ตอนที่ 1089 ไม่มีทางพัง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1089 ไม่มีทางพัง

เมื่อทหารซีเหลียงได้ยินเสียงตะโกนของหลี่เทียนฟู่จึงรู้สึกมีกำลังใจต่อสู้ขึ้นมาทันที ทุกคนตะโกนโห่ร้อง พร้อมสู้ตายเพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวและจับเป็นจักรพรรดินีแห่งต้าโจวให้ได้

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เมื่อมองจากกำแพงเมืองผิงหยาง…

ช้างศึกทั้งสามสิบตัวค่อยๆ หันหลังกลับ ช้างศึกที่แม่ทัพเทียนเฟิ่งและหลี่เทียนฟู่นั่งหยุดชะงักฝีเท้าของตัวเองเล็กน้อย พวกมันตาบอดหนึ่งข้าง ประกอบกับพื้นดินที่ลื่นเพราะหิมะจึงทำให้พวกมันเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก

เมื่อทหารซีเหลียงเห็นกองทัพช้างหันหลังกลับ อีกทั้งได้กำลังใจจากหลี่เทียนฟู่ พวกเขาจึงพากันชูโล่และดาบมุ่งตรงไปยังกำแพงเมืองผิงหยางราวกับไม่กลัวตายเพราะมีเทพเจ้าคอยปกป้อง

แม่ทัพเทียนเฟิ่งกัดขลุ่ยในปากแน่น เขามองไปทางเปลวไฟที่ส่องสว่างบนกำแพงเมืองผิงหยางผ่านหิมะที่ตกกระหน่ำ เขากำขอบเสลี่ยงแน่นพลางเป่าขลุ่ยเสียงดังกว่าเดิม

เมื่อบรรดาควานช้างที่นั่งอยู่ตรงคอของช้างศึกได้ยินเสียงขลุ่ยจึงหันไปทางเจ้านายของพวกเขานิ่ง เมื่อเสียงแหลมของขลุ่ยดังขึ้นอีกครั้ง ควานช้างคว้าเชือกมาถือไว้ในมือพลางกำหมัดอีกข้างหนึ่งแน่น จากนั้นปลดปลอกคอขนาดใหญ่ที่อยู่รอบคอของช้างศึกเหล่านั้นออก

เมื่อปลอกคอขนาดใหญ่และหนักอึ้งซึ่งอยู่รอบคอช้างถูกปลดออกจนร่วงลงบนพื้นเสียงดังสนั่น ช้างยักษ์พุ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยความบ้าคลั่งทันที

ช้างศึกวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนหลี่เทียนฟู่เกือบถูกสะบัดตกจากหลังช้าง ควานช้างซึ่งบังคับช้างตัวที่หลี่เทียนฟู่นั่งอยู่แบกหญิงสาวขึ้นบ่าโดยไม่บอกล่วงหน้าเพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เขาโยนเชือกลงบนพื้น จากนั้นไถลตัวลงไปเกาะที่ขาช้างซึ่งวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใบหูของหลี่เทียนฟู่ได้ยินเพียงเสียงลม หญิงสาวมองไปเบื้องหน้า…เห็นเพียงภาพน่าสยดสยอง ลมหิมะพัดโดนใบหน้าของนางจนเจ็บแสบไปหมด

หลี่เทียนฟู่รู้สึกเครียดขึ้นทันที นางเบิกตาโพลงมองพื้นดินที่ใกล้เข้ามาทุกที นางคิดว่าควานช้างจะพานางกระโดดลงไปบนพื้นจึงรีบตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น “เร็วเกินไป หากกระโดดลงไปพวกเราตายแน่!”

ควานช้างไม่เข้าใจว่าหลี่เทียนฟู่กำลังกล่าวสิ่งใดอยู่ เขาจับเชือกด้วยมือข้างเดียว สองขาหนีบส่วนที่ยื่นออกมาจากเสื้อเกราะของช้างแน่น เมื่อเห็นพลทหารม้าวิ่งใกล้เข้ามาแล้วจึงปล่อยร่างของหลี่เทียนฟู่ลงไป…

หลี่เทียนฟู่เบิกตาโพลง ภาพตรงหน้ามีเพียงหิมะสีขาวโพลนเท่านั้น นางกรีดร้องเสียงดังเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะตายอยู่ที่นี่แล้ว คิดว่าคนของเทียนเฟิ่งเสียสติจนคิดฆ่านางทิ้ง ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าพลทหารม้าของเทียนเฟิ่งจะขี่ม้ามารับตัวนางไว้ได้ทัน ใจของหลี่เทียนฟู่เต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากร่าง

