ตอนที่ 270-1 แก้พิษ วั่งซูได้สมบัติ
ชนเผ่าถ่าน่าไม่มีฤดูหนาว วสันต์มาเยือนเร็วตั้งแต่เดือนสอง แสงตะวันเจิดจ้า สายลมอ่อนพัดพาความอบอุ่นมาเยือน
ตำหนักโหราจารย์ถูกแสงตะวันสีทองอร่ามอาบไล้จนเปล่งประกายเรืองรอง ดูเคร่งขรึมในขณะเดียวกันก็โอ่อ่าอลังการ
บ้านเรือนของชาวเผ่าผู้ประสบภัยพิบัติถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่หมดแล้ว ชาวเผ่าที่อาศัยอยู่ในตำหนักจึงทยอยย้ายออกไป ตำหนักโหราจารย์กลับมาเงียบสงัดดังวันวาน ทว่าวันนี้มันกลับมาคึกคักอีกหน ผู้นำกับชาวเผ่าทั้งหลายเร่งรีบมารวมตัวกันอยู่นอกตำหนักจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาจับจ้องตำหนักโหราจารย์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใสและซาบซึ้ง
ผู้อาวุโสใหญ่เดินออกมา
ฝูงชนปั่นป่วนพักหนึ่ง ทุกคนต้องการจะดันไปข้างหน้า แต่ก็ถูกเบียดอยู่ด้วยกัน ผู้ใดก็ไม่มีหนทางก้าวไปข้างหน้าก่อนทั้งนั้น
ผู้อาวุโสใหญ่ชูสองมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง ฝูงชนค่อยๆ เงียบลง
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยเสียงอันน่าเกรงขาม “ทุกคนไม่ต้องร้อนใจ ฟังข้าพูดให้จบ ท่านโหราจารย์หาวิธีแก้พิษแมลงกู่พบแล้ว ท่านเขยกับหมอทั้งหลายกำลังทุ่มเต็มต้มยาให้ทุกคน ทุกคนล้วนจะได้รับยา ห่างกันเวลาหนึ่งวันหรือสองวันผลไม่ต่างกันมาก ทุกคนไม่จำเป็นต้องแย่งกัน ตอนนี้ขอให้ทุกคนไปรับป้ายที่กองทหารม้าเหล็กก่อน พอได้ยินหมายเลขบนป้ายของผู้ใด ผู้นั้นก็เข้าไป”
กองทัพม้าเหล็กอยู่ทางฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของโถงตำหนัก แต่ละฝั่งมีจุดรับป้ายหนึ่งจุด ฝั่งตะวันออกแจกหมายเลขคี่ หนึ่ง สาม ห้า เจ็ด ฝั่งตะวันตกแจกเลขคู่ สอง สี่ หก แปด เรียงกันไปเช่นนี้
ทุกคนแห่แหนเข้าไปรุมล้อม แต่เพราะความน่าเกรงขามของกองทัพม้าเหล็ก สถานการณ์จึงไม่หลุดจากการควบคุม ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
ป้ายสำหรับวันนี้ถูกแจกจ่ายหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้เป็นป้ายของวันพรุ่งนี้กับวันมะรืน สรุปก็คือรับประกันว่าทุกคนจะได้รับ
ชาวเผ่าบนเกาะเดินทางมาที่เมืองน้อยเพื่อแก้พิษเป็นจำนวนมาก มีทั้งชาวบ้านธรรมดาและมีทั้งชนชั้นสูง นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นหากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาล้วนเป็นทายาทของทาสต้องโทษ แม้แต่หมอก็ไม่ยินดีจะมาเยือนเมืองน้อย นับประสาอะไรกับชนชั้นสูงผู้สูงส่งเล่า
แต่เกรงว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป ชนชั้นสูงเหล่านี้คงมากันไม่ขาดแล้ว ผู้ใดให้ที่นี่มีตำหนักโหราจารย์แห่งนี้ผุดขึ้นมาเล่า
เมืองน้อยได้อาศัยรัศมีของตำหนักโหราจารย์จึงไม่ใช่สถานที่ยากจนและต้อยต่ำอีกต่อไป องค์เทพคุ้มครองพวกเขา มิเช่นนั้นเหตุใดคนทั้งเกาะล้วนต้องพิษแต่มีเพียงพวกเขาที่รอดพ้นภัย
บ้านสร้างใหม่เสร็จแล้ว ใหญ่โตกว่าเดิม สว่างกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ชาวบ้านผู้ประสบภัยย้ายเข้าไปในบ้านหลังใหม่ เริ่มต้นทำกิจการใหม่ ทุกสิ่งกำลังเริ่มต้นแตกต่างไปจากเดิม
บนรถม้าที่อยู่ไม่ไกล เหอจั๋วมองเมืองน้อยอันเจริญรุ่งเรือง ดวงตาเผยความปลื้มปิติอย่างหาได้ยากออกมาเจือจาง “ข้าจำได้ว่าหลายปีก่อนข้าเคยมาเยือนที่แห่งนี้ มันไม่ได้มีสภาพเป็นเช่นนี้”
