เล่ม 1 ตอนที่ 270-2 แก้พิษ วั่งซูได้สมบัติ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 270-2 แก้พิษ วั่งซูได้สมบัติ

สุดท้ายเหอจั๋วก็เดินทางไปตำหนักธิดาเทพ

ตำหนักธิดาเทพว่างเปล่าร้างไร้คนมานานแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์และความรุ่งเรืองในวันวานมิอาจย้อนคืน เหอจั๋วยืนอยู่กลางตำหนักที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าซับซ้อน

นางกำนัลชิงเหยียนตามอยู่ด้านหลังเขาอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงรบกวน

นางรู้ว่าในใจเขากำลังคิดสิ่งใด ตำหนักธิดาเทพทำเรื่องเลวร้ายมากมาย คนเหล่านั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ทว่าที่แห่งนี้อย่างไรก็เคยบรรจุความศรัทธากับความทรงจำเกือบครึ่งชีวิตของเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงภาพในอดีตอันแจ่มชัดเหล่านั้นเทียบกับความจริงอันโหดร้าย หัวใจก็มักจะมีความเศร้าโศกและขมขื่นอันยากจะพรรณนาผุดพรายขึ้นมาเสมอ

เหอจั๋วมาถึงตำหนักด้านหลัง เขายืนอยู่หน้าห้องๆ หนึ่ง บานประตูเปิดอ้าอยู่ บนพื้นมีหีบเย็นเฉียบวางอยู่หลายใบ เหอจั๋วเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าแล้วเปิดหีบออก เขามองดูข้าวของที่ธิดาเทพเคยใช้แล้วยืนนิ่งไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน

นางกำนัลชิงเหยียนเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา นางลังเลครู่หนึ่งก็ถามออกมาว่า “เหอจั๋วคิดถึงธิดาเทพหรือเจ้าคะ”

เหอจั๋วไม่เอ่ยคำใด

นางกำนัลชิงเหยียนเอ่ยเสียงเบา “ข้าทราบว่าท่านมองนางเป็นเสมือนลูกของตนมาตลอด ข้าไม่เคยมีลูก ข้าจึงไม่ทราบว่าหากลูกของข้าทำผิด ข้าจะรู้สึกเช่นไร แต่ตอนยังเล็ก ข้ามักจะทำข้าวของของมารดาแตกเสียหายเสมอ ข้ายังเคยทำให้แม่ของข้าหกล้มจนขาหักอีกด้วย แต่มารดาของข้าไม่เคยกล่าวโทษข้า ข้าเป็นลูกสาวของนาง ไม่ว่าข้าทำเรื่องผิดมากเท่าใด ต่อให้เรื่องเหล่านั้นทำร้ายนางเข้า นางก็ยังตัดใจตำหนิข้าไม่ได้ ในใจท่าน…ก็คงกล่าวโทษธิดาเทพไม่ลงเช่นกันใช่หรือไม่”

เหอจั๋วยังคงไม่พูดจา เขาปิดฝาหีบ แล้วเดินจากไปพร้อมกับสีหน้าเฉยชา

นางกำนัลชิงเหยียนรู้ดีว่าเวลานี้ บุรุษผู้นี้ปล่อยวางความสงสารที่มีต่อธิดาเทพลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะบอกว่าเขามองธิดาเทพเป็นเสมือนลูกของตนเอง เขาอาจะไม่ถือสาเรื่องที่ธิดาเทพทำร้ายเขา แต่เขาไม่มีวันอภัยเรื่องที่ธิดาเทพกระทำกับจั๋วหม่าและครอบครัวของจั๋วหม่าน้อยได้

นางกำนัลชิงเหยียนเก็บสีหน้าอย่างระมัดระวัง นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “เด็กๆ”

หญิงรับใช้เดินเข้ามา “นางกำนัลชิงเหยียน”

นางกำนัลชิงเหยียนสั่งด้วยเสียงเย็นชา “ขนของเหล่านี้ไปที่ด้านหลังเรือน…แล้วเผาซะ”

“เจ้าค่ะ”

เหอจั๋วเดินออกมาจากเรือน

“หลีกทางหน่อย! หลีกทางหน่อย!” องครักษ์คนหนึ่งอุ้มกระถางต้นไม้ที่กองสูงกว่าหัวเขาเดินผ่านมาจากในห้องโถงใหญ่

เขาย่อมไม่รู้ว่าเหอจั๋วมาที่ตำหนัก

เหอจั๋วหลีกทางให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ

เขาอุ้มกระถางต้นไม้หลายใบขึ้นไปบนรถม้าแล้วหอบแฮ่กๆ บอกว่า “ระวังหน่อย ต้นสองภพพวกนี้ จั๋วหม่าน้อยจะเอา ห้ามทำเสียแม้แต่ต้นเดียว!”

เพราะต้องย้ายสวนผลไม้ที่ตำหนักธิดาเทพไปยังปราสาทเฮ่อหลัน เจ้าตัวน้อยทั้งสามจึงวิ่งมาเก็บส่วนที่ตกหล่น แล้วพวกตัวจ้อยทั้งสามก็หาผลไม้ที่เพิ่งออกผลมาใหม่พบจริงๆ เจ้าตัวน้อยทั้งสามเด็ดมาอย่างไม่ลังเลสักนิดแล้วไปนั่งเคี้ยวหงุบหงับอยู่ตรงบันไดนอกตำหนัก

เหอจั๋วที่แต่เดิมอารมณ์หม่นหมองอย่างยิ่งพอเห็นภาพนี้จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

ตอนที่เหอจั๋วออกมาจากตำหนักธิดาเทพ เขาอารมณ์ดียิ่งนัก บนรถม้าที่แล่นกลับปราสาทเฮ่อหลัน เจ้าตัวจ้อยทั้งสามนั่งอยู่ด้านข้าง เจ้าตัวน้อยทั้งสามนับว่ากำลังแอบลักกินระหว่างทำงาน จะให้เถ้าแก่รู้ไม่ได้ ดังนั้นพวกมันจึงกินอย่างตั้งอกตั้งใจนัก ต้องรีบ ‘จัดการ’ ผลสองภพทั้งหมดให้สะอาดเกลี้ยงก่อนกลับไปพบเฉียวเวย

เหอจั๋วสั่งให้รถม้าแล่นช้าๆ อย่างใส่ใจ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยทั้งสามแบ่งผลสองภพลูกสุดท้ายกันจนเรียบร้อย กินกันจนหนังท้องกลมดิก ยืนยังลุกขึ้นยืนไม่ไหว จึงขยับยิ้มให้รถม้าเข้าไปในปราสาทเฮ่อหลัน

ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ยามนี้พอมีคนที่ห่วงหามากมาย ออกไปเดินเที่ยวรอบหนึ่งก็อยากปรี่กลับบ้านเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่งอยู่บ้าง

“จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า” เขาถาม

หญิงรับใช้ที่ประตูแจ้งว่า “จิ่งอวิ๋นคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือ วั่งซูคุยกับท่านโหราจารย์อยู่ที่เรือนทิศใต้เจ้าค่ะ”

“ท่านอา ท่านดูสิ นี่คือเสือทองคำ นี่คือแท่งทองคำ (ความจริงมันคือแท่นฝนหมึก) แล้วยังมีไข่มุกเม็ดนี้กับหวี พวกนี้ล้วนเป็นของขวัญแรกพบที่ท่านตามอบให้ข้า กระโปรงแสนสวยตัวนี้เป็นของขวัญแรกพบที่ไซน่าฮูหยินมอบให้ข้า ไข่มุกที่เรืองแสงนี่เป็นของขวัญแรกพบที่ท่านยายของข้ามอบให้ข้า”

วั่งซูยกหีบออกมาเทของขวัญที่ตนเองได้มาจากชนเผ่าถ่าน่าลงบนโต๊ะ ทุกสิ่งทอประกายสีทองวิบวับ ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแล้วน้ำลายไหลยืด

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เหตุไฉนมีคนมากมายเช่นนี้มอบของขวัญแรกพบให้เจ้าเล่า”

วั่งซูผายมือ แล้วตอบด้วยท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย “เพราะข้ายังเด็กอย่างไรเล่า เด็กน้อยย่อมมีคนมอบของขวัญให้ ท่านอาโตจนตัวเท่านี้แล้วย่อมมอบให้ไม่ได้แล้วน่ะสิ!”

‘ให้ข้าสักชิ้นสิ’ ประโยคนี้ติดอยู่ในลำคอของใต้เท้าเจ้าสำนัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอม แล้วเอ่ยอย่างวางท่า “ความจริง…ข้าก็เตรียมของขวัญแรกพบให้พวกเจ้าเหมือนกัน!”

วั่งซูตัวน้อยตาเป็นประกาย “จริงหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ต้องจริงแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นคนใจกว้างและเป็นคนดีขนาดนี้ จะไม่เตรียมของขวัญแรกพบให้หลานชายตัวน้อยกับหลานสาวตัวน้อยของตัวเองได้หรือ ความจริงข้าเตรียมไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว อยากจะให้พวกเจ้าตั้งนานแล้ว…แต่ว่า…”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไป

วั่งซูมองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ “แต่ว่าอะไรหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหีบร้อยสมบัติบนโต๊ะ “เห็นหีบใบนี้หรือไม่ ของที่ใส่อยู่ด้านในล้วนเป็นของขวัญแรกพบที่ข้าเตรียมไว้ให้พวกเจ้า แต่น่าเสียดาย ข้าทำกุญแจหายเสียแล้ว ดังนั้น…ดังนั้นจึงเปิดไม่ออก! แม่กุญแจอันนี้ไม่ใช่แม่กุญแจธรรมดา แม้แต่ช่างทำกุญแจของปราสาทเฮ่อหลันก็เปิดไม่ออก รอเมื่อใดข้าหากุญแจพบแล้ว ค่อย…”

เขายังเอ่ยไม่ทันจบ วั่งซูก็คว้าแม่กุญแจแล้วบิดเบาๆ แม่กุญแจหักในทันใด

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”

ครึ่งเค่อหลังจากนั้น วั่งซูตัวน้อยก็อุ้มหีบแสนสวยใบใหญ่วิ่งตึงตังออกไป “พี่ชาย มาดูเร็วเข้า! ท่านอามอบของให้พวกเราตั้งเยอะ!”

ในใจของใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังหลั่งเลือด หลั่งเลือดแล้วหลั่งเลือดอีก!

“มอบของดีอันใดให้หรือจึงดีใจเช่นนี้” เสียงอันอ่อนโยนและรักใคร่ของเหอจั๋วดังขึ้นตรงมุมกำแพง

วั่งซูวิ่งตึงตังเข้าไปหา แล้วเงยหน้าสีชมพูระเรื่อขึ้นยิ้มหวาน “ท่านตาทวด!”

เหอจั๋วถูกเรียกเช่นนี้ หัวใจก็รู้สึกอบอุ่น เห็นนางอุ้มหีบใบใหญ่ที่มีของสีทองวิบวับอยู่ข้างในก็ยิ้ม “สมบัติมากมายเช่นนี้ ผู้ใดมอบให้เล่า”

วั่งซูยิ้มร่าตอบว่า “ท่านอามอบให้เจ้าค่ะ! ท่านอาช่างดีเหลือเกิน! ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ข้าชอบทั้งสิ้น!”

หัวใจของใต้เท้าเจ้าสำนักหลั่งเลือดจนใกล้จะแห้งขอด…

เหอจั๋วมองสมบัติสีทองอร่ามหนึ่งหีบใหญ่ คิดไปเองหรือไม่นะ เหตุใดรู้สึกว่าของบางอย่างในนี้หน้าตาคุ้นๆ

ใช่แล้ว ท่านเหอจั๋ว ท่านไม่ได้คิดไปเอง ของพวกนั้นเป็นของที่ใต้เท้าเจ้าสำนักฉกไปจากปราสาทเฮ่อหลัน…ของชิ้นหนึ่งในนั้นยังเป็นจี้ห้อยพัดทองคำที่ท่านใช้มานานหลายปีอีกด้วย!