บทที่ 1085 ล่วงหน้ากลับเมืองหลวง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1085 ล่วงหน้ากลับเมืองหลวง

บทที่ 1085 ล่วงหน้ากลับเมืองหลวง

ซูเสี่ยวเถียนเดินตามหลังเหลียงซิ่วและหวังเซียงฮวา เงี่ยหูฟังบทสนทนาเหมือนแสร้งไม่สนใจ

มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ตอนนี้เธอเป็นแค่เด็ก ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้น

แต่ว่าเถียนเสี่ยวเหอเป็นคนที่ฉลาดจริง ๆ นั่นละ

ไม่นาน ทั้งสามคนก็เดินทางมาถึงฟาร์มเพาะพันธุ์

ฉางซิ่วหลานในตอนนี้ก็ถือฟาร์มแห่งนี้เป็นบ้านของตนเองไม่ต่างไปจากหวังเซียงฮวาเมื่อก่อน

ตอนนี้พ่อแม่สามีและตัวสามีให้การสนับสนุนมาก แม้เธอจะยุ่งสายตัวแทบขาดจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตำหนิเธอเลย

อีกอย่างฟาร์มเพิ่งจะเริ่มต้นทำด้วยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จึงปล่อยให้ดูแลไปอย่างสบายใจ

ฉางซิ่วหลานยกยิ้มเมื่อเห็นคนอื่น ๆ มาถึง

“คุณป้า มากันแล้วเหรอคะ รีบเข้ามาเถอะข้างนอกหนาวมากเลย ผิงไฟกันก่อนนะคะ”

“อากาศแบบนี้หิมะใกล้ตกแล้วแน่เลย หนาวเข้ากระดูกเชียว” เหลียงซิ่วลูบมือ

“ก็จริงนะ ซิ่วหลาน ดูแลเรื่องความอบอุ่นในเล้าหมูกับไก่เรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม?”

“จากภาพที่ผู้ใหญ่บ้านเอามาให้ ข้างบนเราดามไม้ไว้แล้วค่ะ ถ้าหิมะตกก็เอารวงข้าวแห้งขึ้นไปคลุมได้ค่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าจะให้ดีต้องใช้พลาสติกคลุม

แต่เราไปสอบถามรอบ ๆ มาแล้ว พลาสติกขาดแคลนมาก และราคาก็แพงด้วยจึงทำได้แค่ยอมแพ้น่ะ

ซูเสี่ยวเถียนได้ยินก็เข้าใจ

เธอตั้งใจจะสนับสนุนเรื่องโรงเรือนฟิล์มพลาสติกปลูกผักอยู่ แล้วก็ติดต่อกับทางโรงงานพลาสติกมาแล้วด้วย ไว้ถึงเวลาอาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

พลาสติกราคาแพงเชียวละ กลัวก็แต่ฟาร์มเราไม่มีปัญญาจ่าย

แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนดีกว่า ไว้กลับไปปรึกษากับลุงฉางจิ่วก่อนแล้วกัน

หวังเซียงฮวาเคยมีประสบการณ์เรื่องผสมพันธุ์สัตว์อยู่ หลังจากคุยกับฉางซิ่วหลานก็เจอปัญหาหลายอย่าง แม้ไม่ได้ใหญ่โตในตอนนี้ แต่ผลที่ตามมาในภายหลังอาจร้ายแรงได้

“ขอบคุณมากนะคะคุณป้า ถ้าวันนี้ไม่ได้มาดูฉันก็เจอปัญหาพวกนี้”

“เกรงใจอะไรกันเล่า? ตอนที่เราทำงานด้วยกันเธอตั้งใจมากที่สุดเลยนะ”

ฉางซิ่วหลานยิ้มบาง พูดเรื่องนี้แล้วก็สมัยนั้นสถานการณ์ดีกว่าตอนนี้เยอะ

แล้วตั้งแต่วันนั้นที่บ้านก็เริ่มลำเอียงต่อลูกสาวน้อยลงเลยด้วย

พูดให้ชัด ๆ คือลูกสาวหาเงินได้น่ะ

ฉางซิ่วหลานไม่เคยเรียนหนังสือก็จริงแต่ไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหนผู้คนย่อมต้องพึ่งพาตนเองทั้งนั้น

และคนที่ทำได้จึงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น

หลายปีที่ผ่านมาจึงพยายามบากบั่นทำงานจนมาถึงจุดจุดนี้

“สองวันก่อนเพิ่งจะเจอคุณย่าฉางเองค่ะ ท่านยังชมพี่ว่าทั้งฉลาดทั้งเก่งเลย!” ซูเสี่ยวเถียนนึกถึงสีหน้าภาคภูมิใจของแม่เฒ่าฉางแล้วอยากจะหัวเราะ

เมื่อก่อนแม่เฒ่านั้นเคยพูดว่าอะไรนะ?

“ย่าพี่เปลี่ยนไปเยอะเลย โชคดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นชีวิตเราตอนนี้ก็คง…”

ฉางซิ่วหลานทอดถอนใจ แม้จะเอ่ยไม่จบแต่ทุกคนล้วนทราบดี

ถ้าแม่เฒ่าฉางไม่ได้เปลี่ยนนิสัยและยังทำตัวเหมือนเดิม ชีวิตผู้หญิงของตระกูลฉางคงไม่ดีเช่นนี้หรอก

ต่อให้แต่งงานออกไปแล้วก็ยังโดนกดดันบังคับอยู่ดี

“พี่ซิ่วหลานทำดีแล้วค่ะ หลังจากนี้ทำให้คุณย่าฉางเห็นไปเลยนะคะ ว่าลูกสาวก็ไม่ได้แย่ไปกว่าลูกชายหรอก!”