“แล้วมันสภาพเป็นเช่นไรเจ้าคะ” นางกำนัลชิงเหยียนไม่เคยมาเยือน
เหอจั๋วหวนนึกถึงเมืองน้อยอันทรุดโทรมแห่งนั้น แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ “สรุปก็คือไม่เหมือนสภาพเช่นนี้”
“แล้ว…ตอนนี้ดีหรือว่าไม่ดีเจ้าคะ” นางกำนัลชิงเหยียนถาม
เหอจั๋วไม่เสียเวลาคิด “ย่อมดีสิ”
นางกำนัลชิงเหยียนยิ้ม เหอจั๋วใส่ใจชาวเผ่า ในเมื่อฝั่งนี้เปลี่ยนแปลงมาสู่สิ่งที่ดี ในหัวใจของเหอจั๋วย่อมดีใจยิ่งนัก
เหอจั๋วกล่าวว่า “ไปตระเวนดูที่อื่นอีกเถิด ข้าไม่ได้ออกมาดูบนเกาะหลายปีแล้ว รู้สึกคิดถึงอยู่นิดๆ”
นางกำนัลชิงเหยียนหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งขึ้นมาคลุมให้เขา “ท่านล้มป่วยมานานเกินไปแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งรถม้าเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเกาะ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างทางใต้กับทางเหนือของเกาะ มีทะเลสาบน้ำจืดธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะอยู่ รอบทะเลสาบมีภูเขาสูงและมีที่ราบ ภูเขาเป็นภูเขาร้าง ส่วนบนพื้นราบปลูกต้นอ่อนข้าวสาลี ต้นอ่อนข้าวสาลีส่วนใหญ่จะงอกออกจากเมล็ดระหว่างเดือนสิบกับเดือนสิบเอ็ดของปีก่อน แล้วจะเก็บเกี่ยวได้ช่วงเดือนสี่ถึงเดือนห้า ตอนนี้เดือนสองเป็นช่วงเวลาที่ต้นข้าวสาลีเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เพราะปลูกไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อทอดสายตามองไปจึงเห็นผืนดินสีเขียวเพียงหรอมแหรม
เฉียวเวยยืนอยู่บนคันนา ปลายนิ้วขยี้ดินก้อนหนึ่ง เบื้องหน้านางคือผืนนาที่ยังไม่ได้เพาะปลูกผืนหนึ่ง ชาวนาชายหญิงสิบกว่าคนมองนางอย่างประหลาดใจ
นางกล่าวขึ้นว่า “ความจริงดินที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ขอเพียงเพาะปลูกให้ดีย่อมปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้มากยิ่งกว่าจงหยวน”
คำพูดนี้กล่าวเกินจริงไปสักหน่อย อย่างไรเสียจงหยวนก็มีผืนดินกว้างใหญ่ เกาะนิรนามมีผืนดินเท่าเม็ดกระสุน ต่อให้เอาทั่วทั้งเกาะมาปลูกพืชก็ปลูกได้ไม่เท่าจงหยวน แต่หากพูดถึงผลผลิตต่อหนึ่งหมู่ ที่แห่งนี้ไม่แน่ว่าจะแพ้
ภายในเผ่ามีพืชพันธุ์ธัญญาหารน้อย ประการแรกเป็นเพราะคนเพาะปลูกน้อย ประการที่สองเป็นเพราะเครื่องไม้เครื่องมือล้าหลัง แม้แต่คันไถที่พวกเขาใช้ไถนาก็ยังเป็นไม้ทั้งหมด ในจงหยวนเปลี่ยนเป็นหัวเหล็กหมดตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว ส่วนประการที่สามเกี่ยวกับเรื่องที่ทรัพยากรอย่างอื่นเพียงพอเติมเต็มความต้องการของคนเบาเกาะ ยกตัวอย่างเช่นในจงหยวนอาหารทะเลแพงอย่างยิ่ง แต่พอมาเป็นที่นี่ อาหารทะเลเอามากินเป็นข้าวได้
แต่หลังจากแก้พิษแมลงกู่แล้ว ความสามารถในการเจริญพันธุ์ของคนบนเกาะย่อมเพิ่มมากขึ้น ประชากรจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการธัญพืชจะเพิ่มทบทวีขึ้นทุกวัน ดังนั้นการเพิ่มปริมาณอาหารจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
เฉียวเวยให้โรงตีเหล็กสร้างเครื่องมือทำการเกษตรชุดใหม่ตามความต้องการของนางมาตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว วันนี้นางนำมันมาแจกจ่ายแก่ชาวนาโดยไม่คิดเงิน นางสาธิตวิธีใช้ ทุกคนเผยแววตาตกตะลึง พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าที่แท้ไถนาจะทำได้เร็วเช่นนี้!
