ตู้หลิงเฟิงได้ยินก็ดีใจนัก ในใจคิดว่าอาจารย์อาเตรียมจะชี้แนะวรยุทธ์ให้ตนเอง จึงคันไม้คันมืออย่างห้ามมิได้ เผยอวิ๋นเห็นแล้วก็ลอบหัวเราะในใจ บอกว่า “เอาละ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว ไปดื่มสุราสักจอกด้วยกันที่เหลาสุราของคนแซ่ตู้เถอะ”
นับตั้งแต่เหตุการณ์น่าตกใจที่ฉู่โจวเมื่อสามปีก่อน เหลาสุราของตระกูลตู้ก็มีชื่อเสียงขจรขจายทั่วเจียงไหว การล้างแค้นให้อาจารย์อย่างกล้าหาญของจวงชิงผู่กับสุราบ๊วยเขียวของเหลาสุราตระกูลตู้ถูกสรรเสริญเล่าลือเคียงคู่กันทั่วทั้งเจียงไหว
แม้แต่ตัวเผยอวิ๋นเอง ยามนี้ก็ชมชอบสุราชนิดนี้ยิ่งนัก เพียงแต่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงจึงไปดื่มที่เหลาสุราไม่บ่อยก็เท่านั้น วันนี้เขากลัดกลุ้มต้องการพักผ่อนหย่อนใจจึงจะแวะไปเยือนเหลาสุราตระกูลตู้สักหน่อย
แม้เหลาสุราตระกูลตู้จะมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วเจียงไหวแล้ว แต่สภาพกลับยังเป็นเช่นเดิม มิได้ก่อสร้างขยับขยายร้าน สุราบ๊วยเขียวก็มิได้บ่มเพิ่มมากกว่าก่อนสักกี่ไห ผู้ดูแลตู้คนนั้นแม้เป็นพ่อค้า แต่ชื่นชอบคนมีความสามารถ หากมิใช่ยอดคนผู้เก่งกาจแห่งยุค แม้เสนอเงินมากมายก็ยากจะซื้อสุราบ๊วยเขียวสักไห ทว่าหากเป็นบัณฑิตผู้สง่างาม แม้บนร่างไม่มีเงินสักอีแปะเดียว ก็ได้รับสุราเลิศรสเป็นของกำนัล
เมื่อเป็นเช่นนี้ สุราบ๊วยเขียวจึงยิ่งชื่อเสียงเลื่องลือ คนธรรมดาทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสลิ้มลองสุราบ๊วยเขียว มากกว่าครึ่งก็จะมาดื่มสุราของเหลาสุราตระกูลตู้สักสองสามจอก ประตูของเหลาสุราตระกูลตู้แทบจะกลายเป็นตลาดสด หากมิได้จองที่นั่งไว้ล่วงหน้าล้วนถูกปฏิเสธมิให้เข้า แต่เผยอวิ๋นย่อมมิกังวล บนชั้นสองมีที่นั่งตำแหน่งหนึ่งว่างไว้ตลอดทั้งปี เพื่อไม่ให้เวลาบุคคลเช่นเผยอวิ๋นหรือบัณฑิตคนดังแห่งเจียงไหวบังเอิญมาเยือนแล้วไม่มีที่นั่ง
เผยอวิ๋นเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ธรรมดา หลังจากเขาออกเดินไปตามถนนใหญ่ก็รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมาก พอมาถึงเหลาสุราตระกูลตู้ ผู้ดูแลตู้ทราบก็ออกมาต้อนรับ เขาเผยสีหน้าแปลกพิกลออกมาวูบหนึ่ง แต่เผยอวิ๋นมิได้ใส่ใจ เพิ่งเดินขึ้นมาบนชั้นสองก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลใสกระจ่างกล่าวว่า “‘หมอกอรุณบดบังห้องหอโฉมสุดา ลาจากทุกข์ระทม วาโยพัดถ้วยทองจอกสุราเอนล้ม ครวญเพลงอาลัยหยางกวนมิอาจธำรง แค้นนี้ตราบมลาย เด็ดบ๊วยเขียวจนเต็มแขนเสื้อ เกล็ดหิมะโปรยปราย ตาเฒ่าตู้หมักเป็นสุราเมื่อปีกลาย ข้าร่ำสุราเดียวดายล่องเรือน้อย มิเมามิเลิกรา’ บทวีบทนี้ของจวงชิงผู่ความนัยลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา น่าสงสารที่เขาต้องจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม น่าเสียดายจนชวนให้ถอนหายใจโดยแท้”
เผยอวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อย แม้จวงชิงผู่จะเป็นที่เคารพนับถือของชาวฉู่โจว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ที่ลอบสังหารเจ้าเมือง ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่ชื่นชมเขาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ เพราะทุกคนต่างไม่ต้องการให้เรื่องไปถึงหูกองทัพต้ายงแล้วนำปัญหามาให้ แต่คนผู้นี้ฟังจากสำเนียงก็ฟังออกว่าเป็นคนฉางอัน ทั้งที่เป็นคนต้ายง เหตุไฉนจึงชื่นชมจวงชิงผู่อย่างมิกลัวเกรงสักนิดเช่นนี้เล่า
ในใจเผยอวิ๋นเกิดความสงสัย เท้าจึงหยุดนิ่งอย่างห้ามมิได้ ทันใดนั้นหูได้ยินเสียงอันคุ้นเคยอีกเสียงหนึ่ง “จื่อเหลียง คำพูดนี้แม้จะไม่มีสิ่งใดมิเหมาะสม แต่ก็ต้องกล่าวอย่างระมัดระวังจึงจะถูก”
เผยอวิ๋นได้ยินเสียงนี้ก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม คนผู้นี้เพิ่งถูกปลด เหตุไฉนจึงโผล่มาอยู่ที่ฉู่โจว เขากวาดสายตามองรอบหนึ่งก็พบว่านอกจากคนจำนวนเล็กน้อยบนชั้นสองที่ดวงตาไร้ประกายเจิดจ้า คนที่เหลือก็ล้วนเป็นองครักษ์ระดับยอดฝีมือที่นั่งกระจายอยู่ทั่วไปหมด ไม่มีนักดื่มท้องถิ่นอยู่เลย
เผยอวิ๋นตกตะลึง เขาจัดเสื้อผ้าแล้วก้าวเข้าไปประสานมือคำนับหน้าห้องส่วนตัว กล่าวขึ้นว่า “ท่านโหวลดตัวมาเยือนที่แห่งนี้ เหตุไฉนจึงมิบอกกล่าวเผยอวิ๋น ผู้น้อยจะได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านโหวให้เหมาะควร”
เสียงทุ้มนุ่มของเจียงเจ๋อดังออกมาจากหลังม่าน “ยามนี้ผู้แซ่เจียงถูกปลดจากตำแหน่งเสนาธิการแล้ว หากมิใช่เพราะฝ่าบาทเมตตา เกรงว่าบรรดาศักดิ์ก็คงมิลดลงไปเพียงสองขั้น แม่ทัพเผยไยต้องมากพิธีเช่นนี้ วันนี้มาเยือนที่แห่งนี้เพียงเพราะนึกถึงสุราบ๊วยเขียวก็เท่านั้น โชคดีผู้เฒ่าตู้ยังเก็บไว้สองสามไห มิปล่อยให้ข้ามาเสียเที่ยว”
เผยอวิ๋นเลิกม่านเดินเข้ามาแล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ท่านโหวมิสะดุ้งสะเทือนกับลาภยศ ผู้น้อยเลื่อมใส แต่ในที่สุดฝ่าบาทก็จะเข้าใจความตั้งใจของท่านโหว ทำให้ลู่ช่านสูญเสียอำนาจทหารได้ แม้นเสียเซียงหยางก็มิแน่ว่าจะทวงกลับคืนมิได้ นับประสาอะไรกับที่หนนี้มิเสียเซียงหยาง”
เผยอวิ๋นอดใจมิไหวลอบคาดเดาว่าคนที่ถูกเจียงเจ๋อเรียกว่า ‘จื่อเหลียง’ ผู้นั้นเป็นยอดคนจากที่ใด เหตุไฉนน้ำเสียงของเจียงเจ๋อจึงฟังแล้วเหมือนแฝงแววนับถืออยู่สองสามส่วน ครั้นเดินเข้ามาในห้องส่วนตัว เผยอวิ๋นก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งร่ำสุราสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่กับเจียงเจ๋อเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่ง เขาหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม แม้สวมอาภรณ์สีเหลืองธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง แต่กิริยาท่าทางกลับมิธรรมดา แลดูแฝงความน่าเกรงขามอยู่ในที ทว่าสิ่งที่ทำให้เผยอวิ๋นตกตะลึงคือเด็กหนุ่มผู้นั้นคือองค์รัชทายาทหลี่จวิ้น รองแม่ทัพใหญ่แห่งกองบัญชาการศึกเจียงหนาน
