ในเวลาไม่ถึงสองเดือน เรื่องราวบนโลกพลิกกลับตาลปัตร ยังไม่ต้องเอ่ยถึงฝั่งต้ายงที่หลังศึกเซียงหยาง ฉีอ๋องและองค์รัชทายาทล้วนถูกตำหนิ แม้แต่เจียงเจ๋อผู้ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิอย่างยิ่งมาเสมอก็ถูกลดบรรดาศักดิ์ตัดเบี้ยหวัด
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าเจียงเจ๋อถูกจักรพรรดิต้ายงปลดจากตำแหน่งในกองทัพ จนถึงขั้นมีวี่แววว่ากองทัพต้ายงจะกระชับแนวป้องกันด้วย เค้าลางนานาประการล้วนบ่งบอกว่าสงครามที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปีอาจจะกำลังยุติ แต่เมื่อภัยด้านนอกใกล้หมดไปเช่นนี้ ความขัดแย้งภายในของหนานฉู่กลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที
นับตั้งแต่ลู่ช่านถูกปลดและเดินทางมาถึงเจี้ยนเย่ เจ้าแคว้นจ้าวหล่งก็พบหน้าเขาไวๆ เพียงหนเดียว จากนั้นก็ส่งลู่ช่านเข้าคุก ภรรยากับลูกน้อยที่ยังอยู่ในเจี้ยนเย่ของลู่ช่านถูกคุมตัวอยู่ในจวน แม้แต่ลู่อวิ๋นที่นำทัพอยู่ในไหวซีก็ถูกราชองครักษ์ตีตรวนพาตัวเข้าเมืองหลวงด้วย มีเพียงบุตรคนรองลู่เฟิง บุตรีคนที่สามลู่เหมยกับลูกสะใภ้คนโตสือซิ่วของลู่ช่านที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ลู่เฟิงและลู่เหมยต่างยังมิทันโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนสือซิ่วก็เป็นบุตรีของสือกวน เห็นแก่ที่สือกวนรู้จักสถานการณ์ยอมหันมาเข้าพวก ซั่งเหวยจวินจึงไม่บีบคั้นเกินไปนัก เพียงออกคำสั่งให้ออกประกาศจับเท่านั้น
ทว่าถึงแม้เขาจะมิสนใจนัก แต่สำนักเฟิงอี้กลับส่งยอดฝีมือออกมาค้นหาร่องรอยของทั้งสามคนอย่างไม่หยุดหย่อน อวี๋หลุนมิทราบว่าเหตุใดสำนักเฟิงอี้จึงเคร่งเครียดปานนี้ หลังจากผ่านไปหลายวันจึงทราบจากปากซั่งเฉิงเยี่ยว่ายอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักเฟิงอี้เดินทางไปช่วยผู้แทนพระองค์จับตัวคนตระกูลลู่ที่ไหวซี แต่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมิรู้ว่าอยู่หรือตาย ตอนซั่งเฉิงเยี่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้เขามีแต่ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ส่วนในใจอวี๋หลุนลอบคาดเดากับตนเองว่านี่จะเป็นการลงมือของค่ายลับหรือไม่
มิทราบว่าเหม่อลอยอยู่นานเท่าใด จู่ๆ อวี๋หลุนก็สัมผัสได้ถึงปราณกระบี่สายหนึ่งที่จู่โจมมาจากเงามืด ประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายอันยาวนานทำให้เขาได้สติกลับมาทันที ร่างกายขยับวูบเดียวก็หลบปราณกระบี่ได้ประหนึ่งภูตผี เขาแนบร่างกับกำแพงดุจใบไม้แห้ง สายตาวาวโรจน์จ้องมองความมืด ด้วยแววตาระแวดระวัง แม้ปราณกระบี่นั่นจะไร้จิตสังหาร แต่อวี๋หลุนกลับมิกล้าประมาทแม้แต่น้อย พัดในมือขวาชี้ไปด้านหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “ผู้ใดจับจ้องอยู่ตรงนั้น”
