คนในเผ่าออกไปจากเกาะไม่ได้”

ผู้อาวุโสใหญ่นิ่งอึ้ง “อะไรนะ ท่านโหราจารย์…ท่านโหราจารย์เขา…ล่วงรู้หรือว่าคนรุ่นหลังจะมิอาจออกจากเกาะได้” ตอนแรกสุดที่อพยพเข้ามาอยู่บนเกาะ ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้คนออกจากเกาะไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านโหราจารย์เองก็เคยออกจากเกาะไปสามปีเพื่อค้นหาเรือที่ถูกราชสำนักโจมตีแล้วล่มลงในทะเล ดังนั้นหากในตำราเขียนเรื่องที่ชาวเผ่ามิอาจออกจากเกาะจริง ถ้าเช่นนั้นมันย่อมเป็นการล่วงรู้เรื่องราวในอนาคตล่วงหน้า