ฉางซิ่วหลานเข้าใจ แต่คงส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ยังไงลูกสาวก็ไม่ดีเท่าลูกชายหรอกนะ เสี่ยวเถียนคงไม่ได้ยินที่ท่านเอาแต่พูดว่าพี่ชายเธอเก่งอย่างนู้นอย่างนี้ทั้งวันสินะ!”

หญิงสาวเอ่ยขบขัน

ไม่ใช่แค่ย่าเธอหรอก มีคนแก่ ๆ ในหมู่บ้านที่ไหนไม่พูดบ้างล่ะ?

เมื่อก่อนท่านอิจฉาทุกวันเลย เดี๋ยวนี้ก็อิจฉาที่เด็ก ๆ บ้านนั้นได้เรียนหนังสือมีความสามารถเก่งกาจน่ะ

ถึงบางครั้งท่านจะเสียใจที่ไม่ให้ลูกหลานผู้หญิงที่บ้านเรียนหนังสือก็เถอะ ถ้าให้เรียนสักคนคงจะดีกว่านี้ก็ได้

“จะว่าไป ป้าฉางก็ถือว่าดีอยู่นะ ได้ยินว่าท่านยกสินสอดที่บ้านให้เธอหมดเลยนี่นา!” เหลียงซิ่วยิ้ม

“ฉันยังคาดไม่ถึงเหมือนกันค่ะ ตอนแรกคิดว่าแกจะเก็บสินสอดเราไว้ให้น้องชายเสียอีก!” ฉางซิ่วหลานตื้นตันใจมาก

“ตอนนั้นป้าฉางไม่ปล่อยวางเลยนะ”

ทั้งหวังเซียงฮวาและแม่ของซิ่วหลานแต่งเข้าตระกูลในปีเดียวกัน เธอให้กำเนิดลูกชาย ส่วนแม่ซิ่วหลานให้กำเนิดลูกสาว นับแต่นั้นมาแม่เฒ่าฉางก็ไม่มีความยินดีในใจเลย

ต่อมาตระกูลฉางก็มีลูกสาวอีก แล้วก็ให้กำเนิดหลานสาวอีกสองคน ส่วนตระกูลซูเอาแต่ได้หลานชาย จิตใจท่านก็เริ่มเอนเอียงแล้ว

บางทีคงเพราะตระกูลซูไม่ได้อยู่ที่นี่อีก ปีหนึ่งกลับมาสักครั้ง ท่านคงไม่มีคนให้เปรียบเทียบเลยคิดได้เองนั่นละ

หลังจากสนทนาพาคุยแก้ปัญหาเรื่องฟาร์มเสร็จ สมาชิกบ้านซูทั้งสามจึงขอตัวกลับบ้าน

แต่ทันทีที่กลับถึงบ้านก็ได้ข่าวว่ามีโทรศัพท์จากเมืองหลวงโทรมาด้วยเรื่องสำคัญ และขอให้เสิ่นจื่อเจินกับซูซานกงกลับไปด่วนที่สุด

ทีแรกตั้งใจว่าจะกลับวันที่หก แต่เพราะมีงานเข้าแถมเป็นเรื่องเร่งด่วนด้วย

เสิ่นจื่อเจินกล่าว “ซานกงเพิ่งแต่งงานน่ะสิ เดี๋ยวผมกลับไปคนเดียวดีกว่า”

เพิ่งแต่งงานมาหมาด ๆ ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรหากแยกหนุ่มสาวข้าวใหม่ปลามันออกจากกันตอนนี้

“แต่เขาเรียกหลานมันกลับไปด้วยนะ กลับไปเถอะ เสี่ยวเฉ่าตามไปด้วยก็พอ บ้านที่นั่นก็จัดการอะไรเรียบร้อยแล้วด้วย”

คุณปู่ซูคิดว่ากิจการบ้านเมืองของชาติสำคัญยิ่ง

เพราะเชื่อมาโดยตลอดว่าบ้านเมืองต้องมาก่อนครอบครัว หากสองสิ่งนี้เกิดเรื่องขัดแย้งเขาจะเลือกผลประโยชน์ของประเทศชาติก่อน

โดยเฉพาะกับซูซานกงที่เป็นส่วนหนึ่งของมัน จำต้องคิดถึงชาติให้มาก ๆ

คนรุ่นเก่ามีความคิดที่เรียบง่ายที่สุดแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นจื่อเจินพาสองสามีภรรยาเดินทางกลับเมืองหลวงแต่เช้า

ส่วนซูเถาฮวารอกลับไปพร้อมกับคนอื่น ๆ

เธอยังอยากเที่ยวเล่นกับญาติคนอื่น ๆ ต่ออีกหน่อย

เพราะไม่รู้ว่ารอบหน้าจะได้กลับมาหาพวกพี่น้องอีกเมื่อไร

วันนี้สะใภ้ทั้งสามของตระกูลซูจะแยกย้ายกลับบ้านเกิด

เหลียงซิ่วมีปมกับมัน ไม่อยากกลับเลยสักนิด

แต่แม่สามีบอกให้กลับไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ต่อให้หน้าตาไม่รับบุญก็กลับมา แค่นี้ก็ถือเป็นความกตัญญูที่จะทำให้ได้แล้ว

สุดท้ายตัวเธอ สามีพร้อมลูกทั้งสองอย่างเสี่ยวเถียนและเสี่ยวปาก็เดินทางกันไป

เป็นคำขอของลูกสาวน่ะ เพราะห่วงว่าแม่จะต้องทุกข์ทรมานตอนไปบ้านเหล่าเหลียงน่ะสิ