ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 107 น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

วันที่ชิวอวี้เฟยได้รับจดหมายจากเจียงเจ๋อ ขอให้เขาเดินทางไปพบกันที่จิงเซียง เขาก็ทราบแล้วว่าเจียงเจ๋อจะต้องมีเรื่องขอร้องเป็นแน่ แม้เขาจะตอบรับหรือไม่ตอบรับคำขอร้องของเจียงเจ๋อก็ได้ แต่เห็นแก่มิตรภาพระหว่างกัน ชิวอวี้เฟยย่อมไม่ปฏิเสธ อีกทั้งตอนที่เขาแวะไปคารวะจิงอู๋จี๋ระหว่างทางแล้วขอคำแนะนำจากอีกฝ่าย จิงอู๋จี๋ก็สื่อเป็นนัยว่าให้เขาเดินทางไปยังเจียงหนานสักหน ดังนั้นชิวอวี้เฟยจึงออกเดินทางมาอย่างเบิกบานใจ

หลังจากพบหน้ากันที่กู่เฉิง ชิวอวี้เฟยถึงเพิ่งทราบว่าเจียงเจ๋อต้องการให้เขาปลอมตัวเป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์ เรื่องนี้ทำให้ชิวอวี้เฟยได้เบิกเนตร เข้าใจทันทีว่าเหตุใดในตอนนั้นเจียงเจ๋อจึงมองตัวตนของเขาออก ในเวลาเดียวก็ก็ลอบตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของขุมกำลังที่เจียงเจ๋อซ่อนไว้ เพื่อหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของหอกลไกสวรรค์ ชิวอวี้เฟยจึงยินยอมพร้อมใจปลอมตัวเป็นเจียงเจ๋อและเป็นมือสังหารสักครั้ง

น่าเสียดายงานแรกที่เจียงเจ๋อไหว้วานล้มเหลวเสียแล้ว ลู่ช่านก้าวสู่ห้วงมรณาอย่างห้าวหาญ ตัวเขาเป็นศิษย์ของประมุขพรรคมารแท้ๆ แต่อยู่เบื้องหน้าลู่ช่านกลับตกเป็นรองเสียได้ เรื่องนี้ทำให้ชิวอวี้เฟยหงุดหงิดใจยิ่งนัก

เมื่อเห็นยอดแม่ทัพเช่นลู่ช่านจบชีวิต หัวใจของชิวอวี้เฟยยิ่งรู้สึกยากจะทนรับ หวนนึกถึงเรื่องราวที่เคยเผชิญสมัยอยู่เป่ยฮั่นในอดีตก็ยิ่งเศร้าหมอง เขาวางตำราพิณแล้วถอนหายใจเบาๆ กลอุบายของเจียงเจ๋อช่างอำมหิตเหลือเกิน ถึงจะไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการอันใดทำให้คนในยุทธภพของเจียงหนานเข่นฆ่ากันเอง แต่คิดว่าหลังจากวันนี้ หอกลไกสวรรค์คงคอยยุยงสร่งเสริมให้เจียงหนานโกลาหลมากขึ้นเป็นแน่

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลิงตวนก็พรวดพราดเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเบิกบาน พอเห็นชิวอวี้เฟยก็บอกว่า “ท่านสี่ สำเร็จแล้ว ยอดฝีมือทั้งหมดคงพากันไปที่เรือนตระกูลเฉียว ภายในคุกหลวงจึงแทบไม่มีการป้องกันแต่อย่างใด แล้วพวกเราก็ใช้ ‘ผงเคลิ้มฝัน’ ด้วย ยาสลบชนิดนี้ร้ายกาจจริงๆ พลทหารเฝ้าคุกเหล่านั้นยังสัมผัสรับรู้ได้อยู่แท้ๆ แต่กลับมึนงงสับสนเหมือนกับละเมออยู่ก็มิปาน”

ชิวอวี้เฟยถามเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้นลู่อวิ๋นสร้างความลำบากให้พวกเจ้าหรือไม่ เขาคงไม่ได้ไม่ต้องการออกมาจากคุกหลวงเหมือนกันกระมัง”