หลี่เทียนฟู่เบิกตาโพลงมองไปทางทหารม้าที่รับร่างนางเอาไว้ได้ เมื่อมองไปด้านข้างจึงเห็นว่าทหารม้าอีกคนรับร่างของแม่ทัพเทียนเฟิ่งไว้ได้เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่ากองทัพช้างวิ่งตรงเข้าไปโจมตีเมืองผิงหยาง หลี่เทียนฟู่ที่ยังคงใจเต้นรัวคลี่ยิ้มออกมาอย่างสะใจ ครั้งนี้มีกองทัพช้างเป็นด่านหน้า ไป๋ชิงเหยียนต้องตายอย่างแน่นอน!

เสิ่นคุนหยางที่อยู่บนกำแพงเมืองเห็นกองทัพช้างวิ่งตรงมาทางนี้จึงกำดาบที่เอวแน่น จากนั้นวิ่งตรงไปยังเครื่องยิงธนูขนาดใหญ่ ตะโกนเสียงดังลั่น “เตรียมเครื่องยิงธนูให้พร้อม! พลธนูเตรียมพร้อม!”

เครื่องยิงธนูถูกหันหน้าไปทางนอกกำแพงเมือง ลูกธนูสามดอกถูกยัดใส่เข้าไปในเครื่องยิงธนูเรียบร้อย

“ยิง!”

สิ้นเสียงคำสั่งของเสิ่นคุนหยาง ลูกธนูขนาดใหญ่ลอยไปกลางอากาศท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ลูกศรพุ่งตรงไปยังกองทัพเทียนเฟิ่งและซีเหลียง ลูกธนูแหลมคมราวกับสายฝนตกลงบนพื้นเร็วกว่าหิมะยี่สิบเท่าจนศัตรูไม่สามารถหลบหนีได้ทัน เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นท่ามกลางหิมะในยามค่ำคืน

“เสี่ยวไป๋ไซว่หนีไปก่อนขอรับ ตรงนี้ไม่ปลอดภัยขอรับ!” เสิ่นคุนหยางเป็นห่วงสภาพร่างกายของไป๋ชิงเหยียน

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยังคงยืนนิ่งท่ามกลางแสงไฟ “ลุงเสิ่นไม่ต้องเป็นห่วง มีอาอวี๋และแม่ทัพเฉิงอยู่ ประตูเมืองไม่มีทางพังแน่นอน!”

กล่าวจบไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเสิ่นคุนหยางด้วยสีหน้าจริงจัง “ลุงเสิ่นสั่งให้คนนำหิมะมากองไว้ในเมืองเร็ว ย่ำกองหิมะให้ละลายกลายเป็นพื้นน้ำแข็งจนลื่นจนพวกมันไม่สามารถบุกเข้ามาได้”

ไป๋ชิงเหยียนมองสำรวจสถานการณ์บนกำแพงเมืองอยู่นานแล้ว หญิงสาวพบว่าแม้ขามากองทัพช้างเหล่านี้จะเดินมาอย่างมั่นคง ทว่า เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อหิมะเหล่านี้ถูกเหยียบจนกลายเป็นพื้นน้ำแข็ง ช้างเหล่านี้จะเริ่มทรงตัวไม่ได้ทันที ขอเพียงช้างพวกนี้ลื่นล้ม พวกนางจะจัดการกองทัพช้างเหล่านี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ

เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้เสิ่นคุนหยางจึงเข้าใจความหมายของหญิงสาวขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้น เขารีบรับคำและไปสั่งการทันที

“ฝ่าบาท!” แม่ทัพที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน “พวกเราพาชาวบ้านอพยพออกไปทางประตูเมืองทิศเหนือตามบัญชาของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารที่ไปขนพริกแห้งและพริกไทยจากร้านค้าในเมืองกลับมาแล้วเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ ทว่า คุณชายห้าขนวัตถุดิบในร้านค้าเครื่องเทศแถบประตูเมืองตะวันออกไปหมดแล้ว พวกเราจึงเสียเวลาค้นหาของเหล่านี้ในเมืองอยู่พักใหญ่ ตอนนี้พวกเราขนมารวมกันที่ด้านล่างกำแพงหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองโคมไฟเหนือศีรษะที่แกว่งไปมาตามแรงลมแวบหนึ่ง ลมพัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ดีนัก ทว่า ดีกว่าไม่เตรียมรับมือเลย

