ตอนที่ 272-2 พ่อลูกพบหน้า

เฉียวเวยมองจีหมิงซิวผู้มีสีหน้านิ่งสงบดุจสายน้ำ แล้วถามหรงมามาว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นหลิวเกอร์กับท่านพ่อเล่า”

หรงมามาจึงบอกว่า “ซุนมามาอุ้มหลิวเกอร์ไปเดินเล่นในสวน นายท่านไม่อยู่ที่จวน เขาไปที่ดินบรรดาศักดิ์”

เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย “ท่านพ่อไปที่ดินบรรดาศักดิ์ทำอะไร”

หรงมามาถอนหายใจ “ที่ดินบรรดาศักดิ์เกิดเรื่องนิดหน่อย…”

หรงมามากำลังจะเล่าเรื่องในที่ดินบรรดาศักดิ์ให้เฉียวเวยฟัง เสียงของจีซวงก็ดังมาจากประตู “โอ๊ะโอ๋ หลานตัวน้อยกับหลานสะใภ้น้อยของข้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”

จีซวงเพิ่งออกเดือน เรือนร่างจึงบวมอยู่เล็กน้อย แต่นางประโคมเครื่องประดับวิบวับ สีหน้าแดงระเรื่อ ดูมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง

จีหมิงซิวทักทาย “ท่านอา”

จีซวงยิ้มเขิน พลางเดินนวยนาดเข้ามาหา

เฉียวเวยลุกขึ้นคำนับ “ท่านอา”

กล่าวกันว่าคนเรายามพบเรื่องน่ายินดีจะมีอารมณ์ดี จีซวงเคยถูกเฉียวเวยขัดขวางอยู่หลายเรื่อง แต่เดิมในใจนึกแค้นอยู่พอสมควร แต่ยามนี้นางให้กำเนิดบุตรชาย เรื่องไม่น่าพอใจเหล่านั้น นางจึงโยนทิ้งไปจนหมดเกลี้ยง นางจับมือเฉียวเวยอย่างสนิทสนมแล้วมองสำรวจจากหัวจรดเท้า ชมว่า “ไม่พบหน้ากันไม่เท่าไร รูปโฉมงดงามขึ้นอีกแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าเดินทางไปเจียงหนาน เหตุไฉนกลับมากับหมิงซิวได้เล่า”

คำถามนี้ เจอหน้าผู้ใดก็ต้องอธิบายรอบหนึ่ง

จีเหล่าฮูหยินจึงตอบว่า “คนเพิ่งกลับมา ยังไม่ทันได้พักหายใจเลย กลับไปค่อยบอกเจ้า!”

จีซวงรีบหัวเราะ “ได้ๆ กลับไปค่อยกว่ากัน ประเดี๋ยวไปนั่งเล่นเรือนข้าสักหน่อย ถือโอกาสแวะเยี่ยมน้องสี่ของพวกเจ้า แล้วค่อยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดๆ ”

เฉียวเวยคิดในใจ ประเดี๋ยวคงต้องเปลี่ยนเป็นน้องห้าแล้ว แต่บนใบหน้าคลี่ยิ้มรับความหวังดี “ดีเจ้าค่ะ”

พวกเขาคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่นานหลี่ซื่อกับลูกสาวทั้งสองนางก็มา

“พี่สะใภ้ใหญ่!” จีหว่านอวี๋ยิ้มแย้มเดินเข้ามาหา บนศีรษะของนางประดับปิ่นขนนกสีฟ้าที่เฉียวเวยแย่งมาจากเจินซื่อ กล่าวกันว่าเด็กผู้หญิงโตเร็ว เพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น นางก็เหมือนหญิงสาวคนหนึ่งเสียแล้ว ไม่ว่าจะมุ่นคิ้วหรือแย้มยิ้มก็งดงามแช่มช้อย ชวนให้คนละสายตาจากไปไม่ได้

หรูเย่ว์ก้าวเข้ามาคำนับบ้าง “พี่สะใภ้ใหญ่”

เฉียวเวยผงกศีรษะให้เล็กน้อย ทั้งสองคนจึงเดินไปหน้าจีหมิงซิวแล้วคำนับอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม “พี่ใหญ่”

“อืม” จีหมิงซิวตอบรับเรียบๆ คำหนึ่ง

เฉียวเวยเอ่ยทักทายอาสะใภ้รอง

หลี่ซื่อหัวเราะ “พอได้ยินว่าพวกเจ้ากลับมา สาวน้อยสองคนนี้ก็ไม่สนใจจะปักผ้าแล้ว โวยวายจะมาพบพวกเจ้าให้ได้”

ช่วงนี้จีซวงวุ่นอยู่กับการให้กำเนิดบุตรและอยู่เดือนจึงไม่มีเวลาว่าง จีหว่านอวี๋จึงตัดสินใจย้ายข้าวของไปอยู่เรือนตะวันออก กินนอนอยู่กับจีหรูเย่ว์ พร้อมกับเตรียมตัวแต่งงานไปด้วย

จีหว่านอวี๋เหลือบมองในสวน “พี่สะให้ใหญ่ เจ้าอ้วนน้อยเล่า”

หมายถึงวั่งซู

“พูดจาอย่างไรกัน” จีซวงถลึงตาใส่บุตรสาว

จีหว่านอวี๋แลบลิ้น ก็เป็นเจ้าอ้วนตัวน้อยจริงหรือไม่เล่า ตัวขาวๆ นุ่มๆ เหมือนกระรอกน้อยอ้วนจ้ำม่ำตัวหนึ่ง บีบแล้วรู้สึกดียิ่งนัก

เฉียวเวยยิ้ม “วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นออกไปเล่นแล้ว”

ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของจีหว่านอวี๋เบิกโต “ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่รองจะไปหาพวกเขา!”