เสียงกระจ่างชัดเสียงหนึ่งดังมาจากตรอกมืด “บัณฑิตซ่งโปรดอภัย ผู้น้อยรอท่านบัณฑิตกลับมาอยู่ตรงนี้นานแล้ว ผู้น้อยต้องการมาเยี่ยมเยือนคารวะ แต่คิดมิถึงว่าท่านบัณฑิตจะยืนหน้าประตูอยู่เนิ่นนาน ผู้น้อยเกรงว่าท่านบัณฑิตจะต้องลมหนาว ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีการบางอย่างเรียกสติท่านบัณฑิต ขอท่านบัณฑิตอย่าได้ถือโทษ”
เวลานี้อวี๋หลุนเรียกจิตใจอันเยือกเย็นดุจน้ำแข็งกลับมาได้แล้ว เขาปรือแพขนตาลงอย่างหม่นหมอง ทว่ามิตอบคำ เขาทราบว่าเมื่อครู่ตนเองจิตใจมิสงบจึงมิทันสังเกตว่าในเงามืดมีคน ถึงกระนั้นคนผู้นี้ก็ต้องเป็นยอดฝีมือแน่ มิเช่นนั้นคงปิดบังหูตาของเขาไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้ ในใจขบคิดร้อยตลบ จากนั้นอวี๋หลุนจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้แซ่ซ่งเป็นเพียงคนพเนจรไม่สำคัญคนหนึ่ง ท่านมีสิ่งใดต้องการชี้แนะ”
คนผู้นั้นเงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนในเจี้ยนเย่ต่างทราบว่าท่านบัณฑิตกับบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีซั่งคบหากันสนิทสนม ยามนี้แม่ทัพใหญ่ถูกใส่ร้ายอยู่ในคุก มิทราบเป็นตายอย่างไร อัครมหาเสนาบดีคุมขังแม่ทัพใหญ่ไว้ที่ใด มิมีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นผู้น้อยจึงบุ่มบ่ามมาถาม
เจี้ยนเย่ทราบกันถ้วนทั่วว่าท่านบัณฑิตจิตใจสูงส่ง มิละโมบอำนาจ แม้แต่ซั่งเฉิงเยี่ยผู้นั้นก็มิอาจดึงท่านบัณฑิตเข้าไปเป็นข้ารับใช้ ในใจท่านบัณฑิตก็คงทราบความภักดีของแม่ทัพใหญ่ ขอท่านบัณฑิตอย่าใจแคบ ชี้แนะด้วย”
ในใจอวี๋หลุนหนาวยะเยือก คนผู้นี้ทราบว่าตนกับซั่งเฉิงเยี่ยคบหากันยังไม่แปลก แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าตนทราบสถานที่กักขังลู่ช่าน ผู้ที่ล่วงรู้ว่าตนมีอิทธิพลต่อซั่งเฉิงเยี่ยมีไม่มาก ผู้ใดกันที่ขายตน
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงหลิ่วหรูเมิ่งผู้อยู่ในจวนด้านหลัง นางก็เป็นหนึ่งในคนที่ทราบเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นสองเดือนที่ผ่านมา นางยังเกลี้ยกล่อมให้ตนคิดหาวิธีช่วยลู่ช่านอยู่หลายหน หรือว่านางจะขายเขา
โทสะพลันบังเกิดในใจอย่างมิอาจหักห้าม ดวงตาฉายแววต่อต้าน ตอบเสียงกร้าว “เรื่องที่ท่านต้องการถาม ข้าทราบก็จริง แต่หากอยากจะให้ข้าพูดออกมาคงเป็นไปมิได้” กล่าวจบไอสังหารเย็นยะเยือกก็ทะลักออกมาจากร่าง ประสาทสัมผัสพบว่าในเงามืดมีคนซุ่มซ่อนอยู่สองคน คนหนึ่งในนั้นปราณกระบี่ดุดัน อีกคนหนึ่งพลังภายในลึกล้ำ แม้ตระหนักดีว่าหากสองคนนี้ร่วมมือกัน ตนเองคงยากจะมีโอกาสชนะ แต่เขากลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสู้แลกชีวิต
