ตั้งแต่ท่านกงเดินทางกลับลงใต้ก็ทราบแล้วว่ายากจะหลบเลี่ยงภัย จึงกันแม่ทัพใต้บัญชาและคนสนิทออกไปเพื่อรักษาขวัญกำลังใจของทหาร อัครมหาเสนาบดีซ่งจึงเล่นงานผู้ที่ข้องเกี่ยวกับท่านกงเพียงน้อยนิด มีเพียงลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของท่านกงที่ถูกพิพากษาให้ประหารประจานกลางเมือง ส่วนครอบครัวของท่านกงให้ตกเป็นทาส เนรเทศทั้งครอบครัวไปยังหนานหมิ่น
วันที่ท่านกงสิ้น หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้าคล้ายสรรเสริญความภักดีของท่านกง อัครมหาเสนาบดีซั่งเกรงผู้คนจะล่วงรู้ว่าวันนั้นเขาส่งกำลังทหารมาโอบล้อมเรือนตระกูลเฉียวอย่างแน่นหนา ถึงกระนั้นก็มีผู้กล้าบุกเข้ามาหมายจะช่วยท่านกงหนี ทว่าท่านกงปฏิเสธพวกเขา เลือกจะยอมตาย คนภักดีเช่นนี้กลับถูกเสนาบดีชั่วมอบสุราพิษสังหาร เรื่องนี้ฟ้าดินคงมิยอมรับ
แม้นท่านกงสิ้นแล้ว อัครมหาเสนาบดีซั่งก็ยังกังวล จึงสั่งให้องครักษ์ประหารลู่อวิ๋นในคุกทันที ทว่าเมื่อผู้ส่งสารเดินทางมาถึงคุกหลวง กลับเห็นว่าพัศดีและนายทหารล้วนตกอยู่ในภวังค์คล้ายหลับฝัน จึงเข้าไปดูภายในคุกอย่างตื่นตระหนก แต่ลู่อวิ๋นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ภรรยารักและบุตรคนเล็กของท่านกงรวมถึงบ่าวไพร่และพลทหารในตระกูลรวมทั้งหมดสี่สิบหกชีวิตถูกเนรเทศลงใต้ในวันถัดมา
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสี่ จงอู่กงสิ้นใจที่เจี้ยนเย่ เสนาธิการหยางซิ่วผู้บัญชาการกองทัพไหวตงทราบข่าวร้ายจึงจัดพิธีไว้อาลัยกลางกองทัพ เจียงเจ๋อทราบข่าวจึงกล่าวอย่างโศกเศร้าแทบวางวาย ‘ล้วนเป็นความผิดของข้า’
เขาสวมอาภรณ์สีขาว ข้ามแม่น้ำไหวสุ่ยเดินทางมาเซ่นไหว้ แม่ทัพทั้งหลายต่างทราบว่าเขาเป็นผู้วางอุบายทำร้ายจงอู่กงจนสิ้นชีวาจึงหมายจะสังหารเขา เจียงเจ๋อต้องการเซ่นไหว้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยตาย แม่ทัพทั้งหลายยินยอม เจียงเจ๋อบรรเลงพิณต่อหน้าดวงวิญญาณ แม่ทัพทั้งหลายได้สดับต่างหลั่งน้ำตามิอาจยกดาบ เจียงเจ๋อจึงหวนกลับฉู่โจว
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
พวกติงหมิงออกมาจากเรือนตระกูลเฉียวสำเร็จ ก็ได้คนที่เตรียมการกันไว้ก่อนลักลอบช่วยพาหนีออกจากเมือง ออกจากเมืองได้สองสามลี้ก็เห็นเงาของคนกลุ่มหนึ่งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ พวกเขาคือทหารม้าร้อยกว่านายที่คุ้มกันรถม้าคันหนึ่งอยู่ ทหารม้าเหล่านี้ต่างสวมชุดเกราะไร้สัญลักษณ์ ท่าทางห้าวหาญองอาจ เห็นชัดว่าเป็นทหารกล้าผู้รอดชีวิตมาจากศึกนับร้อย
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือแม่ทัพอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่ง ใบหน้าผูกผ้าปิดหน้าสีดำ พอเห็นเงาร่างของติงหมิง ดวงตาของเขาก็พลันทอประกายยินดีวูบหนึ่ง แต่จากนั้นเมื่อกวาดสายตามองแต่มิเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างนั้น แววตายินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง
ติงหมิงเร่งฝีเท้าเข้ามาหาแล้วประสานมือคำนับแม่ทัพอาภรณ์เขียว แจ้งอย่างโศกสลด “แม่ทัพใหญ่มิยอมออกจากเมืองมากับพวกข้า เกรงว่ายามนี้คง…” มิทันเปล่งเสียงจบประโยค น้ำตาก็ร่วงหล่น
แม่ทัพอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นฟังคำพูดจบก็เงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าทราบนิสัยของท่านแม่ทัพใหญ่ดี เพียงอดจะกอดความหวังหนึ่งในหมื่นไว้มิได้ก็เท่านั้น เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ พวกเราก็นับว่าทำสุดกำลังแล้ว ข้ามิอาจผละจากกองทัพมานานเกินไป คงต้องเร่งเดินทางกลับทันที”
ติงหมิงค้อมกายคารวะ “พี่สือคุณธรรมสูงส่ง ผู้แซ่ติงนับถือ ไหวซียังต้องพึ่งพี่สือคอยพิทักษ์ ขอพี่สือโปรดรีบเร่งเดินทาง หลังจากวันนี้หากมีคำสั่งใด ผู้แซ่ติงจะมิปฏิเสธเป็นอันขาด แม้แม่ทัพใหญ่ประสบเคราะห์สิ้นแล้ว แต่มิอาจยอมให้แผ่นดินหนานฉู่ถูกกองทัพต้ายงเหยียบย่ำ”
แม่ทัพอาภรณ์เขียวผู้นั้นถอนหายใจ “จิตใจภักดีของพี่ติง ผู้แซ่สือสลักลงในใจแล้ว ข้าได้รับความเมตตาจากแม่ทัพใหญ่มามากแต่มิอาจช่วยชีวิตเขาได้ ข้าก็ละอายใจยิ่งนักแล้ว หากมิอาจพิทักษ์ไหวซีได้อีก นอกจากความตายคงมิมีหนทางอื่นใดไถ่โทษได้อีก”
กล่าวจบแม่ทัพอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นก็ขอตัวลา ขบวนทหารควบอาชาจากไปท่ามกลางพายุหิมะ ติงหมิงมองเงาแผ่นหลังอันห้าวหาญของแม่ทัพอาภรณ์สีเขียว ความโศร้าโศกทะลักเข้ามาในใจ เขารู้จักคนผู้นี้มาเป็นเวลานานแล้ว ลู่ช่านทำให้พวกเขารู้จักกัน ตั้งแต่พบหน้า ทั้งสองคนก็ค่อนข้างถูกชะตากัน ต่างฝ่ายต่างถือว่าอีกฝ่ายเป็นสหายรู้ใจ
เดิมทีเขาเคยชิงชังคนผู้นี้ที่ทรยศ ทอดทิ้งธิดารักกับลูกเขยเพียงเพื่อฐานะและตำแหน่งขุนนางของตน ทว่าคนผู้นี้กลับส่งผู้ส่งสารมาเชิญเขาเดินทางมาเจี้ยนเย่เพื่อช่วยเหลือลู่ช่าน อีกทั้งยังเดินทางมาคอยรับด้วยตนเองอย่างมิเสียดายว่าต้องแลกสิ่งใด
แต่เดิมในใจติงหมิงยังคลางแคลงอยู่บ้าง แต่หลังจากพบหน้ากันนอกเมืองเจี้ยนเย่ ติงหมิงก็เชื่อว่าคนผู้นี้หาใช่เสแสร้งแกล้งทำ การออกจากกองทัพโดยพลการเป็นโทษหนักไม่น้อย หากถูกซั่งเหวยจวินล่วงรู้ ผลลัพธ์อย่างดีที่สุดก็คงเป็นการปลดออกจากตำแหน่งทหาร แต่คนผู้นี้มิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น การกระทำหักหลังในวันนั้นของเขาก็คงเป็นเพราะไม่มีทางเลือกกระมัง
สือกวนควบอาชาห้อตะบึงกลางหิมะ น้ำตาไหลรินลงมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด แม้กระทั่งวันที่เขาใจแข็งทอดทิ้งลูกสาว เขาก็ยังมิหลั่งน้ำตา ตั้งแต่ตอนที่ลู่ช่านยังไม่ถูกเรียกตัวกลับเจี้ยนเย่ เขากับลู่อวิ๋นก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ดี พวกเขาสองคนลอบหารือว่าจะรับมืออย่างไร หลายปีก่อนสือกวนเคยกังวลกับสถานการณ์เช่นนี้จึงเคยเอ่ยถึงกับลู่ช่านมาก่อน ยามนั้นลู่ช่านขอร้องเขาว่าต่อให้มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น ก็จงอย่าได้ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารปั่นป่วน ต้องเสียการใหญ่เพราะมิตรภาพส่วนตัว ส่วนลู่อวิ๋นเองก็มิหวั่นเกรงความตาย มิปรารถนาจะทำลายชื่อเสียงความภักดีของบิดา ทั้งสองคนมีความตั้งใจอย่างเดียวกัน
