ท่านกงถูกคุมขังอยู่ในคุกสองเดือน อัครมหาเสนาบดีซั่งใช้เรื่องที่เซียงหยางใส่ร้ายเขาให้กรมอาญาเป็นผู้พิพากษา ท่านกงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ขุนนางทั้งหลายต่างเงียบงัน อัครมหาเสนาบดีซั่งกังวล จึงหันไปใส่ร้ายลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของท่านกงว่าคิดก่อกบฏช่วยเหลือบิดา ลงทัณฑ์บีบบังคับเขาอย่างหนัก ทั้งร่างมิมีส่วนไหนสมบูรณ์ดี
ใครบางคนพูดกับลู่อวิ๋นว่า ‘อัครมหาเสนาบดีซั่งตั้งใจจะให้พวกท่านตายทั้งพ่อทั้งลูก แม้นดันทุรังมิยอมจำนนก็มิอาจเลี่ยง ไยมิสู้โป้ปดตอบรับไปเสีย จะได้ทรมานน้อยลงสักหน่อย’ ลู่อวิ๋นตอบอย่างเกรี้ยวกราด ‘ตายก็ตาย ไยต้องทิ้งนามเปื้อนมลทินไว้บนโลก’
เรื่องในคุกมิราบรื่น ฝั่งแม่ทัพใต้บัญชาของท่านกงล้วนได้รับคำสั่งให้ปลอบประโลมขวัญกำลังใจทหาร ถวายฎีกาปกป้องได้เท่านั้น มีเพียงอวี๋เหมี่ยนที่ได้ยินว่าท่านกงถูกจับกุมก็ยกพลหมายจะมาช่วยเขา แต่ถูกสกัดไว้ที่เจียงหลิง อัครมหาเสนาบดีซั่งจะใช้เรื่องนี้กล่าวโทษท่านกง แต่ท่านกงกลับเขียนจดหมายห้ามปรามด้วยตนเอง อวี๋เหมี่ยนได้รับจดหมายจึงถอยทัพอย่างหม่นหมอง อัครมหาเสนาบดีซั่งจึงมิกล้าเพิ่มโทษอีก อัครมหาเสนาบดีซั่งกังวลว่าแม่ทัพใต้บัญชาของท่านกงสุดท้ายจะก่อความวุ่นวายจึงละเว้นโทษเขา
หนิงเชียนที่ปรึกษาได้ข่าวจึงกล่อมอัครมหาเสนาบดีซั่งอย่างชั่วช้า ‘แม่ทัพใหญ่ยังอยู่ แม่ทัพทั้งหลายล้วนพึ่งพิงเขา แม่ทัพใหญ่มอดม้วย แม่ทัพทั้งหลายมีครอบครัวอยู่ในเจียงหนาน ทั้งยังไร้ผู้นำ ผู้ใดยังจะกล้าก่อกบฏ’
บุตรชายของอัครมหาเสนาบดีซั่งนามเฉิงเยี่ยกล่อมเขาอีกว่า ‘จับเสือง่าย แต่ปล่อยเสือย่อมเป็นภัย ในเมื่อเกิดความแค้นขึ้นแล้วย่อมมิอาจละเว้นเขา มิเช่นนั้นพวกเราพ่อลูกคงตายไร้ที่ฝังร่าง’
อัครมหาเสนาบดีซั่งจึงตัดสินใจเข้าวังขอราชโองการลับกลางดึก เจ้าแคว้นมิพิจารณาก็อนุญาต ใช้สุราพิษพระราชทานความตายแก่ท่านกง ปีนั้นเขาอายุสามสิบห้า ปวงประชาในแว่นแคว้นทราบข่าวล้วนเศร้าโศกคับแค้น ผู้คนสวมชุดไว้ทุกข์เซ่นไหว้เขาอย่างลับๆ นับไม่ถ้วน
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
เดือนสิบสอง วันที่เจ็ด ลมพายัพพัดหิมะโปรยปราย เหมันต์ของเจียงหนานปีนี้หนาวเหน็บเป็นเท่าทวี ภายในเมืองเจี้ยนเย่เย็นเฉียบ ‘เรือนตระกูลเฉียว’ ในตัวเมืองที่ถูกทิ้งร้างมานานยิ่งบรรยากาศหนาวยะเยือกวังเวง แม้ภายในจวนจะมีศาลาห้องหอสิบกว่าแห่ง แต่สิ่งก่อสร้างมากกว่าครึ่งล้วนมีสภาพทรุดโทรมผุพัง มีลมลอดเข้ามาเสียทุกหนทุกแห่ง ลมหนาวของเหมันต์ทารุณคนที่อยู่ด้านใน แม้จะจุดเตาไฟลุกโชติช่วงก็มิอาจขับไล่ความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูกให้ออกไปได้
