ตอนที่ 2,413 : เบาะแสต่อไป
“ยอดสมบัติสวรรค์ระดับสูงเช่นนั้นหาได้ยากยิ่ง กระทั่งทั่วทั้งระนาบเหยียนหวงเองก็ไม่แน่ว่าจะมียอดสมบัติระดับสูงเช่นนั้นอีกแล้ว…”
“นอกจากนั้นยอดสมบัติสวรรค์ระดับสูงแบบนั้น เกรงว่าต่อให้เป็นในระนาบเทวโลกเองก็ใช่ว่าจะมีมากชิ้น ถือว่าเป็นยอดสมบัติที่ไม่ว่าผู้ใดก็อยากมีไว้ในครอบครองทั้งสิ้น…”
จางยี่อดไม่ได้ที่จะมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้ยสายตาอิจฉา
เพราะมันได้รู้แล้วว่า ที่แท้ต้วนหลิงเทียนคนนี้ถึงขั้นเคยถือครองยอดสมบัติอันล้ำค่าอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
“น่าเสียดายที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติหลุดมือเจ้าไปแล้ว…มิฉะนั้นพลังฝีมือของเจ้าต้องสูงกว่านี้อย่างน่ากลัวแน่…”
จางยี่เอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย
และก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้พูดอะไร จางยี่ก็พูดต่อออกมาว่า “ถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจะมิใช่ยอดสมบัติสวรรค์ที่โดดเด่นในเรื่องการโจมตี…แต่ยอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ที่เก็บไว้ในนั้น ก็ถือว่าเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา!”
“หากเจ้ายังมีกระบี่นิลสวรรค์ไว้ในครอบครองล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าสามารถสำแดงพลังที่เหนือกว่ายามเจ้าถือกระบี่เซียนอมตะเล่มนั้นได้อีก 1 ขีดขั้น!”
ประโยคนี้จางยี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เสียดายอย่างถึงที่สุด
ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา ในโลกยังจะมีใครเสียดายเรื่องนี้มากกว่าเขากันล่ะ?
เรื่องที่จางยี่พูดมาไหนเลยเขาจะไม่รู้?!
“ดังนั้นข้าบอกเจ้าได้ตอนนี้เลยต้วนหลิงเทียน…ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะเจอครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์!”
จางยี่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตามั่นใจ “เจ้าต้องรู้ด้วยนะว่าขนาดระนาบเหยียนหวงของข้าที่เป็นมหาระนาบโลกียะที่มีมรดกตกทอดมาอย่างยาวนาน แต่อย่างดีก็มียอดสมบัติสวรรค์แค่หยิบมือ…และในบรรดายอดสมบัติสวรรค์เหล่านั้นไม่มีชิ้นไหนที่มีระดับสูงเลย”
“อ่า…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ในใจบังเกิดความโล่งอกประการหนึ่ง
เพราะจากเรื่องนี้หมายความว่าในบรรดาครึ่งก้าวเซียนอมตะชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของมหาระนาบโลกียะทั้ง 4 ที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ก็สมควรมีพลังอำนาจสูงสุดเพียงเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ และยากนักที่พวกมันอันเป็น ‘คู่แข่ง’ ของเขา จะมีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์!!
‘งั้นหมายความว่า…ข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะแข่งขันกับพวกมันแล้วสิ’
‘เพราะยังไงด้วยพลังของข้าตอนนี้ยังสมควรเหนือกว่าพวกมันมาก’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกลับมาเต็มไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง
เพราะต้องทราบด้วยว่าตอนนี้หากเขาลงมือเต็มกำลังด้วยกระบี่เซียนอมตะ เขาสามารถปลดปล่อยกระบวนท่าสังหารที่ทรงพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ได้เลย!
เทียบกับอาวุโสฟงชิงหยางก่อนที่จะได้รับมรดกของต้าหลัวจินเซียนในปีนั้น เขาทรงพลังกว่ากันถึง 2 ขีดขั้น!
