ตอนที่ 273-1 พบหน้า การค้นพบอันยิ่งใหญ่
หลังจากที่รถม้ามาถึงตระกูลจี พอคนทั้งหมดลงจากรถไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็นั่งอยู่ในรถม้าเพียงลำพัง
วันนี้แสงตะวันแรงเป็นพิเศษ ส่องจนตัวรถม้าอบอุ่น ใต้เท้าเจ้าสำนักเริ่มรู้สึกง่วงงุนจึงเอนพิงผนังรถม้างีบหลับ
พริบตราที่จีซั่งชิงเปิดม่านรถ ก็มองเห็นใบหน้ายามหลับใหลอันหล่อเหลา ชั่วพริบตาที่แสงตะวันส่องเข้ามา เขาเหมือนจะรู้สึกตัวจึงขมวดคิ้วอย่างไม่สบายตา
ท่วงท่ายามขมวดคิ้วนั่นทำให้หัวใจของจีซั่งชิงบีบรัด
เขากลืนเสียงที่เคลื่อนขึ้นมาถึงลำคอแล้วกลับลงไปอย่างเงียบเชียบ จีซั่งชิงปิดม่าน ก้มตัวเดินไปอยู่ข้างเขาแล้วนั่งลงชิดติดกัน
จีซั่งชิงไม่กล้าส่งเสียงดังแต่อย่างใด กลัวว่าเขาจะหนวกหูจนตื่น จีซั่งชิงจ้องเขาอยู่เช่นนั้น รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อย เด็กคนนี้คือลูกชายของตนเองจริงๆ หรือ แต่หากไม่ใช่ ใบหน้านั่นเหตุไฉนจึงคล้ายคลึงกับเขานัก
ตอนที่ได้ยินว่าสุสานของลูกชายถูกปล้น มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ แต่ห้วงเวลานี้ลูกชายที่ตายจากกันไปยี่สิบกว่าปีกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขารู้สึกคล้ายกับว่าเลือดในร่างของตนถูกแช่แข็ง
จีซั่งชิงขยับเข้าไปอีกนิด จ้องมองเขาไม่ยอมกะพริบตา
ใต้เท้าเจ้าสำนักฝัน เขาฝันเห็นตัวเองหนีรอดจากกรงเล็บมารของจีหมิงซิว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทวงหน้ากากกับหีบร้อยสมบัติที่ตนสูญเสียไปกลับมาได้ทั้งหมด เขาหอบข้าวของของตนวิ่งอย่างไม่หยุดฝีเท้า วิ่งเข้าไปในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง ดวงตะวันเหนือผืนทรายใหญ่โตยิ่งนัก เขารู้สึกร้อนมากจึงตัดสินใจตามหาแหล่งน้ำ แต่หาอยู่เนิ่นนานก็หาแหล่งน้ำที่เหมาะสมไม่พบ เวลานี้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังจับจ้องเขาอย่างมาดร้าย เขารีบหันกลับไปก็เห็นสิงโตตัวหนึ่งกำลังอ้าปากสีแดงสด เผยคมเขี้ยว กระโจนเข้ามาใส่เขาอย่างดุร้าย!
ใต้เท้าเจ้าสำนักตกใจตื่นทันที เขาลืมตาโพลงขึ้นมาก็เห็นใบหน้าบวมเหมือนหัวหมูที่มีเลือดกำเดาไหลออกจากจมูกกับแววตาหื่นกระหาย…ความจริงแล้วนั่นเป็นแววตารักใคร่อย่างลึกซึ้งต่างหาก แต่บุรุษคนหนึ่งมองบุรุษอีกคนที่นอนหลับอยู่แล้วเลือดกำเดาไหล ยากจะเชื่อว่าเขามีเจตนาอันบริสุทธิ์และดีงามจริงๆ
จีซั่งชิงยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกมองเป็นคนวิตถาร เขาเห็นบุตรชายตื่นขึ้นมาทำหน้าตกใจ ก็คิดว่าลูกชายไม่รู้จักตนจึงรีบฉีกยิ้ม เขาเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักรู้สึกเหมือนถูกอสนีบาตฟาดทันใด เขาไม่แม้แต่จะหยุดคิดเหวี่ยงกำปั้นออกไปทันที!
ความจริงแล้วใต้เท้าเจ้าสำนักใช้วรยุทธ์ไม่เป็น แต่จีซั่งชิงเพิ่งหอบมาหมาดๆ ตอนนี้ร่างกายเล็กๆ ร่างนี้จึงอ่อนแอเทียบเท่ากับท่านพ่อเฉียว พอถูกกำปั้นของใต้เท้าเจ้าสำนักฟาดเข้าก็กระเด็นออกไปทันที
พริบตาที่จีซั่งชิงกระเด็นออกมาจากตัวรถ เขาก็ยังไม่ลืมบอกฐานะของตัวเอง “ข้าคือบิดาของเจ้า…”
“โกหก!”