นอกเหนือจากนี้ เฉียวเวยยังอธิบายวิธีเพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตรอีกจำนวนไม่น้อย ตัวอย่างเช่นดินอย่างไรปลูกพืชอะไรได้ เวลาใดควรหว่านเมล็ด เวลาใดควรกำจัดแมลงร้าย เวลาใดควรถอนวัชพืช เวลาใดควรเก็บเกี่ยว จะเก็บเกี่ยวอย่างไรเป็นต้น
ความจริงก่อนหน้าเฉียวเวย สำนักผู้อาวุโสก็เคยส่งลูกศิษย์ที่วิจัยเกี่ยวการการเกษตรมาเผยแพร่ความรู้ให้แก่ทุกคน แต่ลูกศิษย์เหล่านั้นพูดแต่เรื่องที่อยู่ในตำรา เนื้อหาลึกซึ้งเกินไป พวกเขาจึงฟังไม่เข้าใจ ไม่เหมือนเฉียวเวยที่เคยเพาะปลูกมาก่อน นางพูดถึงแต่สิ่งที่เห็นอยู่จริงๆ ถ้อยคำที่ใช้ก็เข้าใจง่าย ทุกคนจึงได้ประโยชน์ไปไม่น้อย หากเปลี่ยนเป็นการฝึกยุทธ์คงกล่าวได้ว่าจู่ๆ ก็ได้ทะลวงเส้นลมปราณทั้งร่างจนลมปราณไหลคล่อง
แม้เหอจั๋วจะเลอะเลือนในเรื่องตำหนักธิดาเทพ แต่ความจริงแล้วเขาเองก็เป็นเหอจั๋วที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เขากำจัดระบบภาษีที่ยุ่บยั่บและโหดร้าย ภาษีของชาวนาจึงลดจากตอนแรกสี่ส่วนเหลือเพียงสองส่วนในวันนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใส่ใจชาวนากดดันพ่อค้า ดังนั้นภาษีของพ่อค้าเองก็ไม่ได้สูงจนน่ากลัวเช่นในจงหยวน
บนเกาะมีกองทัพเป็นของตัวเอง แต่เสบียงของทหารในกองทัพไม่ได้มาจากประชาชน พวกเขาเพาะปลูกเอง จับปลาเอง ล่าสัตว์เอง
ดังนั้นกล่าวโดยรวมก็คือขอเพียงชาวบ้านบนเกาะไม่เกียจคร้าน ส่วนใหญ่ก็สามารถมีชีวิตอย่างสงบสุข
“จั๋วหม่าน้อย ท่านคิดว่าบนเขาจะเพาะปลูกได้หรือไม่” หญิงชาวนาคนหนึ่งถาม
เฉียวเวยมองดูแล้วตอบว่า “ก็ปลูกได้เหมือนกัน ไป ไปดูกันก่อน!”
พวกเขาเดินเป็นขบวนตามเฉียวเวยขึ้นไปบนเขา
“ตรงนี้ปลูกต้นชาได้…” เฉียวเวยยืนอยู่บนเนินเขาแล้วบอกอย่างอดทน
“จั๋วหม่าน้อยมีความรู้มากมายนักจริงๆ” นางกำนัลชิงเหยียนยิ้มน้อยๆ
ลึกลงไปในดวงตาของเหอจั๋วยากจะปกปิดความอัศจรรย์ใจและความปลาบปลื้ม แต่หากแยกแยะให้ดีก็จะพบว่ามีความปวดใจจางๆ แฝงอยู่ด้วย “นางคงโตมาลำบาก”
…