‘แต่จะอย่างไรอาวุโสฟงชิงหยางทำได้อย่างไรกัน ในบรรดาคู่แข่งในปีนั้นของอาวุโสฟงชิงหยาง ยังมีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์อยู่ด้วย…ทว่าสุดท้ายก็เป็นอาวุโสได้รับมรดกต้าหลัวจินเซียนมาครอง!’
ต้วนหลิงเทียนย้อนคิดถึงคำพูดจางยี่ก่อนหน้า
เพราะหากฟังจากคำของจางยี่แล้ว
ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ผู้นั้น ก็สมควรเข้าร่วมการช่วงชิงมรดกต้าหลัวจินเซียนเหมือนกันกับเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งหลาย
ทว่าอาวุโสฟงชิงหยางที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์ กลับอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย! และได้รับมรดกต้าหลัวจินเซียนไปถือครอง!!
“จางยี่”
เมื่อหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้ ต้วนหลิงเทียนจึงหันไปถามจางยี่แทน “ในตอนนั้นอาวุโสฟงชิงหยางจากระนาบเซียนข้า พลังต่อสู้ก็เพียงเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์เท่านั้น…แล้วท่านผู้อาวุโสสามารถช่วงชิงมรดกของต้าหลัวจินเซียนไปครองภายใต้จมูกครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ได้ยังไง?”
“เรื่องนี้บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร…”
จางยี่ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ข้าคาดเดาได้ประการหนึ่ง…และการคาดเดาของข้าก็คล้ายๆกับหลายๆคนในระนาบเหยียนหวงในปีนั้น”
“ไหนเจ้าลองว่ามาดู”
ต้วนหลิงเทียนแลดูคาดหวังไม่น้อย
“หลายคนที่คาดเดาในทำนองเดียวกับข้าลงความเห็นว่า ฟงชิงหยางจากระนาบเซียนของเจ้า ในขณะที่เข้าไปในมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนกับเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะอัจฉริยะทั้งหลาย หรือว่าในขณะเดินทางไปที่นั่น…สมควรได้รับยอดสมบัติสวรรค์มาครองก่อนแล้ว! และยอดสมบัติสวรรค์ชิ้นนั้นอาจเป็นกระบี่ที่เข้าทางผู้ฝึกกระบี่อย่างฟงชิงหยาง…”
“อย่างที่รู้กันแต่แรกว่าฟงชิงหยางนั้นเดิมทีอาศัยพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะกับเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก แม้ไร้ยอดสมบัติสวรรค์อะไร พลังก็เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์…เช่นนั้นหากได้ยอดสมบัติสวรรค์ประเภทกระบี่มาครองล่ะก็ พลังต่อสู้จะยกระดับขึ้นไปทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ได้ก็ไม่แปลก!”
“สุดท้ายจึงบังเกิดผลเลิศล้ำภายในมรดกสถนของต้าหลัวจินเซียน และอยู่รอดจนเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายได้สำเร็จ!”
จางยี่กล่าว
หลังได้ฟังข้อสันนิษฐานของจางยี่ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายสว่างประหนึ่งดารากลางฟ้ามืด
‘นั่นสินะ…ไฉนข้าไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้’
ที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้ นั่นเพราะแต่ต้นจนจบเขาละเลยประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งไป
พลังฝีมือของอาวุโสฟงชิงหยางในปีนั้นที่ทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์ได้ ล้วนอาศัยเคล็ดยอดใจกระบี่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มียอดสมบัติสวรรค์หรือเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก!
และก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ระหว่างการเดินทางไปยังมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน อาวุโสฟงชิงหยางอาจได้รับเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก หรือยอดสมบัติสวรรค์มาครอง!
และถ้าหากได้รับยอดสมบัติสวรรค์ประเภทกระบี่มาครอง ย่อมเพิ่มพูนพลังได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาเพาะสร้างอย่างเวทย์พลัง!
“หืม? ถึงแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่เหม่อคิดระหว่างเหินบิน ต้พลันสัมผัสได้ว่าจานเข็มทิศในมือเริ่มสั่นไหวขึ้นมา ก่อนที่จะเริ่มหมุนวนไปมาราวกับหาทิศทางไม่ได้
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ทันที
สมบัติสถานแห่งต่อไปอยู่ที่นี่!
