ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 100 ความโปรดปรานของนายเหนือหัวหนักเท่าแผ่นดิน (4)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

อวี๋หลุนพลิ้วกายเหินถอยหลัง พัดในมือสะบัดแผ่วเบาขวางการจู่โจมของกระบี่ พัดกับกระบี่ปะทะกัน อวี๋หลุนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำลังภายในของบัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายผู้นี้นิ่งสงบและลึกล้ำ แข็งแกร่งกว่าเขามาก หนึ่งกระบี่ก็เกือบจะทำให้เขาเสียพัดไปแล้ว อวี๋หลุนหยั่งเชิงตื้นลึกของศัตรูออกแล้วก็เผยฝีมือออกมาทันที

เขาเคลื่อนไหวไปรอบๆ คอยหาโอกาสลงมือ วิชากระบี่ของบัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายผู้นั้นสง่าผ่าเผย ป้องกันอย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็โจมตีอย่างมั่นคงและปราดเปรียว ดุจดั่งยอดแม่ทัพนำกองทัพบุกตีเมือง มิมีช่องว่างให้กล่าวถึงสักนิด

ในใจอวี๋หลุนกลัดกลุ้ม วิชากระบี่เช่นนี้ใช้ต่อกรกับมือสังหารชั้นยอดเช่นเขาเหมาะสมเป็นที่สุด หากมิใช่ว่าตนฉวยโอกาสโจมตีขณะที่เขายังมิทันเตรียมพร้อมก็คงยากจะชิงโอกาสได้เปรียบ

ขณะที่อวี๋หลุนกลุ้มใจ บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนนั้นกลับตกตะลึงอย่างยิ่ง วรยุทธ์ของชายหนุ่มผู้นี้โหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขาเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางการโจมตีจากกระบี่ของตนได้อย่างอิสระเสรี ขอเพียงตนเผยช่องโหว่แม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะเข้าจู่โจมจุดสำคัญของตนประหนึ่งภูตผี ต่อสู้กันมาเพียงไม่กี่กระบวนท่า ในใจบัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนนั้นก็เกิดความรู้สึกประหลาด

ชายหนุ่มคนนี้จักต้องเป็นมือสังหารผู้สองมือแปดเปื้อนคาวโลหิตอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาย่อมมีฝีมือและไอสังหารเช่นนี้ไม่ได้ ทว่าแม้ในใจบัณฑิตผู้นี้จะวิตกกังวลเล็กน้อย แต่การจู่โจมของกระบี่กลับยิ่งสุขุม

ทั้งสองประมือกันมิถึงร้อยกระบวนท่า แม้ฉากหน้าจะสูสีเสมอกัน แต่อวี๋หลุนรู้สึกได้เลือนรางว่าวรยุทธ์ของตนถูกวิชากระบี่ของอีกฝ่ายข่มไว้ ในใจพลันบังเกิดจิตสังหารแรงกล้า ตัดสินใจใช้กระบวนท่าที่ยอมบาดเจ็บทั้งสองฝั่ง ตั้งใจจะตัดสินกับมือกระบี่ผู้นั้นอย่างมิเสียดายชีวิต มิรู้เพราะอันใด ในใจเขาจึงคิดว่าหากหลิ่วหรูเมิ่งขายเขาจริง สิบในแปดเก้าส่วนก็คงทำเพื่อคนผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงยิ่งเคียดแค้นกว่าเดิม

บัณฑิตผู้นั้นขมวดคิ้วเป็นปม เขาได้ข่าวมาว่าซ่งอวี๋ผู้นี้ทราบข้อมูลมากมายที่ตนเองต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้เดินทางไปมาลำพัง นิสัยมีเกียรติพอสมควร น่าจะใช้คุณธรรมเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นจึงเดินทางมาไถ่ถาม แต่มิรู้เพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงคิดจะสู้แลกชีวิตกับตน แม้สุดท้ายตนคงเป็นฝ่ายได้ชัย แต่หากสังหารคนผู้นี้ตายเสียแล้ว ประการแรกย่อมเสียโอกาสสืบข่าว ประการที่สองย่อมเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

