บทที่ 1089 บันทึกการเดินทา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1089 บันทึกการเดินทาง

บทที่ 1089 บันทึกการเดินทาง

เขาบอกว่าต้องการไปที่ร้านจิ่นฝูเพื่อจัดงานเลี้ยงด้วยตนเอง และเชิญทุกคนในสวนกู้ไปที่ร้านจิ่นฝูเพื่อใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน

หลังจากได้ยินเช่นนั้น กู้หนิงอันดูอึดอัดเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ท่านพี่ของข้ายังอยู่ที่เมืองรุ่ยเสียน นางยังไม่ได้กลับมา นางจึงส่งอาโม่มารับพวกเราและอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน เพราะในอีกไม่กี่วัน พี่สาวของข้าจะไปท่องเที่ยวข้างนอกกับพี่ใหญ่ฉิน”

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังถูกบีบจนแหลกเป็นส่วน ๆ

ความโศกเศร้าฉายชัดผ่านแววตา หากแต่ก็ยังคลี่ยิ้มออกมา “จริงหรือ มีสถานที่น่าสนใจหลายแห่งในเมืองรุ่ยเสียน คงจะดีมากหากไปฉลองที่นั่น”

เขาไม่ได้พูดถึงว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะไปท่องเที่ยวข้างนอกกับฉินเย่จือ และทำตัวราวกับไม่ได้ยินสิ่งนั้น

กู้หนิงอันแอบชำเลืองมองสวีเฉิงเจ๋อ และเห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาดของเขา

สวีเฉิงเจ๋อจ้องมองมาที่กู้หนิงอันตลอดเวลา แต่กู้หนิงอันพบว่าดวงตาของสวีเฉิงเจ๋อไม่ได้จ้องมองมาที่ตนเอง แต่ดูเหมือนว่ากำลังมองคนอื่นผ่านตัวตนของเขา และคนคนนั้นคือใคร กู้หนิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจ

แต่ว่านั่นเป็นเรื่องราวของพี่สาว

พี่สาวของเขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี และคงจะไม่ดีหากเขาพูดอะไรออกไป

ครอบครัวของสวีเฉิงเจ๋อปฏิบัติต่อตนเองอย่างดี แต่พวกเขาไม่สามารถบังคับความรู้สึกของผู้ใดได้ สวีเฉิงเจ๋อเป็นคนดี แต่ถ้าพี่สาวของเขาไม่ชอบ ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์

เมื่อกู้หนิงอันส่งข่าวเรียบร้อยก็รีบกลับบ้านทันที สวีเฉิงเจ๋อไปส่งเขาที่นอกเมืองโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนพวกเขาแยกจากกัน สวีเฉิงเจ๋อจึงพึมพำเพียงลำพัง “หนิงอัน…ถ้าเจ้าพบพี่สาวของเจ้าแล้ว ฝากทักทายนางด้วย…”

หากแต่เสียงนั้นส่งไปไม่ถึงหนิงอัน

หลังจากที่สวีเฉิงเจ๋อพูดจบ เขาก็หยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่งและส่งมันให้กู้หนิงอัน

พลางมองดูสิ่งของในมือด้วยแววตาหม่นหมอง และพูดอย่างแผ่วเบา “นี่คือของที่ข้าอยากมอบให้พี่สาวของเจ้ามาตลอด แต่ข้าไม่มีโอกาสเลย ตอนนี้ข้าคิดว่านางคงไม่ต้องการสิ่งนี้แล้ว”

มีคนพานางท่องเที่ยวแล้ว พวกเขายังจะต้องกังวลอะไรอีก

กู้หนิงอันมองสิ่งที่อยู่ในมือของสวีเฉิงเจ๋อ และพบว่ามันคือ ‘บันทึกการเดินทางในอาณาจักรต้าชิง’

แต่อักษรบนปกหนังสือช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

หากแต่ลายมือบนหนังสือนั้นดึงดูดสายตายิ่งนัก

มันคือลายมือของสวีเฉิงเจ๋อ…

สวีเฉิงเจ๋อยิ้มพลางมองดูท่าทางประหลาดใจของกู้หนิงอัน และอธิบายว่า “นี่คือรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดที่สามารถเห็นได้ในอาณาจักรต้าชิง ข้าได้บันทึกทุกสิ่งไว้ในหนังสือเล่มเล็กนี้แล้ว อนาคตมันจะสะดวกสำหรับพี่สาว”

ด้วยวิธีนี้อาจถือได้ว่าเขาพานางไปทั่วแม่น้ำและภูเขาอันยิ่งใหญ่

หนังสือในมือของกู้หนิงอันมีการแนะนำและที่อยู่ของจุดชมวิวทั้งหมดในอาณาจักรต้าชิง รวมถึงอาหารท้องถิ่น ในนั้นล้วนมีรายละเอียดมากมาย สวีเฉิงเจ๋อคิดเกี่ยวกับมันและใช้เวลามากมายในการทำหนังสือเล่มนี้ออกมา

