จิตใจของบุรุษอาภรณ์ขาวสั่นไหว สายตามองลอดผ้าโปร่งไปจับจ้องใบหน้าของลู่ช่านครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงชัดว่าว่ายอมเป็นหยกแหลกลาญ มิยอมเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ของเขาก็ถอนหายใจแผ่วเบา “แม่ทัพใหญ่มิปรารถนาให้หนานฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน แต่นั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น มิว่าอย่างไรความวุ่นวายภายในนี้ก็หลีกเลี่ยงมิได้ แม่ทัพใหญ่ตกลงเพียงคำเดียว ข้าก็พาแม่ทัพใหญ่ออกไปจากเจี้ยนเย่ได้
ถึงยามนั้นมิว่าจะหวนคืนกองทัพนำทหารลุกฮือ หรือจะออกเดินทางท่องเที่ยวยุทธภพเป็นอิสระ ข้าล้วนทำให้ความปรารถนาของแม่ทัพใหญ่เป็นจริงได้ แม่ทัพใหญ่มิคิดถึงครอบครัวบ้างหรือไร รังร่วงลงมาแล้ว ไฉนจะยังมีไข่ฟองใดอยู่ดี แม้แม่ทัพใหญ่ยินยอมพร้อมใจตาย ซั่งเหวยจวินก็ไม่มีทางปล่อยครอบครัวของแม่ทัพใหญ่เอาไว้”
แววตาของลู่ช่านมิโอนอ่อนลงแม้แต่น้อย ถึงถ้อยคำของบุรุษอาภรณ์ขาวจะคมกริบ แต่มิอาจทิ้งบาดแผลไว้บนจิตใจของเขา เขาขบคิดทุกสิ่งกระจ่างตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว ทว่าเขากลับมิโต้แย้ง เพียงเผยรอยยิ้มน้อยๆ อันแน่วแน่และเฉยชา จากนั้นยกมือขึ้นมา นิ้วชี้กับนิ้วกลางแทงเข้าไปในหน้าอกประหนึ่งดาบคมกริบ โลหิตทะลักออกมา แม้นิ้วจะทิ่มเข้าไปเพียงหนึ่งส่วน มิได้ทำร้ายถูกจุดสำคัญ แต่เจตนาของเขาก็กระจ่างชัด
ติงหมิงไม่มีเวลาตะลึงกับพลังนิ้วของลู่ช่าน เขาแทบจะลุกพรวดถอยออกไปทันที ถอยหลังไปติดกันสิบกว่าก้าว ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเศร้าสลด เอ่ยเสียงสั่น “แม่ทัพใหญ่ ติงหมิงยอมรับบัญชาแล้วขอรับ”
แววตาเฉยชาของลู่ช่านหันไปมองบุรุษอาภรณ์ขาว แววตาของบุรุษอาภรณ์ขาววูบไหว ลู่ช่านยิ้มละไม ออกแรงบนปลายนิ้ว โลหิตทะลักออกมาดุจน้ำพุ บุรุษอาภรณ์ขาวสัมผัสได้ถึงแววตาวิงวอนของติงหมิง
เขาทราบดีว่าหากลงมือตอนนี้บางทีอาจขัดขวางลู่ช่านจากการปลิดชีพตนเองได้ แต่ลู่ช่านตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ต่อให้ช่วยคนออกไปได้สำเร็จ ผลลัพธ์ก็มิมีสิ่งใดแตกต่าง หากจะให้เขาแบกนามกบฏไปตายด้านนอก มิสู้ให้เขาตายที่นี่เสียดีกว่า ถือว่าให้เขาได้รักษาความภักดีดั่งที่ใจปรารถนา ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นก็เคยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ตนปล่อยลู่ช่านได้เลือก บุรุษอาภรณ์ขาวถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นเร้นกายหายไปท่ามกลางหิมะ หายไปอย่างไร้ร่องรอยดุจเดียวกับยามมา