หลิงตวนหัวเราะคิกคัก “ข้าเหมือนจะลืมถามเขา ถึงอย่างไรเขาก็ถูกยาสลบไปแล้ว ข้ากับไป๋อี้จึงพาเขาออกมาเลย”

ชิวอวี้เฟยยิ้มเฝื่อน “ข้าว่าเจ้าเป็นคนบอกให้ไป๋อี้วางยาสลบเขามากกว่า พอส่งเขาถึงมือสุยอวิ๋นแล้วค่อยปลุก จะได้มิเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดขึ้น”

หลิงตวนตอบด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ท่านสี่ช่างรู้แจ้งดังตาเห็น ตอนข้ามาถึงก็ได้ยินว่าไป๋อี้ให้คนเตรียมยา ‘เมามายพันทิวา’ ไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นของดีที่ทำให้คนหลับไม่ตื่นได้สามปี ดูท่าไป๋อี้ก็คงไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าหนูคนนั้นตื่นขึ้นมาโวยวายเหมือนกัน”

ต่อจากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัย “แต่เหตุไฉนท่านสี่จึงทราบว่าเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ยอม หรือว่าจะมีประสบการณ์มาแล้ว โธ่ ท่านสี่ช่วยลู่ช่านไม่สำเร็จหรือ ท่านสี่ไม่ได้บอกว่าหากเขาไม่ตกลง ตีหัวให้สลบเสียก็สิ้นเรื่องหรอกหรือ”

ชิวอวี้เฟยถลึงตาใส่หลิงตวน ยิ้มหยันย้อนว่า “ตอนนี้วรยุทธ์ของเจ้าก็เรียกได้ว่าฝีมือไม่เลวแล้ว หากตอนนี้เจ้าได้พบแม่ทัพถานของเจ้า เจ้ากล้าตีหัวเขาให้สลบเพื่อช่วยเขาหรือไม่เล่า”

หลิงตวนตัวสั่นเทา ตอบว่า “เรื่องนี้ข้าจะกล้าทำได้เช่นไร เพียงดวงตาคู่นั้นของแม่ทัพถานจับจ้องเพียงแวบเดียว คนก็หนาวสะท้านจากขั้วหัวใจไปทั่วทั้งร่างแล้ว”

ชิวอวี้เฟยคร้านจะพูดมากกับเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “กล่าวกันว่าผู้จงรักภักดีมีคุณธรรม แม้แต่ทวยเทพผีร้ายยังมิกล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ ข้าเป็นเพียงคนสามัญธรรมดาในยุทธภพ มิมีอำนาจดุจเทพผีเสียหน่อย แม่ทัพลู่ตั้งมั่นจะภักดีจนตัวตาย ความภักดีนี้คนทั่วใต้หล้าย่อมสรรเสริญ เพียงแต่หากสุยอวิ๋นทราบข่าวนี้ เกรงว่าคงจะเศร้าโศกยากทนรับไหว”

หลิงตวนเห็นชิวอวี้เฟยถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยเช่นนี้ ในใจเขากลับหัวเราะหยัน แม้ความแค้นที่มีต่อเจียงเจ๋อจะลดทอนลงมากแล้ว แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาอภัยให้ทุกสิ่งที่คนผู้นั้นเคยกระทำในอดีต

บางทีอาจเพราะรู้สึกว่าหัวใจว้าวุ่นสับสน ชิวอวี้เฟยจึงลุกพรวดขึ้นมาโยนตำราพิณทิ้งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย เจ้าอย่าออกไปก่อเรื่องข้างนอก” พูดจบก็ไม่รอฟังหลิงตวนโอดครวญ เดินออกไปด้านนอกทันที

เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว หิมะโปรยปรายลงมาหนักกว่าเดิม บนท้องถนนเห็นเงาของทหาราชองครักษ์เดินไปมาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ชิวอวี้เฟยสวมอาภรณ์หรูหราเยื้องย่างเชื่องช้าอยู่ท่ามกลางหิมะ เขาจงใจหลบเลี่ยงทหารราชองครักษ์เหล่านั้น อาศัยวิชาตัวเบาของเขาย่อมเป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ

สถานการณ์วุ่นวายภายในเมืองเจี้ยนเย่ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา เขาอดถอนหายใจอย่างนึกทึ่งในกลอุบายของเจียงเจ๋อมิได้ แม้จะมิอาจช่วยลู่ช่านได้สมดั่งใจหวัง แต่ความแค้นระหว่างพวกติงหมิงกับซั่งเหวยจวินและสำนักเฟิงอี้ไม่มีวันคลี่คลายได้อย่างแน่นอนแล้ว

ตกดึกหิมะเริ่มเบาลงมาก มองเห็นเงาคนที่อยู่ห่างไปสองสามจั้งชัดแล้ว ชิวอวี้เฟยเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงคิดจะกลับไปพักผ่อน ทันใดนั้นเขาก็เหลือบสายตาเห็นเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรร่างหนึ่งเหินข้ามท้องนภายามราตรีที่ปกคลุมด้วยหิมะ เขาเกิดความคิดบางประการจึงลอบติดตามไปอย่างเงียบเชียบ

หลังจากเดินทางข้ามเมืองเจี้ยนเย่มาเกือบครึ่งเมือง เขาก็เห็นเงาร่างนั้นหายลับเข้าไปในเรือนอันหรูหรางดงามที่มีแสงโคมไฟสว่างเรืองรองแห่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงดนตรีขับขานบทเพลงดังมาจากด้านในเรือน เสียงผู้คนเอะอะครื้นเครงรวมถึงภาพรถม้าที่จอดเรียงรายเป็นแถวหน้าเรือนทำให้ชิวอวี้เฟยขมวดคิ้ว พอคาดเดาฐานะของเงาร่างนั้นออกแล้ว แต่เขามิจำเป็นต้องยุ่งกับเรื่องที่มิใช่เรื่องของตนเองเหล่านี้ ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับเดินจากไปนั่นเอง เสียงพิณเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากห้องหอ

เท้าของชิวอวี้เฟยหยุดชะงัก เหล่านางโลมบรรลงพิณให้แขกสำเริงสำราญย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่เสียงพิณนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง บรรเลงเพลง ‘ชมโฉมกล้วยไม้[1]’ ถ่ายทอดความคับแค้นแต่ยังแฝงความผ่องแผ้วพิสุทธิ์

ชิวอวี้เฟยตั้งสมาธิดื่มด่ำกับดนตรี คนดีดบรรเลงบทเพลงได้อ่อนหวาน ท่วงทำนองเพลงพรรณนาความรู้สึกสงสารตนเองที่ต้องร่วงหล่นสู่คาวโลกีย์ ดุจดอกกล้วยไม้หอมรวยรินถือกำเนิดกลางป่ารก เกิดมาไม่ถูกยุคสมัย มิว่าทักษะการบรรเลงนิ้ว หรือการถ่ายทอดห้วงอารมณ์ในจิตใจ ล้วนสื่อความนัยของบทเพลงนี้ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ

แต่เดิมชิวอวี้เฟยก็เป็นผู้รักคีตศิลป์เป็นที่สุด พอได้สดับฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย มิสนใจทั้งสิ้นว่าที่แห่งนี้เป็นถิ่นของศัตรู ย่างเท้าเข้าประตูใหญ่ของเรือนเงาจันทร์ประหนึ่งแขกผู้มาสรรหาคนงามคนหนึ่ง

มิจำเป็นต้องเปลืองแรงขยับปาก เพียงอาศัยรูปลักษณ์และเงินของชิวอวี้เฟยก็ทำให้เขาเดินเข้ามายังห้องของหลิงอวี่แห่งเรือนเงาจันทร์ได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ หลิงอวี่ผู้แสดงฝีมือในห้องโถงด้านหน้าเมื่อครู่กำลังรอต้อนรับแขก มิว่ารูปลักษณ์นุ่มนวลอ่อนหวาน ดวงหน้างามเฉิดฉินชวนหวั่นไหว หรือท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอม ล้วนทำให้คนตาพร่าลุ่มหลงมัวเมา ไม่นึกเสียใจที่จ่ายเงินทองมากมายเพื่อมาทำได้เพียงดื่มชาหนึ่งถ้วย สนทนาไม่กี่คำอย่างเด็ดขาด

