บทที่ 1086 ปล่อยวาง

บทที่ 1086 ปล่อยวาง

โชคดีที่หลังจากเสียเปรียบไป สองสามีภรรยาเหลียงก็ไม่ได้สร้างปัญหาอีก

แต่เวลาคนบ้านนั้นเห็นเหลียงซิ่วได้ดิบได้ดีก็ไม่ได้ยินดีราวกับคิดว่าไม่ใช่ลูกบ้านตัวเอง

และแม้จะไม่ได้พูดจาแสลงหู ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีแค่สีหน้าเย็นเฉียบ ไม่ได้เสิร์ฟน้ำร้อนให้เลยด้วย

เรื่องนี้เหลียงซิ่วปล่อยวางแล้วละ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเสียใจมากจนไม่สามารถหยุดคิดได้

แล้วครั้งนี้ตนกลับมาหนานหลิ่งทั้งที แต่ไม่ได้ไปหาพ่อแม่ ใครรู้เข้าเขาจะว่าลับหลังเอา

วันนี้ตนเดินทางมาพร้อมกับของขวัญหลายอย่าง คนเห็นกันเพียบ ถ้าพ่อแม่ไม่พอใจคนอื่นคงไม่เชื่อแล้วว่าเธอไม่ได้กตัญญู

เหลียงซิ่วคิดได้มานานแล้ว ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นความสำคัญกัน ความรู้สึกที่มีให้กันก็ไม่สำคัญเช่นกัน

พวกเธอทั้งสี่มานั่งรออยู่พักหนึ่ง

“ซิ่วเอ๋อร์ ที่บ้านยังมีธุระอื่นต่อนะ พวกเรากลับกันเถอะ อย่ากวนเวลากินข้าวพวกเขาเลย” ซูเหล่าซานเอ่ย ทำให้คนที่เหลือสีหน้าบิดเบี้ยวทันที

สองผู้อาวุโสฟังประโยคเสียดสีพวกนั้นออก

แต่ยังคงมองด้วยสีหน้าเย็นชา

ของขวัญมีหลายอย่างทั้งยังดูมีความประณีต ทว่ามันก็ดีแต่เปลือกทั้งนั้นละ

อะไรจะไปดีกว่าการให้เงินตรง ๆ เล่า

ลูกชายที่บ้านไม่มีปัญญาหาเงิน ส่วนลูกสะใภ้เอาแต่สร้างปัญหาทุกวี่วัน หลานชายโตเอา ๆ เรื่องสะใภ้อะไรนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แล้วถ้าลูกสาวลูกเขยดีจริงก็ต้องให้เงินสักหน่อยสิ ปัญหาจะได้คลี่คลาย

แล้วดูสองคนนี้สิ แสร้งทำเป็นคนโง่เง่า ไม่พูดอะไรที่ต้องพูดเลย

พอเห็นเสื้อผ้าหน้าผ่อนบนร่างซูเสี่ยวเถียน ก็ยิ่งขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน

นังเด็กดีใส่เสื้อผ้าดีขนาดนี้ เรายิ่งรู้สึกอยากผลาญเงินมันให้หมด

มันควรส่งมาให้เราสิ ทั้งที่น่าจะเหมาะกับพวกหลานชายกับสะใภ้มากกว่า!

แล้วเหลียงซิ่วใส่เสื้อผ้าดีขนาดนี้เชียวหรือ?

ไม่เห็นหัวพ่อแม่บ้างหรือไง

เหลียงซิ่วไม่ได้รับรู้ถึงความคิดสารพันในหัวสองผู้อาวุโส เธอมองสามีแล้วก็ลูก ๆ ทั้งสอง

ก่อนลุกขึ้นตามที่สามีบอก เหลียงซิ่วกล่าวตรง ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พ่อคะ แม่คะ งั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ พวกเราถือโอกาสมาเยี่ยมน่ะ ยังมีอีกหลายเรื่องต้องจัดการคงไม่อยู่รบกวนต่อแล้วค่ะ”

นี่ก็เพื่อไม่ให้อีกสองคนได้พูดมาก จุดประสงค์คือแค่มาเฉย ๆ งั้นก็กลับเลยแล้วกัน

แถมฝั่งนี้ก็ไม่ได้เตรียมอะไรต้อนรับเราด้วย ต่อให้เตรียมก็มีแต่กลัวเรากินไม่หยุดมากกว่า

สองผู้อาวุโสที่คิดปล่อยไปเฉย ๆ ก่อน รอให้พวกเขารู้สึกแล้วค่อยใช้กลยุทธ์ประนีประนอม

แต่ใครจะรู้เล่าว่าเข้ามาได้สิบนาทีก็ลุกไปแล้ว น่าโมโหตายจริง ๆ

“นังนี่ ทำไมตายด้านแบบนี้? ไม่ได้กลับบ้านมากี่ชาติแล้ว? อยู่ได้สองนาทีก็จะกลับแล้วหรือ? กลัวฉันฉกฉวยผลประโยชน์จากแกหรือยังไง?” แม่เฒ่าเหลียงทนไม่ไหว

เหลียงซิ่วยิ้ม “ไม่ใช่ว่าพ่อแม่กลัวเองหรอกหรือคะ? พวกเราเข้าบ้านมาตั้งนาน น้ำท่าไม่เห็นจะเอามาให้เลย สงสัยสองปีมานี้ฟืนน่าจะเป็นของล้ำค่าสินะคะ”

สองอาวุโสไม่รู้ว่าเหลียงซิ่วพูดจาไม่เกรงอกเกรงใจใส่ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี

ตอนนั้นเองที่เหลียงซิ่วอาศัยจังหวะที่ทั้งสองกำลังสับสนพาลูกและสามีออกไป

กว่าจะตอบสนองได้ แขกที่มาหาก็จากไปแล้ว

และไม่รู้ด้วยว่าออกไปพูดกับใครบ้างหรือเปล่า

“ไอ้ลูกไม่รักดีนี่มันทำฉันโมโหแทบตาย!” เหล่าเหลียงเอ่ยด้วยความโกรธจัด

แผนการล่มไม่เป็นท่า จะไม่ให้โมโหได้ยังไง?