คนบอกกันว่าเขากับนายท่านตระกูลจีหน้าตาเหมือนกันยิ่งนัก เขาหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรนายท่านตระกูลจีก็ต้องเป็นท่านลุงรูปงามสิ จะเป็นเจ้าคนหน้าบวมหูกางคนนี้ได้อย่างไรกัน
ตอนที่จีหมิงซิวรีบเดินตามมาถึงด้านนี้ จีซั่งชิงก็ร่วงลงมากองกับพื้นแล้ว สองตายังเหลือกลอยสลบไปแล้วอีกด้วย
เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูรีบหาเปลหามมาแบกจีซั่งชิงเข้าไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับมาถึงบ้านก็ต่อยบิดาแท้ๆ ของตนเองตั้งแต่วันแรก ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ จีหมิงซิวเกือบจะหิ้วเขาขึ้นมาสั่งสอนสักยก แต่จีเหล่าฮูหยินรีบเร่งมาถึงทันเวลาพอดี หลานชายที่รักคนนี้จากบ้านไปหลายปีปานนั้นจะทุกข์ยากมากเพียงใด เป็นพี่ชายจะลงมือได้เช่นไรเล่า
ตีไม่ได้ๆ ตีไม่ได้เด็ดขาด!
จีเหล่าฮูหยินดันจีหมิงซิวออก แล้วเดินสองสามก้าวมาข้างหน้า นางเปิดม่านมองหลานชายตัวน้อยที่อยู่ด้านใน แล้วเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “หมิงเยี่ย ข้าคือท่านย่า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะแล้วหันหน้าหนี
จีเหล่าฮูหยินถูกทำตัวเย็นชาใส่ก็ไม่โกรธ สำหรับนาง ได้เห็นหลานชายตัวน้อยก็เป็นบุญวาสนาทั้งชาตินี้ของนางแล้ว! นางมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลานั่น แล้วรู้สึกว่าหัวใจของตนใกล้จะละลาย นางยิ้มประจบเอ่ยขึ้นว่า “หมิงเยี่ย เจ้ารีบลงมาเถิดเข้าไปคุยกันในบ้าน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงหมวกที่ติดกับผ้าคลุมขึ้นมาสวมแล้วดึงหมวกลงมาต่ำๆ
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยกับหรงมามา “รีบประคองข้าขึ้นไป”
“เจ้าค่ะ!” หรงมามายิ้มแย้มประคองเหล่าฮูหยินขึ้นไปบนรถม้า
ใต้เท้าเจ้าสำนักห้ามเสียงเคร่งขรึม “ห้ามขึ้นมานะ!”
ร่างกายของจีเหล่าฮูหยินหยุดชะงัก ส่งมือให้หรงมามา “เร็ว รีบประคองข้าลงมา”
หรงมามาประคองจีเหล่าฮูหยินลงมาอีกหน
จีเหล่าฮูหยินมองใต้เท้าเจ้าสำนัก “ย่าไม่ขึ้นไปแล้ว ย่าจะคุยกับเจ้าอยู่ตรงนี้ เจ้าเดินทางมานาน คงเหนื่อยแย่แล้วสิ เจ้าลงมาก่อน ย่าจะสั่งห้องครัวให้ทำของอร่อยให้เจ้า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่หิว!”
โครกกก!
แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องขึ้นมาพอดี
จีเหล่าฮูหยินรีบสั่งหรงมามา “เร็ว…รีบไปเอาของกินมา!”