แต่พวกเขาเป็นห่วงสือซิ่วมากที่สุด สือซิ่วเป็นคนห้าวหาญ แม้สือกวนจะปกป้องให้นางปลอดภัยได้ แต่นางก็อาจจะเลือกความตายอย่างมิหวงแหนชีวิตของตนเอง สือกวนกับลู่อวิ๋นจนปัญญาจึงปรึกษากันว่าจะให้สือกวนบีบให้สือซิ่วคุ้มกันลู่เหมยหนีไป จากนั้นให้ลู่อวิ๋นฝากฝังน้องสาวผู้บอบบางกับลูกน้อยที่ยังมิทันลืมตาดูโลกกับนาง เมื่อเป็นเช่นนี้สือซิ่วย่อมได้แต่มีชีวิตอยู่ต่อ มิอาจตายตามสามีไปได้ง่ายๆ การทำเช่นนี้ทั้งรักษาสายเลือดตระกูลลู่เอาไว้ได้และยังทำให้สือกวนได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากซั่งเหวยจวินได้อีกด้วย
แต่คิดไม่ถึงว่าสือซิ่วกลับหายตัวไประหว่างทางไปจงหลี เป็นตายมิอาจทราบ สือกวนลอบส่งคนออกค้นหา แต่ไม่พบร่องรอยของบุตรสาวแม้แต่น้อย นี่ทำให้สือกวนเจ็บปวดใจยิ่งนัก วันนี้เขาขัดความตั้งใจของลู่ช่าน ร่วมมือกับติงหมิงปรารถนาจะช่วยลู่ช่านให้พ้นภัย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เมื่อหวนคิดถึงลูกเขยคนโปรดที่คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้เช่นกัน จะไม่ให้สือกวนโศกเศร้าคับแค้นจนแทบวางวายได้อย่างไร
ขบวนคนควบอาชาห้อตะบึง เพราะสายตาถูกพายุหิมะบดบัง อีกทั้งข่าวการตายของบุคคลอันเป็นที่รักก็ทำให้จิตใจหวั่นไหว พวกเขาจึงสูญเสียความระแวดระวังไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่สือกวนควบอาชาผ่านทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง เส้นทางคับแคบทำให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหน้ากับด้านหลังคลาดจากตำแหน่ง ขบวนแถวที่คุ้มกันอย่างแน่นหนาเผยช่องโหว่
ทันใดนั้นเอง กองหิมะที่ทับถมเป็นเนินจู่ๆ ก็ระเบิดออก เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งเหินขึ้นกลางอากาศ คมวาววับเย็นยะเยือกโชนฉายกลางฝ่ามือ ประกายเย็นเฉียบแล่นเป็นสายดุจผืนผ้า ทอประกายสว่างดุจประกายดาวกลางธารดวงดาวบนนภา ก่อนจะเสียบเข้ากลางแผ่นหลังของสือกวนอย่างจัง
สือกวนตวาดเกรี้ยวกราด เหวี่ยงหมัดโจมตี สายลมจากหมัดรุนแรงดุจอสนีบาต คนผู้นั้นรับการโจมตีหนึ่งหมัดตรงๆ แต่มิร้องสักคำ เขาฉวยโอกาสโผร่างหายเข้าไปท่ามกลางหิมะ
องครักษ์ด้านหลังตื่นตระหนกตวาดลั่นอย่างเกรี้ยวกราด พวกเขายิงศรหมายเด็ดชีวิตศัตรูแทบจะในจังหวะเดียวกัน ร่างกายของคนผู้นั้นเพิ่งร่อนลงแตะพื้นก็ทะยานออกไปไกล วิชาท่าร่างว่องไวยิ่งนัก ลูกศรที่พุ่งรวดเร็วดั่งดาวตกหลายสิบดอกเหล่านั้นพุ่งปักบนพื้นด้านหลังร่างคนผู้นั้น ลูกศรระลอกที่สอง ระลอกที่สามเกือบจะไล่ตามเงาของคนผู้นั้นทัน แต่ก็คลาดเป้าอยู่เพียงเสี้ยวเดียวเสมอ ชั่วพริบตาเงาร่างของคนผู้นั้นก็หายไป