‘หรือว่าสมบัติสถานแห่งที่ 2 …จะอยู่ใต้ทะเลสาบ?’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพึ่งพบว่า เขาได้เหินลอยอยู่เหนือทะเลสาบใหญ่โตแห่งหนึ่ง
อีกทั้งผิวน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ยังสงบราบเรียบปานกระจก
“หือ?”
และเมื่อต้วนหลิงเทียนมองลงไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง ยิ่งมาจานเจ็มทิศในมือก็ยิ่งหมุนคว้างเร็วรี่!
เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังงานบางอย่างกำลังก่อเกิดขึ้นในจานเข็มทิศ!
ถึงแม้พลังงานนี้จะไม่ได้ร้ายกาจอะไรในสายตาของต้วนหลิงเทียน แต่ทว่าหากมันก่อเกิดขึ้นไปแบบนี้เรื่อยๆจนปะทุออก ไม่พ้นต้องทำลายจานเข็มทิศในมือเป็นผงแน่!
“เหอะ!”
ต้วนหลิงเทียนแค่นสบถเสียงเย็นคราหนึ่ง ก่อนที่จะเร่งจ่ายพลังลงไปหมายยับยั้งพลังงานดังกล่าว แต่เขาพลันพบว่าภายในจานเข็มทิศคล้ายทำจากอุปกรณ์พิเศษบางอย่างที่เขาไม่อาจถ่ายทอดพลังเข้าไปในนั้นได้…
‘ดูเหมือนว่าจานเข็มทิศจะหมดหน้าที่แล้วงั้นสิ?’
ทันทีที่บังเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า สะบัดมือเขวี้ยงจานเข็มทิศขึ้นไปบนฟ้าทันที ตัวจานเข็มทิศก็พุ่งละลิ่วไปปานจรวด!
“เฮ่ย! ต้วนหลิงเทียน!?”
และการกระทำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ย่อมทำให้จางยี่กับหลิ่วเสวียงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนอยู่ๆต้วนหลิงเทียนถึงเขวี้ยงเบาะแสสำคัญในมือทิ้งไปแบบนั้น
ตูมมม!!
ทว่าทันใดนั้นทั้งคู่พลันได้เห็นกับตา ว่าจานเข็มทิศที่ว่า…อยู่ๆก็ระเบิดบึ้มส่งเสียงดังสนั่น!
เรียกว่าจานเข็มทิศที่ต้วนหลิงเทียนเขวี้ยงทิ้งไป ทันทีที่มันปลิวไปราวร้อยหมี่ก็ระเบิดบึ้มกลับกลายเป็นฝุ่นละอองหายไปในอากาศ สาบสูญไปในสวรรค์และโลกอย่างสิ้นเชิง!
“เบาะแสมันชี้นำพวกเราได้ถึงที่นี่เท่านั้น…หลังจากนี้พวกเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
เมื่อเห็นว่าจางยี่กับหลิ่วเสวียมองมาด้วยสายตาสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปทันที
ขณะเดียวกันเขาก็ละสายตาออกจากจางยี่และหลิ่วเสวีย ก่อนที่จะก้มมองลงไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง
“ถ้างั้น…ในทะเลสาบนี่ สมควรมีมรดกต้าหลัวจินเซียนหรือไม่ก็เบาะแสถัดไปงั้นเหรอ?”
จางยี่เองก็ก้มลงไปมองทะเลสาบเบื้องล่างด้วย
“จริงด้วย ที่นี่เหมือนกับหุบเขาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนเลย สำนึกเทวะของข้าถูกปิดกั้นไม่ให้ผ่านลงไป!”
