ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 104 หัวใจภักดีแน่วแน่ดุจเหล็กกล้า (4)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ติงหมิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย กายกับกระบี่ผสานเป็นหนึ่ง ทะยานร่างต่อไปหาสตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้น สตรีอาภรณ์วิจิตรงดงามผู้นั้นเห็นสหายฟุบบนพื้นพลันตะโกนร้องอย่างตกใจ หันหลังกลับหมายจะหนี แต่หนึ่งกระบี่นี้ของติงหมิงหมายพิฆาตให้ย่อยยับ ทุ่มออกไปมิยั้งมือ

กระบี่แทงเข้ากลางหลังสตรีนางนั้นอย่างจัง สตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้นกรีดร้องอย่างเจ็บปวดหนหนึ่งก็พลิกกระบี่ในมือเสือกกลับมาปานสายฟ้าแลบ ติงหมิงเห็นประกายกระบี่ฉายวาบตรงหน้า หนึ่งกระบี่นั่นพุ่งตรงเข้ามาที่หัวใจ เขาปล่อยมือจากกระบี่แล้วรีบร้อนถอยหลัง ทว่ากระบี่ที่จู่โจมมานั่นตามติดประหนึ่งโรคร้ายในกระดูก ขณะที่มันกำลังจะแทงเข้ามาในหน้าอกของเขา จู่ๆ มันก็หยุดกึก

แส้ยาวสีดำเส้นหนึ่งรัดตัวกระบี่เอาไว้ ติงหมิงผ่อนลมหายใจ มองตามแส้ยาวไปก็พบว่าเจ้าหอกลไกสวรรค์นั่นเองที่ลงมือช่วยเหลือ เวลานี้เรือนร่างอรชรของสตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้นเพิ่งจะล้มลงบนพื้นอย่างช้าๆ

ในใจติงหมิงหนาวยะเยือก คิดในใจว่าดูจากกระบี่ก่อนตายของนาง วิชากระบี่ของสตรีนางนี้ความจริงแล้วคงมิด้อยกว่าตนเองสักเท่าใด หากนางยอมรวบรวมความกล้าประมือกับตน นางคงมิพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้เป็นแน่ มือกระบี่หญิงของสำนักเฟิงอี้ฝีมือสมคำเล่าลือจริงๆ

ในใจติงหมิงคิดว้าวุ่น ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงพิณฉีกเข้ามาในห้วงสติ ความคิดของเขาแตกกระเจิง จากนั้นจึงเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นชี้ด้านในเรือน แม้จะมองมิเห็นใบหน้า แต่เห็นชัดว่าเขากำลังมีสีหน้าไม่พอใจ ติงหมิงละอายใจวูบหนึ่ง เขาเลิกสนใจการต่อสู้ที่ยังยืดเยื้ออยู่ด้านนอก วิ่งตามบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นเข้าไปด้านในเรือน

ก่อนออกเดินทาง พวกเขานัดแนะกันแล้วว่าติงหมิงจะต้องเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ลู่ช่านยอมตกลงไปจากเจี้ยนเย่พร้อมกับพวกเขา แต่ติงหมิงถูกขวางไว้ด้านนอกนานจนเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เขารีบร้อนเข้าไปชักกระบี่ยาวขึ้นมาแล้วเลี้ยวเข้าไปด้านในเรือน แววตาของบุรุษอาภรณ์สีขาวตวัดมองสถานการณ์ที่ยืดเยื้ออยู่ด้านนอกวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินตามเข้าไปด้านในเรือน

ตอนที่ติงหมิงเดินตามบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นเข้าไปในเรือน มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้ก็สังเกตเห็นหัวหน้าทั้งสองนางล้มอยู่บนพื้น หญิงสาวสวมชุดจอมยุทธ์สองคนทิ้งคู่ต่อสู้ที่กำลังประมือด้วย ถือกระบี่วิ่งเข้ามาทันที สตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้นร่างกายเย็นเฉียบไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นสลบไปเท่านั้น ทั้งสองคนรีบร้อนเข้ามาป้อนยารักษาอาการบาดเจ็บให้นาง ในที่สุดสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา สายตาของนางหยุดอยู่บนร่างของสตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้นครู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวและสิ้นหวัง

สตรีชุดจอมยุทธ์คนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “แม่นางเจ็ด พวกเรารีบถอยดีหรือไม่” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สตรีอาภรณ์เขียวส่ายศีรษะ “พวกเราไม่มีหนทางให้หันหลังกลับแล้ว ยกศพของพี่รองไปไว้ด้านข้างก่อน จากนั้นพวกเจ้าสองคนออกไปจัดการ อย่าปล่อยให้คนที่บุกเข้ามารอดไปได้แม้แต่คนเดียว จุดสัญญาณขอความช่วยเหลือที่อยู่บนตัวพี่รอง เรียกศิษย์ในเมืองให้มาช่วย”

