บทที่ 1107 อันธพาลตระกูลจิน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1107 อันธพาลตระกูลจิน

บทที่ 1107 อันธพาลตระกูลจิน

เขามีความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะลอง

กู้เสี่ยวหวานสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของฉินเย่จือได้อย่างชัดเจน ร่างกายของหญิงสาวแข็งทื่อ ความตื่นตระหนกฉายชัดในแววตา แต่ก็ยังดูเหมือนมีความคาดหวัง

อย่างไรก็ตาม นางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดเผยความในใจของตนเอง ถึงแม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่…นางก็ค่อนข้างกลัวเล็กน้อย

ท่าทางลุกลี้ลุกลนของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือมองเห็นมันได้ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังเป็นเพียงแค่เด็ก

ฉินเย่จือหวาดกลัวว่าจะทำให้นางตกใจ ดังนั้นเขาจึงหลับตาและพึมพำ “หวานเอ๋อร์ หวานเอ๋อร์ หวานเอ๋อร์”

น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาราวกับฝนตกกระทบหัวใจของกู้เสี่ยวหวานเม็ดแล้วเม็ดเล่า ทำให้หัวใจของนางสั่นคลอน

ในท้ายที่สุด ฉินเย่จือยังคงกลัวว่าจะทำให้นางกลัว ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ประทับริมฝีปากลงบนหว่างคิ้วของกู้เสี่ยวหวาน

หัวใจที่เคยเต้นด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ในขณะนี้มันเต้นถี่รัว ภายในห้องเงียบงัน

กู้เสี่ยวหวานพิงแขนของฉินเย่จืออย่างเงียบ ๆ และรับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจฉินเย่จือ มันชวนให้ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมา

และเมื่อมองไปที่ฉินเย่จืออีกครั้งก็พบว่าใบหน้าของเขาก็แดงก่ำเช่นกัน หากแต่มีรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏอยู่ที่มุมปาก สัมผัสผมนุ่มนวลเหมือนผ้าไหมของกู้เสี่ยวหวาน

ดวงตาเรียวยาวโค้งงอเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ

แต่ในขณะนี้ เมื่อกู้หนิงผิงและถานอวี้ซูกลับมาถึงห้องโถงชั้นล่าง พวกเขาต่างผงะตกใจเมื่อเห็นความยุ่งเหยิงภายในร้าน

เมื่อกู้หนิงผิงเห็นว่าร้านจิ่นฝูอยู่ในสภาพเละเทะ เขารีบดึงลูกจ้างในร้านมาคนหนึ่งและเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ของข้าอยู่ที่ไหน”

“แม่นางกู้อยู่ที่ชั้นบน” ลูกจ้างคนหนึ่งในร้านกล่าวด้วยความชื่นชม “นายน้อยฉินฝีมือยอดเยี่ยมจริง ๆ หนึ่งคนต่อศัตรูเป็นร้อยคน เขาเอาชนะคนของนายน้อยจินได้จนคนพวกนั้นล้มลงไปกองกับพื้น”

“นายน้อยจินไหนหรือ” กู้หนิงผิงยังนิ่งงัน

“เอ๊ะ ท่านไม่รู้หรอกหรือ?” เมื่อเห็นว่ากู้หนิงผิงไม่รู้ว่านายน้อยจินคือใคร ลูกจ้างคนนั้นก็ยิ่งงงงวย

“จินซื่อข่าย นายน้อยของตระกูลจิน” ลูกจ้างคนนั้นกล่าว

อันธพาล เป็นคำที่ชาวเมืองรุ่ยเสียนเรียกตระกูลจิน

ตระกูลจินเป็นอันธพาลในเมืองรุ่ยเสียน เชี่ยวชาญในการรังแกผู้อื่นและก่ออาชญากรรม

มีผู้นำตระกูลสามคนในตระกูลจิน คนแรกคือ ผู้เฒ่าตระกูลจิน

เขาอยู่ในวัยห้าสิบกว่าปี และยังคงไปหอนางโลมเหยียนฮวาเป็นครั้งคราว เขาต้องการเฉพาะคนที่เพิ่งถูกขายเข้ามา

ตราบใดที่มีเด็กผู้หญิงอยู่ในหอนางโลม จินติ่งเทียนก็จะเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ลับหลังทุกคนแอบเรียกเขาว่า อันธพาลจินติ่งเทียน

คนที่สองคือ นายท่านของตระกูลจิน ตอนนี้จินโหย่วกุ้ยรับผิดชอบดูแลทุกอย่างภายในบ้าน เขาไม่ได้สนใจเหล่าสตรีมากนัก เขาชื่นชอบในเงินตรา มีอันธพาลหลายร้อยคนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา พวกเขามักจะไปที่ร้านค้าเล็กใหญ่ในเมืองรุ่ยเสียนเพื่อรีดไถเงิน และเรียกมันว่าเงินคุ้มครอง