ในใจครุ่นคิดร้อยพันตลบ ความคิดนานาประการแล่นผ่านในชั่วพริบตา เผยอวิ๋นคุกเข่าข้างหนึ่งคารวะ “ผู้น้อยคารวะองค์รัชทายาท ขอทรงพระเจริญพันปี พันพันปี มิทราบว่าองค์ชายเสด็จมา จึงมิได้ออกไปต้อนรับ ขอองค์ชายโปรดทรงอภัยด้วย”
หลี่จวิ้นลุกขึ้นเอื้อมมือออกมาแสร้งประคองแล้วตอบว่า “แม่ทัพเผยลุกขึ้นเถิด ท่านแม่ทัพเฝ้าพิทักษ์ฉู่โจว ทำให้กองทัพไหวตงของหนานฉู่มิอาจขึ้นเหนือบุกชิงสวี คุณงามความชอบมากล้น ข้าตระหนักดีมาตลอด ในใจรู้สึกนับถือยิ่งนัก มิจำเป็นต้องมากพิธี”
เจียงเจ๋อกลับทำสีหน้าเกียจคร้าน นั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งไม่ขยับสักนิด ถึงกระนั้นก็มิเห็นหลี่จวิ้นแสดงสีหน้าผิดแปลกแต่ประการใด เผยอวิ๋นนึกขึ้นมาได้ เคยมีคนบอกว่าองครัชทายาทหลี่จวิ้นสนิทสนมกับเจียงเจ๋ออย่างมาก ยามนี้ดูท่าแล้วคงจริงดังนั้น
เมื่อเผยอวิ๋นเห็นว่าเจียงเจ๋อไร้สีหน้าหดหู่แม้เพิ่งถูกปลด ทั้งยังมีหลี่จวิ้นปลอมตัวเดินทางมาด้วย ความกลัดกลุ้มในใจก็ถูกกวาดหายไปสิ้น ลุกขึ้นมากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “องค์ชายกับท่านโหวปลอมตัวมาถึงฉู่โจว คงมีสิ่งใดต้องการชี้แนะ ผู้น้อยฝึกปรือทหารขุนอาชามาสามปี รอเพียงคำสั่งเดียวก็ยกทัพลงใต้ล้างอายความพ่ายแพ้ในวันวาน ขอองค์ชายโปรดสั่งการ”
ข้าอดหาวหวอดหนึ่งมิได้ ในใจคิดว่าหลายปีนี้เผยอวิ๋นคงคับอกคับใจนัก สู่จง จิงเซียง ไหวซีล้วนทำศึกดุเดือดกันทุกปี มีแต่ไหวตงที่คลื่นลมแทบจะนิ่งสงบ พอเห็นหลี่จวิ้น เขาจึงขอคำสั่งออกรบทันที ช่างใจร้อนเสียจริง ข้ามองหลี่จวิ้นที่กำลังสนทนาเรื่องทั่วไปกับเผยอวิ๋นด้วยถ้อยคำจริงใจ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม
หนนี้ข้าวางแผนเสี้ยมให้เจ้าแผ่นดินกับขุนนาง เสนาบดีกับแม่ทัพของหนานฉู่แตกคอกัน พร้อมกับวางแผนทำลายขุมกำลังของศัตรูครั้งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดจะถอยหลบฉากในตอนที่ตนเองยังรุ่งเรืองด้วย ดังนั้นข้าจึงจงใจปิดบังเรื่องสำคัญบางอย่างไม่บอกหลี่จื้อ แล้วยังทำตัวล่องลอยมาตลอดสามปี
เป็นดังคาด หลังจบศึกเซียงหยางหนนี้ ฎีการ้องเรียนข้าก็โปรยปรายมาประหนึ่งเกล็ดหิมะ หลี่จื้อเองก็โกรธจัดดังที่คิด สั่งปลดข้าออกจากบรรดาศักดิ์และตำแหน่งในกองทัพทันที สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าแผ่นดินโง่เขลากับอัครมหาเสนาบดีบ้าอำนาจของหนานฉู่ก็จะหันไปจัดการลู่ช่านได้อย่างสบายใจ
ส่วนข้าสะเทือนใจที่สูญเสียความโปรดปรานจากนายเหนือหัวหรือไม่ หลังจากนี้ข้าก็มิจำเป็นต้องพึ่งการสนับสนุนจากหลี่จื้อแล้วเสียหน่อย ข้ายังคิดอยู่ว่าจบเรื่องหนนี้แล้วข้าจะฉวยโอกาสหลบเร้นปลีกวิเวก จะได้มิต้องมองดูแคว้นบ้านเกิดล่มสลาย
แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งฟังราชโองการตำหนิ สั่งปลดจากตำแหน่งอย่างสมใจไม่ทันไร ก็ได้รับราชโองการชมเชยเป็นการลับ หลี่จื้อมิกล่าวโทษข้าที่กระทำโดยพลการแม้แต่น้อย ยังบอกอีกว่าหนานฉู่เสียลู่ช่านคนเดียวยิ่งกว่าเสียเมืองสิบเมือง