พอขบคิดไวๆ เสร็จ เขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “บัณฑิตซ่ง หากมิยอมหยุด เกรงว่าพวกข้าพี่น้องคงต้องล่วงเกินแล้ว” กล่าวจบก็ใช้กระบี่จู่โจม ค่อยๆ ไล่ต้อนอวี๋หลุนให้จนมุม อวี๋หลุนต้องถอยหลังมิหยุด ตอนที่อวี๋หลุนถอยมาถึงก้าวที่สาม นักพรตผู้นั้นก็เหินร่างเข้ามา ในมือปรากฏแส้ปัดฝุ่นด้ามหนึ่ง สะบัดเข้าใส่กลางหลังของอวี๋หลุน

ทั้งสองคนใจสื่อถึงกัน พวกเขาเพียงคิดจะสกัดจุดชายหนุ่มผู้นี้เพื่อหยุดเขาเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าอวี๋หลุนกลับเหมือนคาดไว้ก่อนแล้ว ขณะที่นักพรตผู้นั้นจวนเจียนจะสกัดจุดบนแผ่นหลังของเขาสำเร็จ ร่างของเขาก็บิดตัวประหนึ่งวิฬาร์ ซัดประกายแสงสีดำสามสายออกมาจากพัดในมือโดยมิสนใจกระบี่ยาวที่พุ่งเข้าใส่หน้าอก นักพรตคิดมิถึงว่าเขาจะเอาชีวิตตนเองเข้าแลก พอมองเห็นว่าตนเองกำลังจะตกตายใต้อาวุธลับจึงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

ในตอนนี้เอง เสียงพิณสามหนพลันดังแทรกรัตติกาลมืดมิดอันเงียบสงัดราวกับฉีกผืนผ้า พวกมันประหนึ่งดาบคมกริบที่โผล่มาจากความมืด พุ่งผ่านระยะห่างสิบกว่าจั้ง สกัดประกายแสงสีดำที่อวี๋หลุนซัดออกมาไว้กลางทาง ในเวลาเดียวกันกระบี่ยาวในมือบัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายกับแส้ปัดฝุ่นในมือนักพรตหมวกเหลืองก็ถูกแรงล่องหนกระแทกเบี่ยงออกด้านข้าง พลาดเป้าไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด หลบเลี่ยงโศกนาฎกรรมที่ต้องล้มตายทั้งสองฝ่ายเอาไว้ได้ ทั้งสามคนตกตะลึงนิ่งอึ้งฉับพลัน

ชายหนุ่มอาภรณ์ดำคนหนึ่งก้าวออกมาจากความมืด ใบหน้าของเขาคาดผ้าโปร่งสีดำ เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็ค้อมกายคำนับกล่าวว่า “คุณชายซ่ง ล่วงเกินแล้ว เห็นแก่ที่ยามปกติรู้จักกัน โปรดอย่าได้ถือโทษ”

แม้คนผู้นี้จะปิดบังโฉมหน้าอยู่ แต่อวี๋หลุนกลับจำเขาได้ในปราดเดียว ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนงงงวยแล้วถามอย่างวิตกกังวล “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ พี่ไป๋”

คนผู้นั้นประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า “ขอคุณชายซ่งโปรดอภัย จอมยุทธ์ติงต้องการช่วยแม่ทัพใหญ่ แต่จนปัญญาที่มิทราบสถานที่คุมขัง จึงต้องลงมือทั้งที่ลำบากใจ หากเจ้าแผ่นดินโฉดเขลากับเสนาบดีชั่วมิใช้แผนร้าย พวกเราก็คงไม่จำเป็นต้องยื่นมือมาช่วยแม่ทัพใหญ่โดยพลการ

จอมยุทธ์ติงกับเจ้าหอเคยมีไมตรีแก่กัน จอมยุทธ์ติงต้องการข่าวสารที่แน่ชัดจึงมาขอช่วยเหลือ เจ้าหอทราบว่าคุณชายซ่งรู้ข่าววงใน จึงจำใจต้องผิดคำสัญญาในวันวานเพื่อคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ แนะนำให้จอมยุทธ์ติงมาตามหาคุณชาย หากล่วงเกิน ขอโปรดอภัยด้วย”