“ให้คนเผาพริกแห้งและพริกไทยที่ได้มาทั้งหมด จากนั้นนำไปแขวนไว้ทางฝั่งตะวันออกของกำแพงเมืองของประตูทิศใต้ ยิ่งควันมากเท่าใดยิ่งดี!” ไป๋ชิงเหยียนสั่งเสียงเข้ม “สวมหน้ากากให้พร้อม มิเช่นนั้นอาจสำลักได้”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“พรมน้ำลงบนพริกแห้งและพริกไทยเล็กน้อย เผารวมกับฟื้นแห้งจะยิ่งทำให้ควันมากกว่าเดิม!” เสิ่นคุนหยางจับคอเสื้อของทหารที่เตรียมวิ่งลงไปจากกำแพงเมืองไว้ จากนั้นกำชับเพิ่ม

“แม่ทัพเสิ่นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทราบขอรับ” แม่ทัพผู้นั้นรับคำแล้ววิ่งลงไปจากกำแพง

แม่ทัพกล่าวเสียงดังและรวดเร็ว เขาสั่งให้คนผูกหม้อด้วยโซ่เหล็ก พรมน้ำใส่พริกแห้งและพริกไทย จากนั้นนำลงไปเผาในหม้อพร้อมกับฟืน

ทหารในเมืองผิงหยางทำงานกันอย่างเป็นระบบและคล่องแคล่วแม้จะอยู่ในภาวะคับขัน คนหนึ่งรับผิดชอบเรื่องหม้อ คนหนึ่งรับผิดชอบเรื่องน้ำมัน อีกคนรับผิดชอบเรื่องจุดไฟเผา

บรรดาทหารเติมน้ำมันร้อนลงในหม้อที่มีฟืนอยู่ ใส่พริกแห้งและพริกไทยที่ชื้นน้ำลงไป จากนั้นแบกหม้อขึ้นไปบนกำแพงเมืองโดยไม่สนว่าตัวเองจะสำลักควันมากเพียงใด

“ตอนนี้อย่าเพิ่งใส่พริกลงไป ขึ้นไปบนกำแพงก่อนค่อยใส่ เร็วเข้า! เร็ว! ลงมือเร็วเข้า!” แม่ทัพผู้น้อยยืนตะโกนสั่งอยู่บนบันไดของกำแพงเมือง เขาสำลักควันในหม้อจนไอออกมาชุดใหญ่ แสงไฟจากหม้อส่องกระทบใบหน้าที่สำลักจนแดงของเขาจนยิ่งดูแดงมากกว่าเดิม เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำปิดจมูกของตัวเองไว้ เขาสำลักจนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดขึ้นจนเห็นได้ชัด เขาโบกมือให้ทหารเร่งมือเร็วกว่าเดิม จากนั้นเอาผ้าเช็ดหน้าออกพลางตะโกนเสียงดังลั่น “ใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกปิดจมูกของตัวเองไว้ เร็วเข้า!”

ทหารที่ไม่มีหม้อหันไปคว้าเตาดินเผาสำหรับให้ความอบอุ่น จากนั้นหยิบพริกแห้งและพริกไทยชื้นวิ่งขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว

บรรดาทหารหนุ่มใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูกของตัวเองไว้ จากนั้นวิ่งขึ้นไปยังทิศตะวันออกของประตูกำแพงเมืองทิศใต้ พวกเขาใส่พริกแห้งและพริกไทยลงไปในหม้อหรือเตาดินเผา จากนั้นยกเตาดินเผาขึ้นแขวนสูงกลางอากาศ ผูกเชือกอีกด้านไว้กับหอกซึ่งวางยึดอยู่บนเชิงเทียนของกำแพงเมือง เมื่อว่างแล้วจึงรีบช่วยผูกผ้าเปียกปิดจมูกให้บรรดาพลทหารหน้าไม้และพลธนู

กองทัพช้างเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว แม้ไป๋ชิงเหยียนจะยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็ยังสัมผัสได้ว่าพื้นดินด่านล่างกำแพงกำลังสั่นไหวราวกับมีวัตถุขนาดมหึมากำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้…