ภายในหออันกว้างขวางอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง อากาศหนาวยะเยือกหนักอึ้งเฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่ถาดไฟสักถาดก็ไม่มี ลมหนาวลอดผ่านช่องว่างของแผ่นไม้เข้ามาทำให้ภายในห้องเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง แต่บุรุษผู้อยู่ด้านในกลับราวกับมิรู้สึกรู้สา แม้บนร่างจะสวมเพียงอาภรณ์ผ้าฝ้ายกลางเก่ากลางใหม่สีเทาตัวหนึ่ง แต่ความหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกเหมือนจะมิอาจทำให้เขาตัวสั่นได้แม้สักนิด
บนร่างเขายังสวมตรวนหนักสิบกว่าชั่งเอาไว้ด้วย เพียงขยับเล็กน้อยก็ส่งเสียงดังกริ๊ก ข้อมือข้อเท้ามีรอยแผลบวมแดง แต่บุรุษผู้นี้กลับสีหน้าเรียบเฉยคล้ายมิสนใจไยดีอย่างสิ้นเชิง สายตาของเขาจับจ้องมองเกล็ดหิมะที่ถูกพัดลอดกรอบหน้าต่างผุพังเข้ามาในห้อง
จู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็เผยรอยยิ้มจาง เดินมาที่ริมหน้าต่างยื่นมือออกมาเปิดบานหน้าต่างผุๆ ทั้งสองบาน ทอดสายตามองสวนร้างที่มีหิมะโปรยปรายเป็นสายอย่างนิ่งสงบ ปล่อยให้เกล็ดหิมะปลิวมาปะทะใบหน้า จากนั้นซึมเข้าไปในอาภรณ์ ตอนที่เขาเปิดหน้าต่างออกมาชมหิมะ มิทราบว่ามีสายตากี่คู่จับจ้องตัวเขา จวบจนพบว่าเขามิได้เคลื่อนไหวผิดปกติ สายตาเหล่านั้นจึงลดความระแวดระวัง
ทันใดนั้นนอกประตูก็มีคนกระแอมเบาๆ ผู้เฒ่าอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา ด้านหลังเขาคือบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่ง มือข้างหนึ่งของเขาถือถาดอาหาร ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วไหสุรา บุรุษผู้นั้นยังคงทอดสายตามองนอกหน้าต่าง มิสนใจว่าผู้มาเยือนคือผู้ใดแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าอาภรณ์ม่วงผู้นั้นเห็นเช่นนี้พลันเกิดความรู้สึกนับถือ หากคนทั่วไปถูกคุมขังอยู่ในสถานที่เช่นนี้หนึ่งเดือนกว่าเกรงว่าคงจะเหลือเพียงลมหายใจรวยริน นับประสาอะไรกับคนผู้นี้ที่แต่เดิมเคยมีเกียรติยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แม้ปกติมิได้สวมผ้าไหมแพรพรรณกินดื่มอาหารเลิศรส แต่ไหนเลยจะเคยทุกข์ทรมานเช่นนี้
ถึงกระนั้นคนผู้นี้กลับยังคงเข้มแข็ง ไม่เคยได้ยินเขาโอดครวญออกมาแม้แต่คำเดียว ทั้งยังมิเคยได้ยินเขากล่าววาจาว่าร้ายผู้ใดอีกด้วย หากมิใช่เพราะท่านอัครมหาเสนาบดีออกคำสั่ง ตนก็มิปรารถนาจะทรมานเขาเช่นนี้