หลิ่วเสวียกล่าวพึมพำ
ด้านต้วนหลิงเทียนก็กำลังลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบอยู่พอดี และเขาพบว่าไม่อาจแผ่สำนึกเทวะลงไปตรวจสอบสิ่งใดใต้ผิวน้ำได้เลย มีพลังขุมหนึ่งค่อยปิดกั้นและขับไล่สำนึกเทวะของเขาอย่างรุนแรง ไม่อาจล่วงล้ำไปได้แม่ชุ่นเดียว
(1 ชุ่น = ราวๆ 1 นิ้ว)
ต้วนหลิงเทียนจึงมั่นใจได้ทันที
ทะเลสาบแห่งนี้ก็คือจุดหมายปลายทางของพวกเขา!
“ลงไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนจางยี่กับหลิ่วเสวียก่อนีท่จะโรยตัวลงไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
ร่างต้วนหลิงเทียนกับพวกพุ่งดิ่งแหวกม่านน้ำลงไป จนหยาดน้ำซ่านกระเซ็นพุ่งขึ้นเป็นเสาสูง แต่ไม่นานผิวทะเลสาบที่วุ่นวายก็ค่อยๆหวนคืนสู่ความสงบราบเรียบอีกครั้ง
ส่วนด้านกลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 นั้น ตอนนี้ก็ได้รับการต้อนรับจากค่ายกลในทะเลสาบ!
คลื่นพลังอาคมมากมายกลุ้มรุมเข้ามาจากทุกทิศทาง!
อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว พลังอาคมเหล่านี้มันอ่อนแอเกินไป ผ่านได้ง่ายดายเหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้าน!
ทว่าด้วยมีบทเรียนจากการตายของหวังฉีก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ประมาท สุดท้ายก็พาจางยี่และหลิ่วเสวียผ่านพ้นไปจนสุดทาง และในที่สุดก็พบเบาะแสชิ้นต่อไป
“ที่นี่ยังมิใช่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนงั้นหรือ…”
หลิ่วเสวียรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“เหอะๆ นี่เป็นจุดที่ 2 ที่พวกเรามาถึงเท่านั้น เจ้าคิดว่าจะโชคดีได้เจอมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนเลยรึไง? เจ้าหวังมากเกินไปแล้ว…”
จางยี่ส่ายหัวไปมา
“เอาล่ะไปกันต่อเถอะ เราได้ทิศทางไปจุดต่อไปแล้ว”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่ถือจานเข็มทิศอยู่ในมือ ก็พบว่าเข็มทิศมันชี้ตรงแด่วไปยังทิศทางหนึ่ง
“ข้างหน้ามีคน”
หลังจากที่ทั้ง 3 ออกเดินทางไปต่อได้สักพัก หลิ่วเสวียพลันพบความเคลื่อนไหวจากเบื้องหน้า
ในขณะที่หลิ่วเสวียอุทาน ต้วนหลิงเทียนก็มองเห็นร่างเบื้องหน้าชัดเจน
“ไม่ใช่แค่คนเดียว”
ตอนนี้เองจางยี่พลันหยีตาลง มองจ้องไปยังร่างทั้ง 2 เบื้องหน้าที่กำลังเหินข้ามฟ้า และจากความเร็วในการเหินบิน สมควรอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน
“ทำไมพวกมันถึงมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน?”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ว่ามีคนอีกกลุ่มกำลังเหินไล่ตาม 2 คนด้านหน้า และกลุ่มหลังนี้กลับมีถึง 4 คน
“หืม…นั่นมัน”
ทันใดนั้นลูกตาต้วนหลิงเทียนพลันหดเล็กลง
ในทัศนวิสัยของเขา เห็นถึงอีกร่างหนึ่งที่พุ่งมาแต่ไกล ทว่าความเร็วของคนผู้นี้สุดที่จางยี่กับหลิ่วเสวียจะมองเห็นได้
‘เซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์’
แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ไม่ยาก ว่าความเร็วอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตความเร็วของเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์!
“ไปดูกันเถอะ”
ถึงแม้ว่าทิศทางที่คนทั้ง 3 กลุ่มมุ่งไป จะไม่ใช่ทิศทางที่เข็มทิศในมือเขาชี้นำ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจติดตามไปดู
ต้องรู้ด้วยว่า ก่อนหน้าที่เขาลอบตามผู้คนไปแบบนี้…มันทำให้เขาได้รับกระบี่เซียนอมตะ!!
…