ลู่ช่านโล่งใจ ทราบว่าในที่สุดสถานการณ์ก็มาอยู่ในการควบคุมของตนแล้ว เขาหันไปมองติงหมิงแล้วบอกอย่างนิ่งสงบ “พี่ติงไปเถิด อย่าให้มีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มอีกเลย จำไว้ว่าอย่าเข่นฆ่าสังหารกันเองให้คนต้ายงเริงรื่น ยิ่งกว่านั้นต้องระวังคนข้างกาย คนต้ายงถนัดใช้แผนยุแยงตะแคงรั่วเป็นที่สุด ท่านต้องคอยระวังไว้”
แม้ในใจเขาอยากเตือนติงหมิงให้ระวังซ่งอวี๋ที่อยู่ด้านหลังกับบุรุษอาภรณ์ขาวผู้ความเป็นมามิชัดผู้นั้น แต่เขาก็ทราบว่าหากตนพูดชัดเจนเกินไป น่ากลัวว่าติงหมิงคงมิอาจมีชีวิตรอดออกไปจากเจี้ยนเย่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มิสู้ให้เขาพอระวังอยู่ในใจก็พอ มิให้กองกำลังอาสาของอู๋เย่ว์ต้องสูญเสียหัวหน้า
ขณะที่เฝ้ามองติงหมิงเดินปิดหน้าจากไป จู่ๆ เสียงพิณก็ลอยมาจากท่ามกลางม่านหิมะ เสียงพิณโศกสลด แฝงความหมายของการจากลาอยู่เลือนราง จู่ๆ ในใจของลู่ช่านก็เกิดความคิดประหลาดประการหนึ่ง เสียงพิณนี้ตนเองต้องเคยได้ยินมาก่อนแน่ บางทีอาจมิใช่บทเพลงนี้ แต่ความเดียวดายเยือกเย็นที่ซ่อนอยู่ในเสียงพิณนั่นเป็นเอกลักษณ์มิเหมือนผู้ใด พอคิดมาถึงตรงนี้ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามมิได้ ตนเองมิสันทัดการดนตรี จะฟังความแตกต่างของเสียงพิณออกได้เช่นไร
ลู่ช่านดึงนิ้วออกมา ปล่อยให้โลหิตร่วงพรู จากนั้นยกมือขึ้นปัดหิมะที่กองอยู่บนร่าง เดินเข้าไปในห้อง รินสุราหนึ่งจอก ยกจอกขึ้นกล่าวว่า “ ‘ปรารถนาทำการใหญ่แทนเจ้าแผ่นดิน สร้างชื่อระบือนามชั่วกาลนาน น่าเสียดายผมขาวเสียแล้ว’ น่าเสียดายข้ายังมิทันบรรลุสิ่งที่ใจวาดหวังก็ต้องสิ้นชีวาเสียแล้ว ซ่งอวี๋ เหตุใดเจ้ามิจากไปด้วยกันกับพวกเขา คิดว่าข้ายังมองหน้ากากจอมปลอมของเจ้ามิออกอีกหรือ หากเจ้ามิใช่ไส้ศึกของพวกเขา เกรงว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้น หรือไม่ก็ติงหมิงคงสังหารเจ้าก่อนแล้ว”
ซ่งอวี๋ตอบอย่างเรียบเฉย “แม่ทัพใหญ่เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้ ผู้แซ่ซ่งได้รับคำสั่งให้เฝ้าแม่ทัพใหญ่ ขัดขวางมิให้แม่ทัพใหญ่ไปจากที่แห่งนี้ ต่อมาแม่ทัพใหญ่ขอความเมตตาให้ คนเหล่านั้นจึงมิลงมือสังหารข้า แม่ทัพใหญ่สละชีวิตมิหลบหนี คงเพราะเห็นแก่ผู้น้อยที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่สุดกำลังจึงเห็นใจกระมัง”