ทว่าชิวอวี้เฟยกลับสัมผัสได้ถึงความเฉยเมยและความเหนื่อยล้าที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาของหลิงอวี่ สตรีนางนี้มิได้กำเริบเสิบสานเหมือนเช่นสำนักที่นางสังกัดอยู่ เสียงพิณถ่ายทอดจิตใจ บางทีนางอาจเป็นปทุมาขาวในแอ่งโคลนก็เป็นได้

เมื่อในใจชิวอวี้เฟยคิดเช่นนี้ เขาก็โยนข้อมูลเกี่ยวกับสตตรีนางนี้ที่เขาเคยได้รับก่อนเข้ามาในเจี้ยนเย่ทิ้งจนหมดสิ้น เขายิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “แม่นางหลิงอวี่เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งอันดับสองแห่งยุค มิทราบว่าข้าจะขอฟังแม่นางบรรเลงพิณอีกสักเพลงได้หรือไม่”

ดวงตาของหลิงอวี่ฉายแววประหลาดใจปราดหนึ่ง สีหน้าแลดูกระตือรือร้นขึ้นมาในบัดดล นางพินิจชิวอวี้เฟยอย่างจริงจัง ในใจเดาบางสิ่งได้ จึงเอ่ยว่า “คุณชายสี่คงเคยฟังปรมาจารย์บรรเลงพิณมาแล้ว มิทราบว่าฝีมือพิณของผู้น้อยมีข้อติใดที่น่าเสียดายหรือไม่”

ชิวอวี้เฟยเห็นหลิงอวี่เปิดปากก็ถามเรื่องดนตรี ในใจจึงยิ่งรู้สึกว่าสตรีนางนี้มิธรรมดา หากกล่าวถึงศาสตร์ดนตรี ทั่วใต้หล้ามิมีผู้ใดเหนือกว่าเขา แม้ฝีมือพิณของหลิงอวี่จะโดดเด่นกว่าผู้อื่น แต่ในสายตาของเขาก็ยังมีจุดที่ขัดเกลาได้ เขาจึงหยิบพิณโบราณของหลิงอวี่มาบรรเลงเพลง ‘ชมโฉมกล้วยไม้’ บทนั้นเมื่อครู่

ทันทีที่เสียงพิณดังขึ้น หลิงอวี่พลันกระตือตือร้นขึ้นมาทันที นางตั้งสมาธิฟังจุดที่เสียงพิณถูกเปลี่ยน โดยไม่รู้เลยว่าชิวอวี้เฟยใช้ลมปราณสกัดกั้นเสียงพิณเอาไว้ นอกจากนางแล้ว ทั่วทั้งเรือนเงาจันทร์มิมีผู้ใดได้ยินเสียงพิณอีก ถึงอย่างไรชิวอวี้เฟยก็ไม่คิดจะดึงความสนใจของสำนักเฟิงอี้

บทเพลงสิ้นสุด หลิงอวี่ดีใจเจียนคลั่ง นางรับพิณโบราณกลับมาบรรเลงอีกหน ชิวอวี้เฟยเห็นนางหลงใหลปานนี้ หัวใจก็ยิ่งชมชอบ ตัดสินใจไปยืนด้านหลังคอยชี้แนะวิธีขยับนิ้วและเคล็ดลับให้นางเป็นระยะ

รอจนกระทั่งหลิงอวี่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็เกือบยามจื่อแล้ว หากเป็นปกติคงมีคนมาไล่แขกนานแล้ว แต่หลิงอวี่ไม่ได้ส่งสัญญาณให้ไล่แขก ส่วนสำนักเฟิงอี้ทั้งบนล่างกำลังวุ่นวายเพราะความเสียหายอันแสนสาหัส ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวน แน่นอนว่าหลังจากนั้นชิวอวี้เฟยมิจำเป็นต้องสกัดกั้นเสียงอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็มีเพียงหลิงอวี่ที่กำลังฝึกบรรเลงพิณ หากทำเช่นนั้นจะกลับกลายเป็นว่าชักนำให้คนอื่นสงสัยง่ายขึ้น

[1]ชมโฉมกล้วยไม้ (猗兰操) เพลงที่ประพันธ์โดยขงจื่อหนึ่งในนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ใช้ดอกกล้วยไม้เปรียบเปรยถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกของตน