ตอนที่ 2,406 : ความหมางเมิน
ด้วยเป็นชนชั้นอัจฉริยะที่บรรลุด่านพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ หรงปัวกับเฝิงหม่านย่อมกระจ่างในพลังของขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะดี!
หากเป็นสถานการณ์ปกติ พวกมันไม่มีกลัวครึ่งก้าวเซียนอมตะหน้าไหนและมั่นใจว่าเอาชนะได้แน่…
และเหตุไฉนที่ต้องกล่าวว่าเป็นสถานการณ์ปกตินั้น…เพราะยังมีสถานการณ์ไม่ปกติอยู่ด้วย!
สถานการณ์ไม่ปกติที่ว่าก็คือ พวกมันพบพานศัตรูขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะที่บรรลุเวทย์พลังที่มีพลังอำนาจอยู่เหนือระนาบโลกียะ…เวทย์พลังของระนาบเทวโลก! นอกจากนั้นก็พบเจอกับศัตรูที่มีศาสตราอันเหนือล้ำกว่าศาสตราใดๆในระนาบโลกียะไว้ในครอบครอง…
ยอดสมบัติสวรรค์!
และตอนนี้ศัตรูของพวกมัน ก็คือครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มียอดสมบัติสวรรค์ในมือ!!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นับประสาอะไรกับพวกมันแค่ 2 คน ต่อให้มีครึ่งก้าวเซียนอมตะมาช่วยผนึกกำลังเพิ่มอีก 2 พวกมันก็ไม่มีปัญญาต้านทานอีกฝ่ายได้สักกระบวน!!
นั่นเพราะตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ถือครองยอดสมบัติสวรรค์นั้น ยามลงมือจู่โจมออก อานุภาพพลังทำลายย่อมเทียบได้กับพลังจู่โจมของเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์! กระทั่งหากเป็นยอดสมบัติที่มีระดับสูงเข้าหน่อยเผลอๆอาจจะปลดปล่อยพลังทำลายที่ก้าวข้ามขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ได้ด้วยซ้ำ!!
“หนี!!”
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ตระหนักได้ว่ากระบี่ใสที่แลคล้ายไร้พิษภัยกับสรรพสัตว์ในมือต้วนหลิงเทียนที่แท้เป็นยอดสมบัติสวรรค์ พวกมันก็ไม่หลงเหลือความคิดต่อสู้อยู่อีกเลย คงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น หนีให้พ้น!!
ซู่ม! ซู่ม!!
แทบจะเท่าทันความคิด หลงปัวกับเฝิงหม่านปะทุพลังชั่วชีวิตออกมาจนมวลอากาศรอบกายแตกกระเบิด ก่อเกิดภาพเรื่องราวประหนึ่งเมฆเห็ดเบ่งบาน พาลให้ความว่างสะท้านสะเทือนไม่น้อย!
ปง! ปง!!
ครู่ต่อมาหรงปัวกับเฝิงหม่านพลันกระทืบเท้าส่งร่างพุ่งทะยานออกไปดุจกระสุนปืนใหญ่ แยกย้ายกันไปคนละทิศละทางด้วยความเร็วสุดตัว!!
“คิดหนี?”
เห็นหรงปัวกับเฝิงหม่านพุ่งร่างหลบหนีกันไปคนละทิศละทาง ต้วนหลิงเทียนพลันแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา
ครู่ต่อมาเขาก็คล้ายมือที่กำชับกระบี่ผลึกแก้ว
ทันใดนั้น
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงหวีดหวิวของกระบี่แหวกกอากาศสำเนียงแผ่วแว่วดังขึ้น หากแต่เสียงนี้ยามดังเข้าหูผู้คนโดยรอบประหนึ่งเสียงเพรียกแห่งความตายก็ไม่ปาน…
ต้วนหลิงเทียนเห็นหรงปัวกับเฝิงหม่านแยกย้ายกันหลบหนีก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรแม้แต่น้อย เพียงใช้ออกด้วยเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่ออกด้วยกระบวนท่า ‘ใจกระบี่เหิน’ ออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อเพิ่มระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง
หากแต่ด้วยพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ ที่ใช้ออกตามเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจ อันเป็นขอบเขตที่ 3ของยอดใจกระบี่ด้วยกระบี่เซียนอมตะที่เป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์เล่มนี้…ก็มากพอทำให้เขาปลดปล่อยการโจมตีที่มีพลังทัดเทียมกับการลงมือของเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ได้!
วู้มมมม!!
กระบี่ที่พุ่งไปดั่งลำแสงเปล่งประกายเจิดจ้า มองไปยังละม้ายคล้ายดาวตกจากอวกาศที่พุ่งแหวกบรรยากาศลัดฟ้าลงมาในยามค่ำคืน!
ด้วยประกายกระบี่ที่เจิดจ้านี้ โลกหล้าเสมือนหม่นแสงหลงถนัดตา!
ราวกับจุดศูนย์รวมความสนใจของโลกหล้ารั้งรวมอยู่ในกระบี่ดังกล่าว!
“ไม่!!”
เสียงร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังดังขึ้น เป็นหรงปัวที่ได้ยินเสียงหอนกระบี่กรีดอากกาศฉับไวจากด้านหลัง ตระหนักได้ถึงวิกฤตถึงตายจึงอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องออกมาเสียงหลง!!
เสียงร้องโหยหวนนี้ยังถูกลิขิตให้เป็นสำเนียงสุดท้ายที่มันเหลือทิ้งไว้ในโลก…
สึบบ!!
เพราะพริบตาต่อมา กระบี่ที่พุ่งมาดั่งลำแสงก็ได้ทะลวงผ่านท้ายทอยทะลุออกหว่างคิ้ว ป่นทำลายดวงจิตของมันให้แหลกสลาย ไร้ซึ่งหนทางรอดชีวิตอันใด…
ฟั่ฟฟฟ!!
กระบี่เซียนอมตะประหนึ่งได้รับพลังอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพก็ไม่ปาน เมื่อเข่นฆ่าสังหารหรงปัวแล้ว มันก็ตีวงโค้งวกกลับไปอีกทาง หมายเข่นฆ่าสังหารเฝิงหม่านต่อ! สภาวะกระบี่ยังคงดุร้ายอำมหิตหาได้อ่อนโทรมลงแม้เพียงเสี้ยว!!
‘หนี!’
‘ข้าต้องหนีรอดไปให้ได้!!’
……
ตอนนี้ในใจเฝิงหม่านหลงเหลือเพียงความคิดดังกล่าวเท่านั้น
‘หรงปัว!?’
อย่างไรก็ตามพอมันได้ยินเสียงกรีดร้องในวาระสุดท้ายของหรงปัว สีหน้ามันก็ซีดลงไร้สีเลือด เร่งรีดเค้นพลังชั่วชีวิตหมายหนีไปให้ไกลที่สุด! เพราะมันตระหนักได้ชัดเจนดีว่า 9 ใน 10 ไม่พ้นหรงปัวตกตายไปแล้วแน่แท้!!
‘ไอ้ชาติชั่วหรงปัว!!’
‘จะเรียกทักข้าหาโคตรเจ้าทำอะไรแต่แรก! หาไม่แล้วมีหรือข้าจักต้องมาพลอยซวยไปเพราะเจ้าด้วยแบบนี้!!’
‘มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนอุบาทว์อันใด! หากเจ้านำพาดาวมฤตยูมาด้วยเช่นนี้ ยังจะพาข้ามาซวยด้วยหาโคตรบิดามารดาเจ้าทำไม!!’
ในขณะที่เหินร่างหลบหนีไปด้วยความสิ้นหวัง เฝิงหม่านก็เริ่มก่นด่าบรรพบุรุษทั้ง 18 รุ่นของหรงปัวอย่างคับแค้น โยนความผิดทั้งหมดให้หรงปัว โทษอีกฝ่ายถ่ายเดียว!
จังหวะนี้คล้ายมันลืมไปหมดสิ้น
ว่าตอนแรกเป็นมันที่ไม่อยากแบ่งปันสมบัติกับผู้อื่น จึงคิดเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนกับพวก เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครมาหารแบ่งสิ่งดีๆของมันกับหรงปัว หมายฮุบมรดกสถานหรือเบาะแสนำไปสู่มรดกสถานต้าหลัวจินเซียนไว้กันสองคน
“ไม่!!”
และเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคมกล้าจากกระบี่ที่ไม่ต่างอะไรจากคมเคียวของยมทูตจี้พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง สีหน้าเฝิงหม่านก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนัก มันได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลงด้วยความไม่ยินยอมอีกคน!
สึบบบ!!
อนิจจาต่อให้มันไม่เต็มใจจะตายและไม่ยินยอมพร้อมใจลาโลกเพียงใด มันก็ไม่อาจหลีกหนีชะตาดับสูญได้พ้น…
เพียงชั่วพริบตา เฝิงหม่านก็เดินตามรอยเท้าหรงปัวลงนรกไปอีกคน…
ครึ่งก้าวเซียนอมตะ 2 คน ตกตายลงในเวลาชั่วพริบตาดั่งละอองไฟวาบดับ!
ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าทั้ง 2 ได้ง่ายดายประหนึ่งตัดหญ้าฆ่าไก่!
ฟุ่บ!
จนเมื่อกระบี่เซียนอมตะที่ไม่ต่างใดจากเคียวยมทูตหวนกลับมาสู่มือต้วนหลิงเทียน หวังฉี กับหลิ่วเสวียค่อยดึงสติกลับเข้าร่างได้สำเร็จ
พอพวกมันรู้สึกตัว มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สีหน้าแววตายังแตกตื่นทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!
พวกมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ
ชายหนุ่มชุดม่วงที่แลดูไม่รู้อะไรปานคนหลังเขาที่ไม่เคยเห็นฟ้ากว้างทะเลสุดไพศาล กลับมีพลังอันน่ากลัวถึงขนาดนี้…
ชั่วพริบตา กลับเข่นฆ่าครึ่งก้าวเซียนอมตะไปถึงสอง!
ต้องทราบด้วยว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นอัจฉริยะที่มีอายุน้อยกว่าร้อยปีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจับโยนพวกมันไปอยู่ระนาบโลกียะใด ก็จัดเป็นชนชั้นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของแดนดิน!!
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับเข่นฆ่าสังหารไปพร้อมกันทั้งคู่!
“หรงปัวบอกว่า…ระนาบคงสิงของมันมีรุ่นเยาว์ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุไม่ถึงร้อยอยู่ 7คน…แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอาศัยกระบี่เดียวฆ่าครึ่งก้าวเซียนอมตะอายุไม่ถึงร้อยที่ว่าไป 2!”
จางยี่ที่ยังตื่นตระหนกตกใจไม่หาย พอมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สีหน้าแววตาเปี่ยมความเลื่อมไสนับถือนัก
“ต้วนหลิงเทียน…แข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ…”
ได้เห็นการลงมืออันทรงพลังทั้งเข่นฆ่าสังหารอย่างหมดจดของต้วนหลิงเทียน ใจหลิ่วเสวียก็ท่วมท้นไปด้วยความทึ่ง!
อย่างไรก็ตามพอนางมองสบสายตากับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง นางก็สัมผัสได้ถึงความหมางเหมิงปานจะผลักไสนางให้ห่างออกไปนับพันลี้…
ความหมางเมินดังกล่าวไม่ได้มีให้แค่นางเท่านั้น ยังเผื่อแผ่ไปให้หวังฉีอีกด้วย…
ด้านหวังฉีพอสัมผัสได้ถึงทีท่าหมางเมินจากต้วนหลิงเทียน มันก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมระทมใจออกมา ‘ดูเหมือนการลังเลของข้ากับหลิ่วเสวียก่อนหน้า เป็นการทำให้มันสร้างระยะห่างกับพวกเราเอาไว้…’
หวังฉีพอนึกยอนไปก็รู้สึกเสียใจนัก
แต่มันก็รู้ดี ว่าในโลกหล้าไร้โอสถรักษาอาการเสียใจ…
‘ตอนนี้ข้าได้แต่หวังว่าต้วนหลิงเทียนยังจะยอมให้ข้ากับหลิ่วเสวียเข้าไปในสมบัติสถาน ที่อาจเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนหรือมีเบาะแสนำไปสู่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนแห่งนี้ด้วย’
หวังฉีเริ่มกังวลขึ้นมาไม่น้อย
มันไม่ได้กลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะฆ่ามันกับหลิ่วเสวียเพื่อไม่ต้องหารแบ่งสมบัติอันใด…
เพราะในระหว่างเดินทาง จากการสนทนากันพักหนึ่งมันก็พอมองเห็นได้ว่า
ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นคนประเภท ‘ใครไม่รุกรานก็ไม่รุกรานใคร’ เว้นเสียแต่มันกับหลิ่วเสวียจะคิดร้ายลงมือต่อต้วนหลิงเทียนก่อน หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนไม่มีทางเปิดฉากลงมือกับพวกมันก่อนแน่
อย่างไรก็ตามมันไม่อาจแน่ใจได้เลย
ว่าต้วนหลิงเทียนยังจะเต็มใจปล่อยให้พวกมันเข้าไปในสมบัติสถานแห่งนี้ด้วยหรือไม่…
“ต้วนหลิงเทียนข้า…ข้าขอโทษ”
ตอนนี้เองหลิ่วเสวียก็ได้แต่กล่าวขอขมากับต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงอ่อนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“น้องหลิงเทียน ข้าเองก็ต้องขอโทษเจ้าแล้ว…”
เมื่อเห็นหลิ่วเสวียเป็นฝ่ายเปิดปากขอขมาต้วนหลิงเทียนก่อน หวังฉีก็ไม่รอช้าเร่งกล่าวคำขอโทษออกมาตามติด หวังให้ต้วนหลิงเทียนไม่ใจร้ายกีดกันพวกมันไม่ให้เข้าสู่สมบัติสถานเบื้องล่าง
“พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด จะมาขอโทษข้าทำไม?”