ร้านจิ่นฝูและร้านฝูจิ่นก็อยู่ที่นี่ตามธรรมชาติเช่นกัน และในอดีตมีหลี่ฝานเป็นผู้ดูแล

หลี่ฝานเป็นคนโปร่งใส ดังนั้นเขาจึงยอมจำนนต่อจินโหย่วกุ้ยโดยธรรมชาติ เขาจึงไม่กล้ารุกรานร้านอาหารทั้งสองแห่งนี้

จินโหย่วกุ้ยผู้นี้ คนทั่วไปตั้งฉายาให้เขาว่า อันธพาลหน้าเงิน

แน่นอนว่านายน้อยคนนี้คือ จินซื่อข่าย ตระกูลจินไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ฝังศพไว้อย่างดี หรือเพราะพวกเขาทำสิ่งชั่วร้ายมากเกินไป เพราะทั้งครอบครัวจึงมีลูกชายเพียงคนเดียว และไม่มีแม้แต่บุตรสาวสักคน

โดยธรรมชาติแล้ว จินซื่อข่ายผู้นี้เป็นทายาทเพียงคนเดียวในสามชั่วอายุคน ตระกูลจินทั้งหมดจึงถือว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่า

พึ่งพาทุกอย่าง เชื่อฟังทุกอย่าง ทำทุกอย่างที่ต้องการ และกลายเป็นอันธพาลที่ไม่มีใครในเมืองรุ่ยเสียนกล้าควบคุมหรือตำหนิเขา

กิน ดื่ม เที่ยวโสเภณี เล่นการพนัน ข่มเหงชายหญิง รังแกผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ พวกเขาทำชั่วทุกประเภท

ยิ่งไปกว่านั้น จินซื่อข่ายยังสนใจผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจากครอบครัวที่ดี บางครั้งผู้หญิงจากครอบครัวที่ดีจะถูกจินซื่อข่ายลวนลามเมื่อพวกนางมาเดินเล่นบนถนน

ทั้งเมืองรุ่ยเสียนต่างไม่พอใจในตระกูลจิน โดยเฉพาะจินซื่อข่ายที่ร้ายกาจยิ่งกว่าพ่อหรือปู่ของเขาเสียอีก

ทั้งเมืองรุ่ยเสียนเกลียดตระกูลจิน แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับตระกูลจินได้

เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะพวกเขามีญาติในเมืองหลวงที่เป็นขุนนางระดับสูง

ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานตระกูลจิน แม้ว่าตระกูลจินจะก่ออาชญากรรม พวกเขาก็จะถูกลงโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนคนอื่นก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง

คราวนี้กู้หนิงผิงทำให้จินซื่อข่ายขุ่นเคือง ทุกอย่างจะต้องจบเห่แน่

กู้หนิงผิงฟังลูกจ้างในร้านพูดถึงตระกูลจิน ในทางตรงกันข้าม เขาไม่ได้กลัวความเย่อหยิ่งของตระกูลจินเลย แต่กลับกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในใจของเขาขึ้น

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว” กู้หนิงผิงพูดด้วยความโกรธ “ตระกูลจินกำลังทำชั่วในเมืองรุ่ยเสียน รังแกทุกคน ทำไมท่านไม่ฟ้องเขาล่ะ”

“ฟ้องแล้ว ทำไมจะไม่ฟ้อง” ลูกจ้างในร้านพูดอย่างหมดหนทาง “ตระกูลจินมีขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงคอยสนับสนุนเขา ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นญาติกัน”

“เป็นขุนนางแบบไหนในเมืองหลวง?” ถานอวี้ซูเริ่มโกรธเคืองเมื่อได้ยินว่าตระกูลจินกระทำสิ่งเลวร้ายทุกประเภทและไม่มีใครสนใจ ปรากฏว่าเป็นเพราะตระกูลนี้ถูกสนับสนุนโดยขุนนางในเมืองหลวง

“ไม่รู้สิ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นขุนนางระดับสูง”

ถานอวี้ซูพูดอย่างดุดัน “ไม่ว่าขุนนางจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ฮ่องเต้ก็มอบยศขุนนางให้เพื่อมีไว้ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่เพื่อตามเช็ดก้นญาติที่น่ารังเกียจของเขาที่คอยกดขี่ประชาชนเช่นนี้”

กู้หนิงผิงไม่คาดคิดว่าถานอวี้ซูคนนี้จะกล้าหาญ เขาจึงยิ่งรู้สึกชอบนางมากยิ่งขึ้น

เขามองไปที่ถานอวี้ซูด้วยความชื่นชม “แม่นางถาน สิ่งที่เจ้าพูดนั้นดีมากจริง ๆ”