สายตาของบัณฑิตผู้นั้นหันไปมองบุรุษผู้ชมหิมะอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาฉายแววซับซ้อน เขาวางถาดอาหารในมือลงด้านข้าง จากนั้นทยอยหยิบอาหารเลิศรสมากมายราวกับจะจัดงานลี้ยงออกมาจากด้านใน หลังจากนั้นจึงหยิบกาเงินอันวิจิตรประณีตออกมาพร้อมกับจอกสุราหนึ่งใบ เขารินจนเต็มจอกแล้ววางไว้บนโต๊ะ ผู้เฒ่าอาภรณ์สีม่วงผู้นั้นเอ่ยอย่างนอบน้อม “แม่ทัพใหญ่ เชิญรับสำรับเถิด”
ลู่ช่านหันกลับมา แม้การถูกคุมขังมาหลายเดือนจะทำให้ใบหน้าเขาซูบตอบ บนใบหน้ามีร่องรอยของความเจ็บไข้อยู่เล็กน้อย แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังคงสุกใสเปล่งประกาย ปราศจากสีหน้าเศร้าสลดของวีรบุรุษผู้จนตรอกอย่างสิ้นเชิง เขามองอาหารและสุราอันพรั่งพร้อม สายตาโฉบผ่านใบหน้าของบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวผู้มิคุ้นหน้า จากนั้นจึงคลี่ยิ้ม “วันนี้ท่านโอวมาส่งอาหารด้วยตนเอง อีกทั้งอาหารยังผิดแผกจากปกติ มิใช่ข้าวแดงเย็นเฉียบ อัครมหาเสนาบดีซั่งคงตัดสินใจแล้ว วันนี้เป็นวันตายของผู้แซ่ลู่กระมัง”
ผู้เฒ่าอาภรณ์ม่วงนามโอวหยวนหนิงเผยสีหน้าละอายใจ หลังจากลู่ช่านเข้าคุกก็ถูกทัณฑ์ทรมานบีบให้สารภาพ แต่ลู่ช่านมิยอมจำนน ทั้งในราชสำนักก็เกิดคลื่นความไม่พอใจ อัครมหาเสนาบดีซั่งจึงจับเขามาขังในเรือนตระกูลเฉียว หันไปบีบให้ลู่อวิ๋นสารภาพแทน
ซั่งเหวยจวินเป็นคนอำมหิต เขาทราบว่าคนที่เคยครองตำแหน่งสูงมากอำนาจเช่นลู่ช่าน การหยามหมิ่นโดยไร้คำพูดเช่นนี้จะลดทอนความมุ่งมั่นของเขาได้มากกว่า แม้ไม่แน่ว่าจะบีบให้ลู่ช่านยอมจำนนสำเร็จ แต่ได้หยามหมิ่นศัตรูตัวฉกาจผู้แข็งแกร่งมาตลอดคนนี้ก็สาแก่ใจแล้ว น่าเสียดายเรื่องมิเป็นดั่งหวัง แม้ลู่ช่านจะทุกข์ทรมานอย่างที่สุด แต่นอกจากแววตาที่เฉยชาลงเรื่อยๆ เขาก็ไม่มีเจตนาจะยอมจำนนแม้แต่น้อย
โอวหยวนหนิงถอนหายใจแผ่วเบา หัวใจรู้สึกกังวล แต่สุดท้ายก็กล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ดวงตากระจ่างดุจคบไฟ เจ้าแคว้นออกราชโองการแล้ว วันนี้คือวันที่แม่ทัพใหญ่จะลาจากโลก หลังจากนี้หนึ่งชั่วยาม ราชโองการพระราชทานความตายจะส่งมาถึง อัครมหาเสนาบดีซั่งสั่งว่าแม่ทัพใหญ่เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ก่อนจากไปมิอาจประมาท ดังนั้นจึงให้ผู้น้อยนำสุรามาส่งเอง”
บนใบหน้าของลู่ช่านไม่มีทั้งสีหน้าตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว เขาหันไปมองซ่งอวี๋แล้วถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าคือผู้ใด เหตุไฉนจึงอยู่ที่นี่”
ซ่งอวี๋ชะงัก คิดมิถึงว่าลู่ช่านได้ยินว่าความตายกำลังจะมาเยือนแล้วแต่กลับไร้ความโกรธแค้น ตรงกันข้ามกลับยังสนใจถามความเป็นมาของตนเอง เขาก้าวไปข้างหน้าประสานมือคำนับ “ผู้น้อยนามซ่งอวี๋ เป็นสหายของบุตรชายอัครมหาเสนาบดีซั่ง ได้ยินว่าท่านแม่ทัพกำลังจะจากจรจึงเดินทางมาส่ง