ลู่ช่านฟังจบก็หลุดหัวเราะอย่างมิรู้ตัว เขามิสนใจโลหิตที่ไหลริน ชูจอกบอกว่า “กล่าวได้ดี เจ้าชาญฉลาดถึงเพียงนี้ ช่างหายากนัก บอกมาเถิด เจ้ากับเจียงเจ๋ออาจารย์ของข้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร คงมีแต่ท่านอาจารย์เท่านั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ใช้ประโยชน์จากความเป็นความตายของผู้แซ่ลู่ได้หมดจดเช่นนี้ เจ้าเป็นคนมีความสามารถขนาดนี้ คงจะเป็นคนของท่านอาจารย์กระมัง”
สีหน้าซ่งอวี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองสีหน้าเปิดเผยจริงใจของลู่ช่านแล้วตอบเสียงเบา “ข้าเป็นลูกศิษย์อกตัญญูของท่านอาจารย์ ถูกขับออกจากสำนักนานแล้ว ท่านอาจารย์มีน้ำใจจึงมิเคยเอาชีวิตข้า หนนี้ได้รับคำสั่งให้ใส่ไฟยุแยงอยู่หลายหนเพื่อทำร้ายท่านแม่ทัพ ในใจจึงนึกละอาย แม้ท่านแม่ทัพบอกเรื่องนี้ออกไป ข้าก็มิถือโทษท่านแม่ทัพ”
ลู่ช่านขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าฟังจากน้ำเสียงของเจ้าเหมือนมีความเคียดแค้น หรือว่าเจ้ามีความแค้นกับอาจารย์ แต่หากเป็นเช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงรับคำสั่งมาทำงานให้เขาเล่า”
สายตาของซ่งอวี๋กวาดมองไปด้านนอก เมื่อครู่เขาเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือของสำนักเฟิงอี้แล้ว ทราบว่าอีกไม่นานคงมีคนเข้ามาตรวจดู จึงเอ่ยเสียงเบา “แต่เดิมข้ามีแค้นเก่ากับท่านอาจารย์ เพียงแต่ท่านอาจารย์มิทราบ แต่เมื่อครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว เรื่องนั้นก็มิอาจกล่าวโทษท่านอาจารย์ได้ อีกทั้งข้าได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ ผูกพันกับสหายในกลุ่มล้ำลึก ดังนั้นจึงมิอาจปฏิเสธคำสั่งของท่านอาจารย์ เพียงแต่การทำร้ายท่านแม่ทัพทำให้ใจข้ามิอาจสงบ ท่านแม่ทัพซื่อสัตย์ภักดี นิสัยสง่าผ่าเผย ชั่วชีวิตนี้อวี๋หลุนคงรู้สึกผิดจนยากจะทานทนไหว”
ลู่ช่านถอนหายใจกล่าวว่า “เรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับเจ้า ท่านอาจารย์เพียงเติมน้ำมันลงในกองเพลิงเท่านั้น ต่อให้ไม่มีแผนการของเขา ผ่านไปอีกสองสามปี ข้าก็คงหลบเลี่ยงภัยหนนี้มิพ้นเช่นกัน เพียงแต่เดิมทีข้าคิดว่าจะทำความปรารถนาบุกขึ้นเหนือพิชิตจงหยวน สยบทหารม้าเหล็กของต้ายงมิให้จับจ้องหมายตาเจียงหนานอีกให้สำเร็จได้ก่อนก็เท่านั้น แค้นใจก็แต่วันนี้มาถึงเร็วเกินไป
ตอนนี้ข้าเพิ่งเข้าใจว่าวันนั้นบนกำแพงเมืองกู่เฉิง ท่านอาจารย์บรรเลงพิณหาใช่เพื่อให้ศัตรูถอยทัพแต่เพื่อบอกลา หลังจากหนึ่งบทเพลง มิอาจหวนพบหน้าอีก นี่ถึงจะเป็นความหมายของท่านอาจารย์”