“ใคร ๆ ก็บอกว่าลูกสาวมันพึ่งพาไม่ได้ ดูมันซิ เห็นก็รู้แล้วว่าพึ่งอะไรไม่ได้เลย!” แม่เฒ่าเหลียงตวาด “รู้แบบนี้กดมันจมขี้จมเยี่ยวให้ตายไปตั้งนานแล้ว”

คนทั้งสี่ไม่รู้เลยว่าคนในบ้านกำลังสาปแช่งอะไรพวกเขาบ้าง

ต่อให้รู้ก็ไม่สนใจหรอก

หลังจากคุยกับคนด้านนอกอีกนิดหน่อยเพื่อแสดงถึงความจริงใจที่มาเยี่ยมพ่อแม่ ทุกคนก็รีบเดินออกไปจากหมู่บ้าน

คนที่เหลือสนทนาต่อ ว่าเหลียงซิ่วเป็นลูกสาวที่โชคดี ตอนแต่งเข้าบ้านครั้งแรกตระกูลซูยากจนมากเลย แต่ตอนนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วนะ

ไอ้ความอิจฉาริษยาย่อมมีอยู่แล้ว

แต่ทุกคนมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันว่า สองสามีภรรยาเหลียงคือคนโง่

ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่รู้จักดูแลลูกสาวกับเขยที่ร่ำรวยให้มันดี ๆ เล่า?

แล้วตอนที่มาคนก็ไม่ได้เห็นถุงใบเล็กใบใหญ่ที่เขาเอามาให้ด้วย ตอนกลับจึงมีแต่มือเปล่าเท่านั้น

ครอบครัวซูเสี่ยวเถียนเดินทางกลับท่ามกลางลมหนาวอย่างมีความสุข

เหลียงซิ่วยังพูดเลยว่า ตอนนั้นที่มาเสี่ยวเถียนบอกให้แบกหินกลับบ้านไปด้วย

เด็กสาวหัวเราะ มันคือหินหยกชั้นดีเลยนะ รออีกหลายปีข้างหน้าราคามันเพิ่มเมื่อไรไว้ไปขายแล้วกัน

ระหว่างทางเราเจอกับครอบครัวเถียนเสี่ยวเหอด้วย

พวกเขาไม่ได้แต่งตัวดูดีเท่าไร ทั่วทั้งร่างมีแต่เสื้อผ้าปุปะ

หญิงสาวเห็นแต่ไม่คิดทัก ทั้งยังส่งเสียงร้องเหอะแสดงถึงความไม่พอใจ

แน่นอนว่าเราเองก็ไม่คิดจะยิ้มหน้าระรื่นให้อยู่แล้ว ไม่ทักไม่ทายเดินผ่านไปเลย

เถียนเสี่ยวเหอมองคนกลุ่มนั้นด้วยความไม่พอใจ “พรุ่งนี้ฉันจะต้องเอาสร้อยคอนังเสี่ยวเฉ่ามาให้ได้!”

สร้อยดูหนักกว่ามาก

ต่างหูอันยังเล็กนิดเดียวไม่คุ้มเงินหรอก

“เสี่ยวเหอ ช่างมันดีกว่าไหม เรามาตั้งใจทำงานหาเงินซื้อสร้อยให้คุณก็ได้นี่”

ซูผิงอันมองคนบ้านซู จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าควรสนิท ๆ กับพวกเขาไว้ จะทำร้ายกันต่อไปไม่ได้

ไม่เห็นคนที่เขาสนิท ๆ ด้วยหรือ ชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนั้นเลย

ทว่าเถียนเสี่ยวเหอไม่มีความคิดเช่นนั้นสักนิด

“ซื้อหรือ? มีเงินหรือไง?” หญิงสาวพูดจาดูถูก

ฝ่ายสามีไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

เขากำลังคิดอยู่ว่า ทำไมพ่อแม่ถึงเปลี่ยนชื่อแซ่เสี่ยวเฉ่ากะทันหันแบบนี้?

ใคร ๆ ก็รู้กันหมดแล้วนี่ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ บ้านเรา หรือเพื่อเป็นการป้องกันพวกเรา

สามีภรรยาเฒ่าคงไม่อยากให้พวกเขาใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายอีกต่อไป

“คุณนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ของแบบนั้นมันหาง่าย ๆ เสียที่ไหนล่ะ? ทำงานหาเงินมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง? พ่อแม่คุณไม่ให้เงินเราแล้วนะ ฉันจะได้ซื้อสร้อยทองเมื่อไรล่ะ?”

“แล้วนั่นก็สร้อยคอทองคำ ไม่ใช่ปลอกคอเงินให้หมามันใส่ ดูสภาพตัวเองด้วย ชาตินี้ฉันคงไม่ได้ซื้อสักทีหรอก”