พูดจบก็จูงมือจีหรูเย่ว์เดินฉิวไปราวกับมีสายลมอยู่ใต้ฝ่าเท้า

หลี่ซื่อทั้งฉิวทั้งขัน เจ้าเด็กพวกนี้อยากมาเยี่ยมพี่สะใภ้ของพวกนางเสียที่ไหน อยู่ในห้องจนเบื่อจึงหาโอกาสออกมาเดินเล่นชัดๆ

เด็กน้อยทั้งหลายจากไปแล้ว จีซวงจึงพูดเรื่องจริงจัง “พวกเจ้ายังไม่รู้สินะ ที่ดินบรรดาศักดิ์เกิดเรื่องแล้ว วันที่สองหลังจากพวกเจ้าออกเดินทาง ที่ดินบรรดาศักดิ์ก็ส่งคนมา หากพวกเจ้าไปช้ากว่านั้นอีกสักวันก็คงดี”

เฉียวเวยมองหรงมามา “เรื่องนั้นที่หรงมามากำลังจะเล่าหรือ”

หรงมามาพยักหน้า

จีซวงถอนหายใจ “สุสานของตระกุลจีถูกปล้น ศพของเด็กหายไปแล้ว”

เด็กหรือ เฉียวเวยหันไปมองจีซวง “ท่านอาหมายถึงน้องชายฝาแฝดของหมิงซิวหรือ”

จีซวงตกตะลึง “เจ้ารู้ว่าหมิงซิวมีน้องชายด้วยหรือ”

แค่รู้เสียที่ไหน ข้าทะเลาะตบตีกับเขามาหลายรอบแล้วด้วย

เฉียวเวยดึงแขนเสื้อของจีหมิงซิว “ท่านเล่าสิ”

ทุกคนหันไปมองจีหมิงซิวอย่างไม่เข้าใจ จีหมิงซิวสีหน้าสงบนิ่ง แต่แววตากลับเป็นประกายอย่างที่ทุกคนน้อยครั้งจะเห็น เขาบอกว่า “น้องชายยังไม่ตาย”

จีเหล่าฮูหยินตะลึงงัน

จีซวงถามอย่างตกตะลึง “เจ้าพูดอะไร น้องชายของเจ้ายังไม่ตายหรือ”

จีหมิงซิวตอบ “ใช่แล้ว”

จีซวงขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เขาตายไปแล้วชัดๆ พวกเราเห็นเขาถูกฝังลงสุสานเองกับตา! อาเขยของพวกเจ้าเป็นคนทำโลงศพให้เขาเองกับมือ! พวกเราล้วนไปร่วมงานศพใช่หรือไม่ พี่สะใภ้รองท่านก็อยู่ด้วยนี่นา”

หลี่ซื่อนึกทบทวนความทรงจำ “ข้าอยู่ด้วย ข้าเองก็เห็นเด็กคนนั้นถูกฝังลงดินกับตาตนเองเช่นกัน หนนี้ได้ยินว่าโลงศพไม้ถูกปล้น ศพถูกขโมยหายไป ข้ายังกังวลอยู่ว่าจะเป็นวิญญาณอาละวาด”

จีหมิงซิวเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องราวโดยละเอียดเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่ค่อยทราบชัด แต่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ หนนี้ข้าออกทะเลไปบังเอิญพบเขาเข้า”

“เจ้าพบผู้ใด”

ทันใดนั้นเสียงของจีซั่งชิงก็ดังขึ้นที่นอกเรือน

ทุกคนหันไปมองตามเสียงก็เห็นจีซั่งชิงเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเดินเข้ามา ไม่พบหน้ากันเพียงไม่กี่เดือน จอนผมของเขามีผมขาวเพิ่มขึ้นมาหลายเส้น หนวดเคราก็งอกยาว ดวงตามีเส้นเลือดฝอยแดงก่ำแผ่ไปทั่ว ริมฝีปากแห้งแตก สภาพดูโทรมยิ่งนัก

จีซวงรีบเดินเข้าไปประคองจีซั่งชิง “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาพอดี หมิงซิวบอกว่าน้องชายของเขายังมีชีวิตอยู่!”