คนที่ซ่อนอยู่ในความมืดผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปรอบตัวอวี๋หลุนจึงถอนหายใจแผ่วเบา ก้าวออกมาจากตรอกมืด ย่างเท้ามาถึงหน้าประตู แสงโคมสลัวส่องกระทบดวงหน้าหล่อเหลาแต่ดูสุภาพของเขา คนผู้นี้สวมชุดบัณฑิตที่ทำจากผ้าฝ้าย ข้างกายห้อยกระบี่ยาว ปราณกระบี่บนร่างคมกริบดุดัน ดวงตาทั้งสองมีประกายเจิดจ้าซ่อนอยู่ภายใน ยามจับจ้องใบหน้าของอวี๋หลุน แววตาแฝงความเสียดายอยู่เลือนราง
อวี๋หลุนก้าวมาข้างหน้า พัดในมือสะบัดเบาๆ หญิงงามบนพัดเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ท่าทางแลดูอิสระเสรีแต่กลับแฝงกลิ่นอายความหยิ่งทะนง
บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนนั้นประสานหมัดกล่าวว่า “บัณฑิตซ่งคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว ผู้น้อยมิได้มีเจตนาร้าย เพียงต้องการทราบสถานการณ์ของแม่ทัพลู่เพียงเท่านั้น”
อวี๋หลุนกล่าวเสียงเย็นชา “แม่ทัพใหญ่จะเป็นหรือตายเป็นเรื่องของราชสำนัก มิเกี่ยวข้องกับเจ้า ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งมิได้กินเบี้ยหวัดหลวง ทั้งมิใช่ลูกหลานตระกูลขุนนาง ไยต้องสนใจเรื่องของผู้อื่น”
บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายผู้นั้นถอนหายใจตอบว่า “คำนี้ท่านบัณฑิตกล่าวผิดแล้ว สองเดือนที่แม่ทัพใหญ่อยู่ในคุก ผู้คนหนานฉู่ทั้งบนล่างล้วนกังวลใจ มิเพียงขุนนางบุ๋นบู๊ต่างพากันถวายฎีกาปกป้อง แม้แต่บัณฑิตสามัญชนก็พากันเรียกร้องความเป็นธรรม ความรุ่งเรืองล่มสลายของแว่นแคว้นจะบอกว่ามิใช่เรื่องของพวกเราได้อย่างไร
ท่านบัณฑิตมิแสวงหาลาภยศ ใช้ชีวิตท่องเที่ยวพเนจร ยามข้าได้ยินคำเล่าลือถึงนิสัยของท่านบัณฑิต ในใจรู้สึกนับถือนัก แต่เหตุไฉนท่านจึงมิยอมบอกความจริง หรือท่านตั้งใจจะปกป้องเสนาบดีชั่วที่ทำร้ายแว่นแคว้นผู้นั้น”
อวี๋หลุนหัวเราะหยัน “ท่านจะหลอกตนเองไปไย แม้แม่ทัพใหญ่มีความดีความชอบต่อแว่นแคว้น แต่เขานิสัยซื่อตรง ตระกุลขุนนางและเหล่าขุนนางบู๋นบู๊ในหนานฉู่ที่นับถือเขามีมาก แต่คนที่หวาดกลัวเขามีมากกว่า เจ้าลองดูว่าฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมเหล่านั้นมีสักกี่ฉบับเป็นของขุนนางตำแหน่งสูงกว่าขั้นสาม แม้แต่แม่ทัพคนสนิทในสังกัดของเขาเองทำตัวอย่างไร
หยางซิ่วเงียบงันมิเอ่ยวาจา ถวายฎีกาแก้ต่างให้ตนเองเพียงสองสามฉบับก็ฉกฉวยอำนาจกองทัพไหวตงไปครอง ทั้งยังลักลอบผูกมิตรกับอัครมหาเสนาบดีซั่ง สือกวนมิเพียงส่งตัวลูกเขยของตนให้อัครมหาเสนาบดีซั่ง แต่ยังยินยอมพร้อมใจเข้ามาเกาะผู้มีอำนาจ แม้อวี๋เหมี่ยนอยากจะยกทัพมา แต่น่าเสียดายหรงเยวียนสกัดกั้นแม่น้ำฉางเจียงไว้อย่างแน่นหนา บีบจนเขาทำได้แต่ยกทัพกลับไป ได้เริ่มแต่มิอาจจบ