เวลานี้ร่างของสือกวนเอนล้มลงช้าๆ องครักษ์คนสนิทสองคนกระโจนลงจากหลังม้าวิ่งมารับ คนหนึ่งในนั้นยื่นมืออันสั่นเทาออกมาตรวจดูลมหายใจ จากนั้นน้ำตาพลันไหลรินผสมกับหยาดเหงื่อ ตะโกนบอกอย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ทัพตายแล้ว ท่านแม่ทัพตายแล้ว”
พลทหารทั้งหลายเหล่านี้รู้สึกประหนึ่งอสนีบาดห้าสายฟาดใส่กระหม่อม ท่านแม่ทัพสิ้นใจในที่แห่งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะอธิบายกับสหายร่วมรบในกองทัพอย่างไร แม้แต่กับราชสำนักก็คงหาคำแก้ตัวไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรแต่เดิมสือกวนก็ไม่ควรมาปรากฏตัวนอกเมืองเจี้ยนเย่
แววตาอัดแน่นด้วยจิตสังหารมองไปยังทิศทางที่มือสังหารผู้นั้นจากไป องครักษ์คนสนิทที่เป็นหัวหน้าสั่งว่า “คนครึ่งหนึ่งพาท่านแม่ทัพกลับโซ่วชุน ส่งสารแจ้งที่ปรึกษาหยางให้เขาหาวิธีประคับประคองสถานการณ์ในไหวซีทันที คนอีกครึ่งหนึ่งตามข้าไปเด็ดหัวมือสังหารคนนั้น แค้นนี้ไม่ได้ชำระ จะไม่ขอกลับโซ่วชุน”
องครักษ์ทั้งหลายขานตอบอย่างห้าวหาญ แยกออกเป็นสองกองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แบ่งสองคนออกมาเดินทางไปไหวตง เพียงชั่วพริบตาเสาหลักของพวกเขาก็ล้มครืน เวลานี้ในหัวใจของพวกเขาคับแค้นจนอยากจะให้คนที่ตายไปคือตัวเอง
เวลานี้ศพของสือกวนนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนขององครักษ์คนสนิท หิมะที่กำลังพร่างพรมทั่วผืนนภาร่วงตกลงมาบนใบหน้าที่ยังเหลือความโศกเศร้าคับแค้นระคนโกรธเกรี้ยวของเขา คล้ายกำลังไว้อาลัยให้การสิ้นชีวาของแม่ทัพใหญ่แห่งไหวซีผู้นี้ และราวกับว่าจะไว้อาลัยแด่หนานฉู่ที่สูญเสียยอดแม่ทัพไปอีกหนึ่งคน
หลังจากแยกกับพวกติงหมิง คนที่ติงหมิงเชื่อว่าเป็น ‘เจ้าหอกลไกลสวรรค์’ ผู้นั้นกลับมิได้ออกจากเมือง เขามุ่งตรงไปยังที่พักลับของหอกลไกสวรรค์ที่อยู่ในตัวเมืองเจี้ยนเย่ ที่แห่งนี้เป็นจวนของคหบดีหลังหนึ่ง เพียงแต่ว่าจวนชั้นในสุดถูกแยกออกมาเป็นกองบัญชาการลับของหอกลไกสวรรค์
บุรุษอาภรณ์ขาวเดินเข้ามาในหอที่อบอุ่นดั่งฤดูวสันต์แล้วถอนหายใจแผ่วเบา เขาถอดอาภรณ์ที่มีสภาพเละเทะแล้วเดินเข้าไปหลังฉากกันลม ด้านในเตรียมน้ำอาบหอมละมุนกับอาภรณ์และรองเท้าใหม่เอี่ยมเอาไว้แล้ว ไม่นานบุรุษอาภรณ์ขาวก็สวมเสื้อผ้าหรูหราสีดำเดินออกมา ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสีหน้าหม่นหมองแฝงความเหนื่อยล้าจางๆ เขานั่งเอนหลังบนตั่งนุ่มแล้วหยิบตำราพิณเล่มหนึ่งมาดูอย่างอ้อยอิ่ง แต่สายตากลับเลื่อนลอย ดูท่าคงจะไม่ได้กำลังจดจ่ออยู่กับตำราพิณ
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้ถูกเรียกว่าเจ้าหอกลไกสวรรค์ผู้นี้ ก็คือลูกศิษย์สายตรงของประมุขพรรคมารนามชิวอวี้เฟย