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำขอขมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิดของทั้งสอง ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวไปมาค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “นอกจากนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวล…ว่าข้าจะกีดกันไม่ให้พวกเจ้าเข้าไปในสมบัติสถานเบื้องล่าง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางก้มหน้าลงไปมองหุบเขาเบื้องล่าง
“หากไม่ใช่เพราพวกเจ้าพบเจอสถานที่แห่งนี้และชวนข้ามาด้วย ข้าเองก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่แบบนี้แต่แรก…ข้าเองก็ถือว่าติดค้างพวกเจ้าเรื่องนี้ เช่นนั้นข้ายินดีจะช่วยเหลือพวกเจ้าเท่าที่จะทำได้ด้านใน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสริม
ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หวังฉีอดไม่ได้ที่จะราบลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทว่าในฐานะอิสตรีคนหนึ่ง หลิ่วเสวียย่อมได้ยินความหมางเมินในวาจาของต้วนหลิงเทียนชัดเจน…
แต่เป็นธรรมดาที่นางจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ!
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ต้วนหลิงเทียนยังปฏิบัติกับพวกนางออกมาแบบนี้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว นางกับหวังฉีย่อมไม่กล้าหวังให้ต้วนหลิงเทียนมีท่าทีต่อพวกนางเหมือนทีมีให้จางยี่ได้อีก
“ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนใจดีมาก จางยี่ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความชื่นชมในแววตาออกมาล้นปรี่
หากแต่ไม่นานคล้ายมันนึกอะไรได้ออก สีหน้าพลันเคร่งขรึมจริงจังทั้งมืดลงทันใด “เฝิงหม่านนั้นข้ามิรู้จัก…แต่ทว่าหรงปัวนั้นถือเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของขุมพลังในระนาบคงสิงจริงๆ…”
“เจ้าฆ่ามันไปแบบนี้ ข้าเกรงว่าตอนนี้คนในขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังมันคงรับทราบแล้ว…กระทั่ง 9 ใน 10ภาพสะท้อนตัวเจ้ายามฆ่ามันยังไปปรากฏต่อหน้ายอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังของมันเรียบร้อย…”
วาจาประโยคหลัง สีหน้าท่าทีของจางยี่ฉายชัดถึงความกังวลนัก
สิ่งที่คล้ายกับยันต์กระจกเงาสะท้อนลักษ์แม่ลูก ไม่ได้มีอยู่แต่ในระนาบเซียนอันเป็นระนาบโลกียะขนาดเล็กของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
มหาระนาบโลกียะทั้งหลายก็ย่อมมีสิ่งที่คล้ายยันต์กระจกเงาสะท้อนลักษณ์แม่ลูก กระทั่งมีอานุภาพเหนือกว่าด้วยซ้ำ
บางอย่างก็สามารถผสานรวมเข้าร่างผู้ที่เป็นเป้าจนไม่อาจตรวจจับหรือทำลายได้เลย…
“ไม่เป็นไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนมองจางยี่ด้วยรอยยิ้ม ค่อยส่ายหัวไปมาเบาๆกล่าวว่า “ถึงพวกมันจะเห็นว่าข้าฆ่าหรงปัว แต่พวกมันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร แล้วพวกมันจะตามหาตัวข้าเจอในแดนลับต่างสวรรค์อันกว้างใหญ่นี่พบหรือ?”
“ข้าเกรงว่ามันจะสืบหาจนพบความเป็นมาของเจ้า ผ่านผู้คนที่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันกับเจ้า สุดท้ายก็บีบคั้นให้คนของระนาบเจ้าพาไปยังทางเข้าออก สุดท้ายก็ไปยังระนาบเซียนของเจ้าได้!”
จางยี่กล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว “คนพวกนี้มันอาฆาตนัก บ้างก็ยอมทำได้ทุกอย่าง!”
“ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเคยได้ยินหรงปัวมันอวดโอ่…ดูเหมือนว่าตัวมันจะเป็นถึงหลานชายของประมุขนิกายที่เป็นต้นสังกัดของมันอีกด้วย!”
วาจาท้ายประโยคขณะกล่าวยิ่งมาสีหน้าของจางยี่ยิ่งทวีความตึงเครียดกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