“ท่านอาจารย์…” กู้หนิงอันต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาเอ่ยปากก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

เขาทำได้เพียงมองไปที่ด้านหลังของสวีเฉิงเจ๋อ และพึมพำว่า “ท่านอาจารย์สวี ท่านจะได้พบกับผู้หญิงที่ท่านชอบ และหญิงผู้นั้นจะต้องชอบท่านอย่างแน่นอน”

สวีเฉิงเจ๋อจากไปราวกับกำลังหลบหนีบางอย่าง

สวีเฉิงเจ๋อหันไปมองหนังสือเล่มเล็กในมือของกู้หนิงอัน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงกู้เสี่ยวหวาน

สิ่งที่นึกถึงคือ ใบหน้าที่สวยงามของกู้เสี่ยวหวาน ดวงตาสีดำและปากสีแดงสดเหล่านั้น

เมื่อนางมีความสุข เสียงหัวเราะของนางก้องกังวานราวกับเสียงระฆัง

ทุกอย่างผุดขึ้นมาในความคิดของเขา

ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา และตราตรึงฝังลึก

สวีเฉิงเจ๋อเดินไปทางหอหนังสืออวี้อย่างเศร้าซึม

ระหว่างทางที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ภายในหัวของเขามีแต่ชื่อของนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับยาพิษที่ทำให้หัวใจแตกสลาย เขาอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา

เขาชอบกู้เสี่ยวหวาน หากแต่เกลียดตัวเอง

เขาเป็นคนไร้ประโยชน์ เมื่อรักใครก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดออกมา ตอนนี้เมื่อตระกูลกู้เริ่มยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากขึ้น เขาก็ยังไม่กล้าพูดเช่นเดิม

ด้วยสถานะปัจจุบันของเขา เขาไม่ดีพอสำหรับกู้เสี่ยวหวานอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการไปสู่ขอกับตระกูลกู้ แม้แต่การบอกรักนางก็ไม่ยังไม่คู่ควร

แม้แต่มารดาของเขาเองก็ยังเกลี้ยกล่อมเขาให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย

ระหว่างทางเดิน สวีเฉิงเจ๋อได้ชะลอฝีเท้าลงและเปลี่ยนทิศทางไปยังนอกเมืองแทน

เขามองเห็นสวนกู้อยู่กลางขุนเขาจากระยะไกล

ตรงนี้คือที่ที่เขามักจะมายืนอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่มีเวลาว่าง เขาจะค่อยเฝ้ามองดูห่าง ๆ อยู่ตรงนี้ เนื่องจากการยืนอยู่ตรงนี้มันทำให้เห็นสวนกู้ได้

แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดและมองไม่เห็นความเป็นไปข้างใน แต่ก็ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ

เขารู้ว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ที่นั่น ตราบใดที่นางอยู่ที่นั่น แม้จะทำได้เพียงมองจากระยะไกล แต่เขาก็พึงพอใจ

แต่คราวนี้เขาเฝ้ามองจากระยะไกล แต่มันไม่สามารถเติมเต็มหัวใจอันว่างเปล่าของเขาได้เลย

ส่วนหนึ่งในร่างกายถูกตัดออกและไม่สามารถเติมเต็มได้อีกต่อไป

สายลมแห่งฤดูร้อนพัดผ่าน หากแต่ในใจกลับรู้สึกหนาวเหน็บ

สวีเฉิงเจ๋อเช็ดใบหน้าด้วยมือและตระหนักว่าตนเองกำลังร้องไห้

กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวาน

สวีเฉิงเจ๋อคำรามเสียงต่ำราวกับว่าต้องการพึ่งพาการระบายแบบนี้ เพื่อย้ำเตือนว่าตนเองยังมีความรู้สึก

สวีเฉิงเจ๋อยืนอยู่นอกเมือง จ้องมองสวนกู้ด้วยความเศร้า รอจนพระอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้ามือสนิทจึงกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ

ฮูหยินสวีกำลังรออย่างใจจดใจจ่อที่ประตูของหอหนังสืออวี้ เขาเป็นลูกชายของนาง และนางก็รับรู้ทุกอย่าง

นางรู้ว่าสวีเฉิงเจ๋อเป็นเด็กที่เชื่อฟังและเป็นคนดี รู้ว่าสวีเฉิงเจ๋อจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย จึงไม่ส่งใครไปตามหาเขา นางรออยู่ที่ประตูจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นก็เห็นสวีเฉิงเจ๋อกลับมาด้วยท่าทางเศร้าหมอง

เมื่อมองไปที่ท่าทางโดดเดี่ยวของสวีเฉิงเจ๋อ ฮูหยินสวีก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ

นางก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบและดึงสวีเฉิงเจ๋อไว้ นางพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายจะตำหนิ “เจ้าไปเล่นที่ไหนมา ทำไมไม่รู้จักกลับบ้าน พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เจ้าไม่หิวหรือ? แต่ว่าข้าหิว ข้ารอเจ้ามากินข้าวอยู่นะ”

——————————————————————–