จีซั่งชิงปัดมือของน้องสาวออกแล้วก้าวขึ้นบันได ดวงตาจ้องจีหมิงซิวเขม็ง “น้องชายเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงหรือ เขาอยู่ที่ใด”

จีหมิงซิวมองเขาแล้วบอกว่า “อยู่บนรถม้า ไม่ยอมลงมา”

จีซั่งชิงไม่พูดพร่ำก้าวออกจากเรือนลั่วเหมยไปทันที

จีเหล่าฮูหยินกดหน้าอกที่หัวใจเต้นโครมครามแล้วถามว่า “น้องชายของเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ สินะ…”

เฉียวเวยเห็นสภาพนางไม่ปกติจึงรีบประคองแขนนาง แล้วกล่อมว่า “ท่านย่า ท่านอย่าตื่นเต้นเกินไป ท่านเคยจ้งเฟิงมาก่อน หากอารมณ์พลุ่งพล่านอีกก็จะจ้งเฟิงอีก หากจ้งเฟิงอีก ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าหลานชายตัวน้อยของท่านแล้ว ท่านสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อน”

จีเหล่าฮูหยินสูดลมหายใจลึกหลายหน นี่เป็นข่าวใหญ่ยิ่งนัก น่าตกตะลึงยิ่งกว่าตอนที่หมิงซิวบอกนางว่ามีเหลนออกมาสองคนเสียอีก ในตอนนั้นที่ต้องเก็บหลานชายคนโตแล้วทอดทิ้งหลายชายคนเล็ก หัวใจนางเจ็บปวดแทบวางวาย ต้องมองดูเด็กตัวเล็กแค่นั้นถูกใส่ลงไปในโลงศพ นางอยากจะให้คนที่ตายเป็นตัวนางเอง ตอนนี้เมื่อได้ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ นางก็…นางก็ดีใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“เสี่ยวเวย เร็ว รีบให้คนเตรียมเกี้ยว…”

เฉียวเวยตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนไปเตรียมเกี้ยวเดี๋ยวนี้ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อน ตอนท่านได้พบเจ้าเด็กคนนั้นอย่าได้ดีใจจนถึงขั้นนี้อีกเชียว”

จีเหล่าฮูหยินเกือบจะหลั่งน้ำตา “ข้าเชื่อฟังเจ้า ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง! เจ้ารีบพาข้าไปพบเขาเถิด!”

ณ จวนชั้นนอกของตระกูลจี เด็กรับใช้หลายคนขนสัมภาระของเฉียวเวยกับจีหมิงซิวเข้ามาด้านใน เพิ่งจะเดินพ้นประตูชั้นในก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งพุ่งออกมา ทั้งสองคนหลบไม่ทันจึงชนเข้าอย่างจัง

หีบร่วงตกพื้น จีซั่งชิงสะดุดหีบจนล้มคว่ำไปทั้งตัว จมูกมีเลือดไหลออกมา

เด็กรับใช้ทั้งสองคนเห็นคนที่พุ่งมาชัดก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น คนหนึ่งในนั้นวิงวอน “ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! ขอนายท่านโปรดลงโทษ!”

จีซั่งชิงหนังตาไม่กระตุกสักนิด ลุกขึ้นมาวิ่งออกไปด้านหน้าต่อ

“นายท่าน!” เด็กรับใช้ที่วอนขออภัยเมื่อครู่จะอ้าปากพูดอีก

ทว่าจีซั่งชิงไม่สนใจเขา

“นายท่าน! นายท่าน!” เด็กรับใช้มองรถเข็นที่สูงยิ่งกว่าตัวคนด้านข้าง แล้วร้องเตือนด้วยความหวังดี

แต่จีซั่งชิงไม่สนใจสักนิด ผลสุดท้ายจึงถูกรถเข็นชนโครมจนกระเด็น

สิ่งที่วางอยู่บนรถเข็นล้วนแต่เป็นข้าวของที่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยนำกลับมาจากชนเผ่าถ่าน่า ข้าวของหล่นโครมครามกระแทกจีซั่งชิงจนจมูกเขียวหน้าบวม

“นาย…นาย นาย นาย…” เด็กรับใช้ที่เข็นรถเข็นอยู่ตกใจจนนิ่งอึ้ง

จีซั่งชิงลุกขึ้นมาแล้วเดินโซซัดโซเซไปนอกประตู ทว่ายังไม่ทันเดินได้ถึงสองก้าว เท้าก็เหยียบลงบนความว่างเปล่า เขาหลุดเสียงร้องออกมาหนึ่งคำก็กลิ้งลงมาจากบันได

ตุ้บ! โครม! พลั่ก! ปึก…

เมื่อจีซั่งชิงล้มลุกคลุกคลานมาถึงประตูได้ในที่สุด ดวงหน้ารูปงามหล่อเหลาของเขาก็มีสภาพอนาถจนไม่อาจพรรณนาได้แล้ว

แต่เขายืนคงลุกขึ้นยืนอย่างแน่วแน่อย่างยิ่ง เขาเห็นรถม้าที่อยู่นอกประตูแล้ว ความจริงเมื่อครู่ตอนกลับมาถึงจวน เขาก็เห็นมันแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าข้างในมีลูกชายที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีของเขานั่งอยู่ เขาเดินเข้าไปด้วยความดีใจ แล้วเปิดม่านรถอย่างตื่นเต้น