ยามนี้ซ่งอวี๋ได้ยินเสียงฝีเท้าลอยมา เขารีบกระแอมเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ จะจัดการบาดแผลสักหน่อยหรือไม่”
สายตาของลู่ช่านเคลื่อนมา ถามขึ้นว่า “หลังจากวันนี้เจ้าจะยังอยู่ในเจี้ยนเย่หรือไม่”
ซ่งอวี๋เข้าใจความนัย จึงตอบเสียงเบาว่า “หลังจบเรื่องนี้ ผู้น้อยจะไร้บ่วงพันธนาการ จะมิเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการชิงชัยระหว่างเหนือใต้อีกอย่างแน่นอน”
ลู่ช่านยิ้มละไม พยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าเชื่อว่าเจ้ามิโป้ปด มิเช่นนั้นแม้เจ้าจะจริงใจต่อข้า แต่ข้าคงทำได้เพียงเอาชีวิตเจ้า ขอเพียงข้าพูดสักสองสามคำ ซั่งเหวยจวินย่อมยอมเชื่อว่ามี ดีว่าเชื่อว่าไม่มี หากได้พบท่านอาจารย์อีกครั้ง โปรดบอกขอบคุณเขาแทนข้า”
ซ่งอวี๋เอ่ยเสียงเบา “ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่ใจกว้าง หากมีวาสนาผู้น้อยจะต้องบอกต่ออย่างแน่นอน” ขณะที่กำลังคิดจะพูออะไรอีกสักหน่อย ปลายหางตาก็เห็นเงาคนเคลื่อนไหว เขาจึงเงียบมิเอื้อนเอ่ยคำใดต่อ
เวลานี้กองหนุนเข้ามาในเรือนแล้ว คนที่เดินมาด้านหน้าสุดคือซั่งเฉิงเยี่ย ด้านหลังเขาล้วนมีแต่นายทหารสวมเกราะ เขาคงนำกองหนุนเดินทางมายังเรือนร้างของตระกูลเฉียวด้วยตนเอง ถึงอย่างไรความเป็นความตายของลู่ช่านก็เกี่ยวพันกับพวกเขาพ่อลูกอย่างแนบแน่นที่สุด
ด้านหลังซั่งเฉิงเยี่ยคือขันทีสวมชุดขุนนางสีแดงหลายคน ในมือพวกเขาถือพระราชโองการกับสุราพิษ สองฝ่ายคงพบกันกลางทางจึงเร่งรีบเดินทางมาด้วยกัน เมื่อเห็นลู่ช่านนั่งร่ำสุราอยู่ที่นี่ ซั่งเฉิงเยี่ยก็ถอนหายใจ หยุดฝีเท้ามิก้าวไปข้างหน้าต่อ เขาเหลือบมองซ่งอวี๋แวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววชื่นชม ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาถอยออกมา
ซ่งอวี๋ซ่อนแววตาเศร้าสร้อยในดวงตาแล้วเดินออกมาจากห้องมายืนอยู่ด้านหลังซั่งเฉิงเยี่ย เขาเห็นขันทีผู้สวมอาภรณ์สีแดงคนนั้นประกาศโองการเสียงแหลม สติของซ่งอวี๋มิอยู่กับเนื้อกับตัว ได้ยินเพียงถ้อยคำทำนองว่า ‘พระราชทานความตาย’ ‘ประจานกลางตลาด’ ทำนองนี้รางๆ
หลังจากนั้นเขาก็มองลอดบานประตูที่เปิดอ้า เบิกตามองลู่ช่านคลี่ยิ้มรินสุราพิษจนเต็มหนึ่งจอก แววตากระจ่างใสอ่อนโยนกวาดมองทุกคน ก่อนจะหยุดอยู่บนร่างตนนานกว่าผู้อื่นพริบตาหนึ่ง แล้วจึงยกจอกดื่มรวดเดียว มิสนใจรอยเลือดที่เปรอะเปรื้อนเป็นดวงตรงหน้าอกแม้แต่น้อย ดวงตาของซ่งอวี๋พร่ามัว เขาถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวอย่างเงียบเชียบ รู้สึกราวกับว่าชีวิตของตนเองปลิดปลิวตามลู่ช่านไปด้วย