อวี๋หลุนสีหน้าเปลี่ยนไปมา แววตาค่อยๆ กระจ่างใส เขามองสหายเก่าตรงหน้า จากนั้นเหลือบมองในเงามืดแวบหนึ่ง แม้อยากพูดบางสิ่งแต่ก็ยั้งปากไว้

คนผู้นั้นก้าวเข้ามาอีกหน “คุณชายซ่ง ท่านกับเจ้าหอรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน เจ้าหอทราบว่าการผิดสัญญามารบกวนกันออกจะทำเกินไปอยู่บ้าง แต่ขอคุณชายเห็นแก่แม่ทัพลู่เป็นเสาหลักแห่งหนานฉู่ที่จะยอมให้หักโค่นมิได้ โปรดบอกสิ่งที่ทราบด้วย”

ดวงตาของอวี๋หลุนฉายแววจนปัญญาและเศร้าหมองวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าติดค้างบุญคุณของเจ้าหอแต่มิมีสิ่งใดตอบแทน แม้นต้องพลีชีพให้ก็มิเสียดาย ในเมื่อเจ้าหอเป็นผู้ถาม ข้ารู้สิ่งใดก็จะบอกหมดสิ้น แม่ทัพลู่ถูกขังอยู่ที่เรือนร้างของตระกูลเฉียวในเมืองหลวง เกรงว่าอีกไม่กี่วันก็คงถูกตัดสินชะตาแล้ว ตัวข้าเองก็ชื่นชมคุณธรรมของแม่ทัพลู่ ยามแม่ทัพลู่ออกเดินทางสู่ปรโลก ข้าย่อมไปส่งเขาด้วยตนเอง หากเจ้าหอต้องการทราบสภาพของแม่ทัพลู่ มิสู้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของข้าไว้”

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายกับนักพรตหมวกเหลืองผู้นั้นต่างดีใจยิ่งนัก ก้าวเข้ามาคำนับขอบคุณ อวี๋หลุนกลับเพียงยิ้มเย็นชาอย่างมิสนใจไยดี ตอนนี้เองเสียงพิณสองสามหนก็ดังออกมาจากเงามืด แฝงการปลอมประโลมอยู่ในที ความคิดหลายอย่างวิ่งวนในหัวของอวี๋หลุน ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่ก้ำกึ่งระหว่างโศกเศร้ากับยินดี ก่อนจะทะยานร่างเข้าไปในเรือนต้นหลิวโดยมิเคาะประตู ต่อจากนั้นเสียงขลุ่ยก็ลอยออกมาจากความมืด เสียงเศร้าสลดคล้ายคับแค้นใจเหลือคณา ทว่าเพียงพริบตาก็จางหายไปกับสายลม

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายเป็นผู้เข้าใจเสียงดนตรี เขาฟังออกว่าเสียงขลุ่ยแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้ ในใจเกิดคำถามขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ จึงเอ่ยปากถามชายหนุ่มผู้ปิดบังใบหน้าคนนั้น “ขอถามพี่ไป๋ บัณฑิตซ่งผู้นี้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าหอกลไกสวรรค์ หากเขามิสมัครใจ เกรงว่าจะเสียการใหญ่”

ชายหนุ่มผู้ปิดบังโฉมหน้าหัวเราะ ตอบว่า “จอมยุทธ์ติงมิต้องกังวล ความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายซ่งกับเจ้าหอมิใช่เพียงไมตรีตื้นเขิน เพียงแต่หลายปีก่อนเขาปลีกตัวจากยุทธภพแล้ว ตามกฎของหอเราจึงมิเกี่ยวข้องอันใดต่อกันอีก หนนี้เจ้าหอไร้ทางเลือกต้องทำลายคำสัญญา เขาคงไม่พอใจ แต่เจ้าหอมีบุญคุณต่อเขามากมายเท่าขุนเขา ตัวเขาเองก็เป็นคนยึดถือคุณธรรมไมตรี ขอเพียงเป็นคำสั่งของเจ้าหอ เขาย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง”

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายจึงวางใจ ประสานมือคำนับกล่าวว่า “ฝากกล่าวขอบคุณพระคุณอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหอแทนผู้น้อยด้วย”