มือกระบี่หญิงผู้นั้นฟังจบก็น้ำตาร่วง เดินกลับมาข้างกายสตรีอาภรณ์หรูหราผู้นั้นแล้วหยิบลูกกลมน้อยที่ห่อด้วยกระดาษสาชิ้นหนึ่งออกมาจากตัวของนาง จากนั้นสะบัดข้อมือโยนขึ้นฟ้า ลูกกลมน้อยนั่นสั่นสะเทือนแล้วแตกออกเป็นสะเก็ดไฟ มันปริแยกจากตรงกลางส่งเปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นพญาหงส์สีสดตัวหนึ่งกลางท้องนภา ส่งเสียงร้องของพญาหงส์สะท้อนก้องรัตติกาลอันหนาวเหน็บ

สตรีอาภรณ์เขียวปรือตาลงเล็กน้อย หยดน้ำตาร่วงพรูพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่รอง พี่สาม พวกท่านล้วนจากไปแล้ว เหตุใดข้ายังต้องลำบากตรากตรำมีชีวิตอยู่เช่นนี้อีก” ความหนาวยะเยือกค่อยๆ แล่นเข้าจู่โจม สติของสตรีอาภรณ์เขียวเริ่มเลือนหายไปช้าๆ หยดน้ำตากลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสองสายจับตัวแข็งอยู่บนแก้มนวลดุจหยกงาม

ลู่ช่านยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แม้บนร่างจะมีหิมะเกาะเป็นชั้นหนา แต่เขากลับไม่คิดจะปัดออก ซ่งอวี๋ยืนอยู่ด้านหลังเขาคล้ายกำลังคุ้มกัน แต่ก็เหมือนคอยเฝ้าจับตาดูด้วย ลู่ช่านได้ยินเสียงฆ่าฟันลอยมาเข้าหูเลือนราง ในใจรู้สึกเคว้งคว้าง เขาทราบว่าตนเองมิอาจห้ามศึกนองเลือดเบื้องหน้าได้จึงรอคอยห้วงเวลาแห่งการสิ้นสุดอย่างนิ่งสงบ รอคอยการมาถึงของพระราชโองการพระราชทานความตาย ขอเพียงตนเองอยู่ที่นี่ มิว่าแผนการร้ายของผู้ใดก็มิอาจดำเนินไปอย่างราบรื่น

ผ่านไปเพียงครู่เดียวเขาก็เห็นคนสองคนเดินเหยียบหิมะเข้ามา คนหนึ่งในนั้นเดินมาถึงตรงหน้าก็ลงไปคุกเข่าคำนับ “ติงหมิงคารวะแม่ทัพใหญ่ ขอแม่ทัพใหญ่โปรดตามพวกเราออกจากเมือง นอกเมืองมีเหล่าทหารคอยรอรับอยู่ พวกเราตระเตรียมรถและอาชาไว้พร้อมแล้ว ระหว่างทางล้วนมีองครักษ์คุ้มกัน เดินทางตรงไปถึงในกองทัพได้ทันที”

สายตาของลู่ช่านกวาดมองบนร่างติงหมิงเพียงแวบเดียวก็หันไปมองบุรุษชุดขาวผู้สวมผ้าแพรสีขาวปิดบังหน้าตา แม้แต่ดวงตาก็ใช้ผ้าโปร่งบดบังไว้ จากนั้นเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านเป็นผู้ใด เหตุใดจึงเข้ามาร่วมกับเรื่องนี้”

แม้เกล็ดหิมะจะโปรยปลิวบดบังสายตา แต่ลู่ช่านก็ทราบว่าหากมิได้คนผู้นี้สังหารโอวหยวนหนิง พวกติงหมิงก็ไม่มีทางบุกเข้ามาในเรือนได้เป็นอันขาด ดังนั้นเขาจึงจี้ถามเป้าหมายของบุรุษอาภรณ์ขาว

ติงหมิงตกตะลึง กังวลว่าบุรุษอาภรณ์ขาวจะขุ่นเคือง คาดไม่ถึงว่าบุรุษอาภรณ์ขาวกลับเพียงตอบอย่างเฉยชา “พี่ติงกับข้ามีไมตรีแต่เก่าก่อน เขามาวิงวอนขอร้อง ข้าจึงลงมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นต่อให้แม่ทัพใหญ่มีความดีความชอบต่อแผ่นดินและปวงประชา แต่เกี่ยวอันใดกับคนธรรมดาในยุทธภพเหล่านี้อย่างพวกเราเล่า”

ลู่ช่านได้ยินคำนี้กลับรู้สึกโล่งอก ในใจคิดว่า หากเขามิได้ตั้งใจมาช่วยข้าก็คงมิต้องกังวลว่าเขาจะมีแผนร้ายอันใด จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองติงหมิงแล้วถอนหายใจ “จอมยุทธ์ติงไยต้องสิ้นเปลืองความคิดเช่นนี้ ความเป็นความตายของผู้แซ่ลู่มิสำคัญ แต่เจ้าเป็นผู้นำของกองกำลังอาสาแห่งอู๋เย่ว์ หากพลาดพลั้งประการใด ไยมิใช่ปล่อยให้ติ้งไห่เสียเปรียบ เจ้ารีบกลับอู๋เย่ว์เถิด อย่ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักเหล่านี้”