ตอนนี้แผนการถอนตัวสลายกลายเป็นฟองอากาศไปเสียแล้ว จะมิให้ข้ากลัดกลุ้มใจได้อย่างไร หากมิใช่ว่ายังพะวงเรื่องที่จัดการหนานฉู่ไม่เสร็จดีอยู่ทุกห้วงขณะ ข้าก็อยากจะถอนตัวออกไปยืนอยู่วงนอกเสียเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องราวฝั่งนั้นจะดำเนินไปเช่นไร แต่คิดว่าภายในเดือนสองเดือนก็คงปรากฏผลลัพธ์แล้วกระมัง
เดือนสิบสอง วันที่ห้า ณ เจี้ยนเย่
เมื่ออวี๋หลุนเดินออกมาจากจวนลับของซั่งเฉิงเยี่ยก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ไม่รู้ว่าเกล็ดหิมะเบาบางที่ทยอยโปรยปรายลงมาตั้งแต่ตอนกลางวันหยุดไปเมื่อใด ท้องฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นแสงดาวและแสงจันทรา ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด แม้แต่โคมไฟในมือก็ขับไล่ความมืดที่รายล้อมได้เพียงหนึ่งจั้งกว่า
ซ่งอวี๋รู้สึกว่าหัวใจของตนมืดหม่นดุจเดียวกับห้วงราตรีมืดสนิทในวันนี้ มิทราบว่าเดินเคว้งคว้างอยู่นานเท่าใด ในที่สุดอวี๋หลุนก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้าคือบานประตูไม้สีดำสนิทบานหนึ่ง โคมไฟสีเขียวงามวิจิตรดวงหนึ่งแขวนอยู่บนบานประตู แสงโคมสลัวเลือนราง แต่ในใจของซ่งอวี๋กลับรู้สึกเสมือนว่านี่เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดมิด
ที่แห่งนี้ก็คือเรือนต้นหลิว บ้านในเจี้ยนเย่ของหลิ่วหรูเมิ่ง ตั้งแต่เข้าสู่เหมันต์ อากาศหนาวก็ทวีความรุนแรง หลิ่วหรูเมิ่งจึงทิ้งเรือมาอาศัยอยู่ในเมือง แม้เรือนต้นหลิวไม่ใหญ่โต แต่เงียบสงบและงดงาม มักจะทำให้ผู้มาเยือนเกิดความรู้สึกมิอยากกลับอยู่เสมอ อวี๋หลุนยื่นมือออกมาตั้งใจจะเคาะประตู ทว่าทันใดนั้นใจกลับขลาดกลัว มือจึงยกค้างอยู่กลางอากาศ มิอาจขยับไปข้างหน้า
สติล่องลอยหวนนึกถึงความทรงจำก่อนออกจากบ้านวันนี้ หลิ่วหรูเมิ่งถือร่มกระดาษสีแดงในมือ ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีขาวยืนส่งท่ามกลางหิมะ ริมฝีปากสีอิงเถาขยับเบาๆ “ท่านอาจารย์ แม้หรูเมิ่งเป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่ก็ทราบว่าแม่ทัพใหญ่จงรักภักดี ท่านอาจารย์สนิทกับใต้เท้าซั่ง หากแนะนำเขาหว่านล้อมอัครมหาเสนาบดีให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ระหว่างแม่ทัพกับเสนาบดีได้ ย่อมเป็นโชคดีของแว่นแคว้นอย่างแท้จริง หากปล่อยหิมะต้องกล้วยไม้ เสาหยกหักโค่น ไฉนมิเท่ากับทำลายกำแพงเมืองของตนเอง มีแต่จะทำให้ฝ่ายตนเจ็บปวดศัตรูเริงร่า”
แต่สิ่งที่ตนเองทำคืออะไร ขณะที่ซั่งเฉิงเยี่ยกลัดกลุ้มเล่าให้ตนฟังว่าจวบจนวันนี้ซั่งเหวยจวินก็ยังลังเลตัดสินใจมิได้ ตนเองกลับพูดว่า “แม่ทัพใหญ่ลู่ก่อกบฏหรือไม่มิสำคัญ หนนี้อัครมหาเสนาบดีซั่งล่วงเกินแม่ทัพใหญ่เช่นนี้แล้ว แม่ทัพใหญ่จะลืมเลือนเรื่องนี้ได้หรือ
หนนี้แม่ทัพใหญ่ยอมให้จับแต่โดยดี ทั้งยังออกคำสั่งมิให้แม่ทัพใต้บัญชาก่อความวุ่นวาย แต่มิรู้ว่าหนหน้าเขาจะยังมิหวงแหนชีวิตและเกียรติยศ ปล่อยให้ท่านอัครมหาเสนาบดีทำร้ายตามใจเช่นนี้อีกหรือไม่”
เพียงเห็นสีหน้าครุ่นคิดของซั่งเฉิงเยี่ย อวี๋หลุนก็ทราบแล้วว่าลู่ช่านขยับเข้าใกล้ความตายมากขึ้นอีกก้าว