“เจ้าค่ะ!” หรงมามาหมุนตัวเดินออกไป
ไม่นานจีซวงกับหลี่ซื่อก็นั่งเสลี่ยงมาถึง
จีซวงชิงลงจากเสลี่ยงก่อนหลี่ซื่อหนึ่งก้าวแล้วยกชายกระโปรงเดินมาทางรถม้า ระหว่างที่เดินมาก็ถามอย่างร้อนรน “หมิงเยี่ยกลับมาแล้วจริงหรือ”
กล่าวจบก็เหยียบแท่นเหยียบชะโงกเข้าไปด้านใน ผลปรากฏว่าเห็นดวงตาโมโหฮึดฮัดคู่หนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาอย่างโหดเหี้ยม จีซวงตกใจจนหลุดร้องตกใจร่วงลงมาจากแท่นเหยียบ
เฉียวเวยโอบนางไว้แล้วจับให้นางยืนบนพื้นดีๆ หลังจากนั้นตนเองก็ก้าวขึ้นไปบนรถม้า
“ข้าบอกว่าห้าม…” พริบตาที่มองเห็นเฉียวเวย ถ้อยคำร้ายกาจของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ชะงักอยู่ในลำคอ เขาไม่มีวันยอมรับหรอกว่าเขากล้าทำตัวร้ายใส่คนทุกคน ยกเว้นแต่นางยักษ์คนนี้ที่เขาขลาดกลัวอยู่นิดๆ
มือของเฉียวเวยวางลงบนหัวไหล่ของเขา แล้วเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม “ห้ามอะไรหรือ”
หัวไหล่ของใต้เท้าเจ้าสำนักถูกบีบจนแทบแหลก “ห้าม…ห้าม…ข้าหิวแล้ว”
เฉียวเวยเอ่ยราบเรียบ “หิวแล้วก็ลงไปกินข้าว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักผู้น่าสงสารจึงถูกพี่สะใภ้ของตนเองลากลงจากรถม้าด้วยประการฉะนี้
…
สำหรับบ่าวรับใช้จำนวนมากในตระกูลจี พวกเขาไม่คุ้นเคยกับฐานะและคำเรียกขานจีหมิงเยี่ย อย่างไรเสียเขาก็คือเด็กน้อยที่เกิดออกมาได้ไม่ทันถึงเดือนก็ถูกฝังลงสุสาน ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น ส่วนบ่าวรับใช้ที่รู้เรื่อง ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ก็เหลืออยู่ไม่เท่าไร พอทุกคนเอ่ยถึงคุณชายรอง คนที่คิดถึงก็คือคุณชายฉงหมิงของเรือนสาม เพิ่งมาวันนี้เองที่ทุกคนได้รู้ความจริง
นับตั้งแต่นั้นคุณชายของเรือนสามก็กลายเป็นลำดับสาม หลิวเกอร์กลายเป็นลำดับสี่
หลิวเกอร์ได้พบใต้เท้าเจ้าสำนักแล้ว
หลิวเกอร์แต่เดิมกำลังเล่นซ่อนแอบกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนอยู่ในสวนดอกไม้ ขณะที่หลบอยู่ก็เห็นท่านย่าพาคนกลุ่มหนึ่งเดินมา
“หลิวเกอร์ รีบมาพบพี่รองของเจ้าเร็วเข้า!” จีเหล่าฮูหยินกวักมือเรียกหลิวเกอร์
หลิวเกอร์เดินเข้าไปหาอย่างงุนงง พอเห็นคนที่สวมหน้ากากเหมือนกับพี่ใหญ่ก็เอ่ยเสียงใส “เขาไม่ใช่พี่รองนี่ขอรับ”
ย่าของเขาหัวเราะ “เขาคือพี่รองของเจ้า พี่รองจริงๆ ของเจ้า พี่ฉงหมิงที่เรือนสามตอนนี้เป็นพี่สามของเจ้าแล้ว! นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไม่ใช่คุณชายสาม แต่เป็นคุณชายสี่”
พอพี่ชายคนนี้มาถึง เขาก็ถูกลดขั้น
หลิวเกอร์ขมวดคิ้วน้อยอย่างไม่พอใจ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบแขนของจีหมิงซิว แล้วถามอย่างไม่สะทกสะท้าน “ไหนบอกว่าแม่ของข้าตายไปตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดจึงยังมีน้องชายอายุน้อยขนาดนี้อีกคน”
“น้องชายคนละแม่”
“ลูกของแม่เลี้ยงสินะ…” ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตา เดินมาตรงหน้าหลิวเกอร์แล้วย่อตัวนั่งยองๆ มองเขาอย่างชั่วร้าย
หลิวเกอร์มองใต้เท้าเจ้าสำนัก ไม่รู้เป็นอย่างไร มองนานเข้าจู่ๆ ก็ร้องไห้โฮ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักมึนงง
เขาเหมือนจะยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ เจ้าหนูคนนี้เหตุใดจึงร้องไห้ขึ้นมาเล่า
หลิวเกอร์ร้องไห้โฮเสียงดังลั่น กล่อมอย่างไรก็ไม่เงียบ สุดท้ายจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาหา ให้เขายืมต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ มือซ้ายเขาอุ้มเจ้าก้อนสีขาวตัวหนึ่ง มือขวาอุ้มเจ้าก้อนสีขาวอีกตัวหนึ่งจึงหยุดร้องในที่สุด
…