แล้วยังมีหรงเยวียนผู้นั้น แต่เดิมเป็นยอดแม่ทัพและขุนนางผู้ภักดี แต่ยามนี้ถวายฎีการ้องเรียนแม่ทัพใหญ่ติดกันสามฉบับ ฉบับสุดท้ายถึงขั้นกล่าวว่าแม่ทัพใหญ่สมคบศัตรู ปล่อยให้ขุนนางทรยศของหนานฉู่หนีรอดความตาย ต้ายงเสียเซียงหยางแล้วยังได้กลับคืน ความผิดสองประการนี้ร้ายแรงยิ่งนัก เรื่องที่ลือกันว่าแม่ทัพใหญ่ปรารถนาจะตั้งตัวเป็นเจ้าแคว้นในเจียงไหวเป็นเพียงสิ่งเลื่อยลอย แต่ความผิดสองประการนี้ อธิบายอย่างไรก็ไม่กระจ่าง
ต่อให้ไม่พูดถึงคนผู้นี้ ยามนี้ตระกูลขุนนางสูงศักดิ์มากอำนาจทั้งหลายในหนานฉู่ ผู้ใดมิอยากให้แม่ทัพใหญ่ตายเพื่อจะได้แย่งชิงอำนาจทหารที่เขาทิ้งไว้บ้าง แม้มีคนเช่นเจ้าทุ่มเทความคิดเพื่อแม่ทัพใหญ่จะมีประโยชน์อันใด เจ้าก็ทำได้แต่รังแกผู้แซ่ซ่งที่มีตัวคนเดียวเท่านั้น ต่อให้ผู้แซ่ซ่งบอกเจ้าว่าแม่ทัพใหญ่ถูกขังอยู่ที่ใด เจ้าจะมีความสามารถอันใดช่วยเขาออกมา”
คนผู้นั้นเงียบงันมิพูดจา ทว่าคนในเงามืดอดรนทนมิไหวแล้ว เขาก้าวเข้ามาใต้แสงโคมแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “เด็กน้อยพเนจรอย่างเจ้าจะเข้าใจน้ำใจของแม่ทัพใหญ่ได้เช่นไร หากมิใช่เพราะแม่ทัพใหญ่อดกลั้นไว้ หนานฉู่คงเกิดไฟสงครามขึ้นทั่วทุกหนแห่งไปแล้ว หากแม่ทัพใหญ่ถูกทำร้ายจริงๆ น่ากลัวว่าแม่ทัพผู้ภักดีต่อแม่ทัพใหญ่เหล่านั้นคงมิอาจอดทนได้อีก ขอเพียงเจ้าบอกว่าแม่ทัพใหญ่ถูกขังอยู่ที่ใด พวกเราจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าเด็ดขาด”
แสงโคมส่องให้เห็นชัด คนที่ตามมาทีหลังผู้นี้เป็นนักพรตสวมหมวกสีเหลืองคนหนึ่ง
อวี๋หลุนหัวเราะเย็นชา สะบัดพัดแผ่วๆ คล้ายตั้งใจแต่ก็เหมือนมิตั้งใจ ทำท่าเหมือนอยากจะโต้เถียงกับนักพรตผู้นั้นต่อ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าชั่วขณะที่พัดโบกเข้าแล้วโบกออก ฉับพลันประกายแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งจากแกนพัดมาหาลำคอของนักพรต การโจมตีหนนี้กะทันหันนัก นักพรตผู้นั้นคิดมิถึงว่าอวี๋หลุนจะลงมืออำมหิตเช่นนี้จึงมิทันป้องกันอย่างสิ้นเชิง ดวงตามองเห็นอาวุธลับกำลังจะคร่าชีวิตเขาอยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นประกายกระบี่กลับฉายวาบ แสงสีดำสายนั้นถูกโจมตีร่วงตกไปด้านข้าง
บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายผู้นั้นถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ ดวงตาเต็มไปด้วยแววตาเกรี้ยวกราด เอ่ยขึ้นว่า “ท่านลงมือได้เช่นนี้ย่อมเป็นพวกใจเหี้ยมอำมหิต รับกระบี่”
เพิ่งกล่าวจบ ประกายกระบี่ลากเป็นสายดุจผืนผ้าพลันจู่โจมมาถึงหน้าของอวี๋หลุน