ติงหมิงโต้เสียงดัง “คำพูดนี้ แม่ทัพใหญ่กล่าวผิดแล้ว ผู้แซ่ติงเป็นเพียงคนในยุทธภพคนหนึ่ง หากข้าตายย่อมมีผู้อื่นนำกองกำลังอาสาแทนได้ แต่หากไร้แม่ทัพใหญ่บัญชาการอย่างรอบคอบ จะต้านทหารม้าเหล็กของต้ายงได้อย่างไร ไฉนแม่ทัพใหญ่จึงนิ่งเฉยทนดูกองทัพต้ายงบุกลงใต้ ยินยอมถูกขุนนางชั่วผู้นั้นทำร้าย”

ลู่ช่านยิ้มขมขื่นกล่าวว่า “พี่ติง ท่านเจตนาดี แต่ความเป็นความตายของผู้แซ่ลู่มิสลักสำคัญ แม้นข้าหนีออกไปจากเจี้ยนเย่ได้ก็จะกลายเป็นกบฏ ถึงยามนั้นอัครมหาเสนาบดีซั่งย่อมออกคำสั่งกวาดล้างลูกน้องเก่าของข้า ความวุ่นวายภายในของหนานฉู่จะอุบัติ พี่ติงต้องการให้ข้านำทัพก่อกบฏหรือไร

แทนที่จะจุดชนวนให้เกิดความวุ่นวายภายใน ต้องเข่นฆ่ากันเอง มิสู้ผู้แซ่ลู่ยอมตายตามโทษ มีผู้กล้าทั้งหลายสละชีพเพื่อแว่นแคว้นอยู่ หนานฉู่ย่อมยังสงบสุขปลอดภัย ผ่านไปอีกสักสองสามปี บางทีคนที่เหนือกว่าผู้แซ่ลู่อาจยกทัพขึ้นเหนือบุกจงหยวน ทำให้นับจากนี้กองทัพต้ายงมิอาจบุกลงใต้อีกก็เป็นได้”

ติงหมิงได้ยินพลันน้ำตาร่วงพรู กล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ทำเพื่อแว่นแคว้นเพื่อปวงประชา ควบขี่อาชาตรากตรำทำศึก มิหวงแหนชีวิต แม้แต่ยามนี้ยังนึกถึงแผ่นดินและปวงประชา การกระทำของเสนาบดีชั่วคนนั้นช่างสมควรถูกคนชี้นิ้วรุมประณามอย่างแท้จริง

แม่ทัพใหญ่ออกจากเจี้ยนเย่หลบเข้าไปในกองทัพแล้วค่อยถวายหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ บางทีอาจหลีกเลี่ยงความวุ่นวายภายในได้ หากแม่ทัพใหญ่มิยอมไป พวกเราก็ยินดีตายอยู่ที่นี่ มิยอมจากไปเช่นเดียวกัน”

ลู่ช่านยิ้มละไม เอ่ยขึ้นว่า “ความเป็นความตายของผู้แซ่ลู่เพียงคนเดียวเป็นเรื่องเล็กน้อย ความปลอดภัยของแว่นแคว้นเป็นเรื่องใหญ่ อัครมหาเสนาบดีซั่งคงลอบวางมือสังหารไว้ข้างตัวลูกน้องเก่าของผู้แซ่ลู่แล้ว หากผู้แซ่ลู่หนีออกไป เกรงว่าพวกเขาคงถูกสังหารทั้งที่ไร้ความผิด

ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวของพลทหารในกองทัพล้วนอยู่ทางใต้ของเจียงสุ่ย เมื่ออัครมหาเสนาบดีซั่งคลางแคลงใจว่าพวกเขาจะก่อกบฏ พวกเขาย่อมพบจุดจบตายสิ้นทั้งตระกูล จะทำร้ายทหารใต้บัญชาเหล่านี้เพื่อผู้แซ่ลู่เพียงคนเดียวได้อย่างไร พี่ติงมิต้องกล่าวมากความแล้ว ท่านไปเสียเถิด ผู้แซ่ลู่ไม่มีวันหนีออกไปจากเจี้ยนเย่แน่นอน”

เวลานี้เอง บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นก็เอ่ยเสียงเย็นชา “ไยต้องพูดพร่ำเช่นนี้ ตีเขาให้สลบแล้วพาตัวไปก็สิ้นเรื่อง”

ทว่าเพิ่งจะกล่าวจบก็เห็นดวงตาลึกล้ำดำสนิทของลู่ช่านทอประกายเย็นยะเยือก บรรยากาศรอบตัวที่แต่เดิมนิ่งสงบราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นดุดันน่าครั่นคร้ามในพริบตา นั่นคือความน่าเกรงขามของแม่ทัพใหญ่ผู้ต่อกรกับศัตรูนับพันนับหมื่นที่หล่อหลอมมาจากสมรภูมิอันนองเลือด

ทว่าสีหน้าบนใบหน้าของเขากลับเรียบเฉย สองมือยกขึ้นไพล่หลัง เอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านคิดจริงหรือว่าวรยุทธ์สูงส่งแล้วจะกระทำสิ่งใดตามใจก็ได้”