ชายหนุ่มผู้นั้นตอบเสียงเคร่งขรึม “ล้วนทำเพื่อปวงประชาในใต้หล้า ไยต้องกล่าวถึงพระคุณอันใด ผู้น้อยขอตัว หากมีเรื่องใด บอกหัวหน้าหานให้ทราบก็พอ”

กล่าวจบชายหนุ่มผู้นั้นก็เร้นกายหายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ เสียงพิณในความมืดดังขึ้นอีกหนคล้ายเอ่ยคำอำลา เพียงครู่เดียวก็เงียบหายไป

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายเผยสีหน้าชื่นชม เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหอกลไกสวรรค์ช่างเป็นยอดคนในใต้หล้าจริงๆ หากมิได้เขาช่วยเหลือ พวกเราไหนเลยจะมีหนทางช่วยแม่ทัพลู่”

นักพรตหมวกเหลืองผู้นั้นทำหน้าคลางแคลงแล้วกล่าวว่า “เจ้าหอกลไกสวรรค์ใช้ผ้าแพรสีขาวปิดหน้าปิดตาอยู่ตลอด แม้แต่ร่างกายก็ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์ตัวหลวมโคร่ง พี่ติงแน่ใจหรือว่าเขาคือคนที่พวกเราบังเอิญพบบนทะเลสาบเจิ้นเจ๋อจริงๆ”

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายตอบว่า “แม้มิอาจเห็นหน้าตาหรือรูปร่าง แต่ฟังจากเสียงพิณของเขา ต้องเป็นคุณชายอวิ๋นที่พบกันวันนั้นอย่างแน่นอน บุคคลเช่นเขาไม่มีทางเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อหน้า เพียงได้รับความช่วยเหลือจากเขาก็นับว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว พวกเราอย่าได้สืบเสาะเรื่องอื่นเลย”

นักพรตผู้นั้นฟังจบก็พยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ยังเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มกังวล “ลงมือปล้นคุก อย่างไรก็มิใช่การกระทำของขุนนาง หวังว่าเจ้าแคว้นจะเห็นแก่ความดีความชอบที่แม่ทัพใหญ่คอยพิทักษ์แผ่นดิน หากออกราชโองการละเว้นโทษได้จึงจะดีที่สุด”

บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนนั้นถอนหายใจ “หวังแต่ว่าน้ำพระทัยของเจ้าแผ่นดินจะกว้างดุจมหาสมุทร คิดถึงจิตใจของขุนนางภักดี” กล่าวจบแม้แต่ตนเองก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งเพ้อฝัน ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หนหนึ่ง แล้วเร้นกายหายเข้าไปในรัตติกาลภายในชั่วพริบตา

นักพรตหมวกเหลืองผู้นั้นถอนหายใจบ้าง “ความโปรดปรานของนายเหนือหัวหนักเท่าแผ่นดิน ชีวิตขุนนางเบาดุจเส้นขน ยามนั้นท่านอ๋องตายด้วยเหตุนี้ แม่ทัพใหญ่จะอาศัยสิ่งใดโชคดีรอดพ้นภัยเล่า ข้าหวังมากเกินไปแล้ว” กล่าวจบก็เดินตามหลังจมหายเข้าไปในความมืด

ยามนี้ลึกเข้าไปในพระราชวังหนานฉู่ จ้าวหล่งอ่านฎีกาลับที่ซั่งเหวยจวินถวายมา ริมฝีปากเบะออก ก็แค่สังหารขุนนางคนหนึ่ง จะระวังอะไรปานนั้น ต้องส่งฎีกาลับมาตอนกลางดึก แล้วยังจะขอให้ประทานความตายเป็นการลับอีก มีโทษหนักคิดก่อการกบฏแท้ๆ แต่กลับตัดสินโทษคนในครอบครัวเพียงเนรเทศ

ในพระทัยเกิดความคิดอยากจะเพิ่มโทษทัณฑ์ แต่คิดได้เพียงครู่เดียวก็คร้านจะยุ่งมิเข้าเรื่อง เพียงเขียนตัวอักษร ‘อนุญาต’ เพียงคำเดียว หลังจากนั้นก็โยนฎีกาส่งๆ ไว้บนโต๊ะ เดินเข้าตำหนักหลังอย่างสะลึมสะลือ คนงามด้านในยังรอเขาอยู่