อีกประการหนึ่ง แม้ท่านแม่ทัพจะตกเป็นนักโทษแล้ว แต่ในเมืองเจี้ยนเย่มีคนมิรู้เท่าไรต้องการช่วยเหลือท่านแม่ทัพ ก่อนหน้านี้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง คนเหล่านี้จึงยังมิกล้าบุ่มบ่ามลงมือ แต่วันนี้ราชโองการพระราชทานความตายประกาศออกมาแล้ว ข่าวย่อมเล็ดลอดออกไปบ้างอย่างเลี่ยงมิได้
อัครมหาเสนาบดีซั่งเกรงว่าจะมีคนที่ทราบว่าสถานการณ์มิอาจแก้ไขได้แล้วเดินทางมาปล้นนักโทษ ดังนั้นจึงสั่งให้ผู้อาวุโสโอวเดินทางมาดักสังหารด้วยตนเอง แม้ผู้น้อยฝีมือวรยุทธ์อยู่ในขั้นธรรมดา แต่โชคดีได้อัครมหาเสนาบดีซั่งกับผู้อาวุโสโอวเห็นค่า จึงได้รับคำสั่งให้เดินทางมาที่นี่ด้วย”
โอวหยวนหนิงมุ่นคิ้ว แม้สิ่งที่ซ่งอวี๋กล่าวจะไร้คำโป้ปด ซั่งเหวยจวินกังวลว่าจะมีคนปล้นตัวนักโทษจึงส่งองครักษ์ยอดฝีมือมากมายมาเพิ่มที่จวนตระกูลเฉียวจริง อีกทั้งซ่งอวี๋ผู้นี้ก็เดินทางมายังที่แห่งนี้เพราะสาเหตุนี้จริง แต่ก็มิจำเป็นต้องบอกกล่าวตามตรงมิปิดบังสักนิดเช่นนี้กระมัง
ลู่ช่านฟังแล้วกลับรู้สึกว่าซ่งอวี๋ผู้นี้นิสัยตรงไปตรงมา ท่าทางไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ จึงยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ร่ำสุราเป็นเพื่อนผู้แซ่ลู่สักสองสามจอก รอราชโองการมาถึงเถิด”
ซ่งอวี๋หันไปมองโอวหยวนหนิง โอวหยวนหนิงคิดในใจว่าซ่งอวี๋ผู้นี้วรยุทธ์เยี่ยมยอด มีเขาอยู่ที่นี่ ต่อให้มีเหตุการณ์พลิกผันอันใดเกิดขึ้น เขาก็คงชิงสังหารลู่ช่านได้ก่อน ตนเองยังต้องไปดูแลการคุ้มกันภายในเรือน ถึงที่สุดแล้วคนของสำนักเฟิงอี้ก็เป็นคนนอก ยากจะเชื่อใจได้ ตนเองต้องตระเวนตรวจสักรอบจึงจะดี พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ปรารถนาเช่นนั้น ซ่งอวี๋ก็สมควรทำตามบัญชา”
กล่าวจบก็หยิบกุญแจออกมาปลดตรวนให้ลู่ช่านด้วยตนเองแล้วบอกว่า “แม่ทัพใหญ่เชิญรับสำรับตามสบาย ข้าขอตัวก่อน” กล่าวจบก็ส่งสายตาให้ซ่งอวี๋ ซ่งอวี๋พยักหน้าน้อยๆ โอวหยวนหนิงจึงหมุนตัวเดินออกไป
ลู่ช่านปลดตรวนแล้ว ร่างกายก็เบาสบายขึ้นมาก เขาเดินไปหน้าโต๊ะหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด กล่าวว่า “สุราดี เจ้าก็นั่งลงเถิด ร่ำสุรามิอาจไร้สหาย ดื่มคนเดียวออกจะเปลี่ยวเหงาเกินไปหน่อย”
ซ่งอวี๋มองในห้องแวบหนึ่งแล้วหยิบถ้วยน้ำชาปากแตกใบหนึ่งออกมารินสุราจนเต็มถ้วย จากนั้นรินให้ลู่ช่านจนเต็มจอก เขายกถ้วยขึ้นกล่าวว่า “ได้สุราประทานจากแม่ทัพใหญ่ เป็นเกียรติของผู้น้อย” กล่าวจบก็ดื่มรวดเดียวจนหมดเช่นกัน