ขณะที่กองทหารราชองครักษ์เหล่านี้กำลังสับสน เส้นทางภูเขาด้านหน้าจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ต้วนเยว์ตกตะลึง เขาหันกลับไปดูก็เห็นทหารราชองครักษ์นายหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซกลับมา เพิ่งจะวิ่งพ้นช่องเขาก็สะดุดล้ม เสื้อเกราะบนแผ่นหลังถูกผ่ากลาง โลหิตทะลักออกมาเป็นสาย เห็นชัดว่ามีคนใช้ดาบฟันสะบั้นเสื้อเกราะเอาชีวิตเขา
หัวใจต้วนเยว์หนาวยะเยือก การโจมตีมาจากทางด้านหน้า หรือว่าลู่คังหลอกล่อตนให้เข้าใจผิด ยังมิทันได้ขบคิดให้กระจ่าง เส้นทางภูเขาด้านหลังก็มีเสียงผรุสวาทของพลทหารใต้บัญชากับเสียงคมอาวุธปะทะกันดังลอยมาอีก ต้วนเยว์หันหลังกลับมาเห็นคนชุดดำที่ปิดหน้าปิดตากลุ่มหนึ่งกำลังบุกเข้ามาทางช่องเขาแคบแห่งนั้น โชคดีที่เส้นทางบนภูเขาแคบมาก พวกเขาจึงถูกทหารราชองครักษ์ขวางไว้ได้ แม้ทหารเหล่านี้จะมิชำนาญศึก แต่ก็ทราบว่าหากเสียปากช่องเขาตรงนี้ไป น่ากลัวว่าคงไม่รอดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงขวางเส้นทางไว้อย่างไม่เสียดายชีวิต
ต้วนเยว์โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง รีบออกคำสั่งให้ทหารราชองครักษ์ด้านหน้าขวางช่องเขาด้านหน้าไว้ ช่องเขาสองฝั่งที่อยู่สุดปลายแต่ละด้านของเส้นทางภูเขาช่วงนี้หากถูกศัตรูยึดไปได้ ภูมิประเทศตรงกลางจะกว้าง เหมาะกับการต่อสู้ฆ่าฟันที่สุด พอถึงยามนั้นน่ากลัวว่าคงไม่มีโอกาสรอดแม้แต่เศษเสี้ยวแล้วจริงๆ ดังนั้นต้วนเย่ว์จึงตะโกนสั่งไม่หยุด บังคับให้พลทหารใต้บัญชาป้องกันไว้ให้จงได้
เวลานี้ร่องรอยของศัตรูปรากฏทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งต้วนเยว์ก็ทราบจากปากของพลทหารว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีศัตรูหนึ่งร้อยกว่าคนดาหน้าเข้ามาโจมตี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาท่าทางเหมือนจะเป็นชาวยุทธภพผู้ชำนาญวรยุทธ์ เหมาะกับการต่อสู้ในสถานที่คับแคบพอดี หากมิใช่ว่าพวกตนนำเครื่องยิงหน้าไม้มาหลายตัว เกรงว่าคงถูกคนเหล่านั้นบุกเข้ามาได้นานแล้ว
ต้วนเยว์กังวลกลัดกลุ้ม ปากก็ตะโกนถามเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นโจรจากที่ใดจึงกล้ามาปล้นขบวนทหารราชองครักษ์ ถอยไปให้เร็วไว แล้วข้าจะยอมไว้ชีวิตพวกเจ้า”
พอได้ยินคำนี้ คนชุดดำเหล่านั้นต่างหัวเราะดังลั่น คนหนึ่งในนั้นเงื้อดาบสะบั้นศีรษะพลทหารตรงหน้าขาดในฉับเดียวแล้วหัวเราะเสียงดัง “พวกเจ้าทหารราชองครักษ์ล้วนเป็นพวกไร้ความสามารถ สังหารก็สังหารสิ ผู้ใดไยดีชีวิตของพวกเจ้า หากบอกว่าจะสังหารพวกข้า พวกเจ้าก็ต้องมีความสามารถพอ หรือพวกเจ้าเป็นลูกน้องของแม่ทัพใหญ่เล่า”
ต้วนเยว์ฟังจบก็ยิ่งตกตะลึง ในใจคิดว่าหรือว่าคนพวกนี้จะเป็นคนในยุทธภพที่มาช่วยตระกูลลู่ เขาถามเสียงดังอีกหน “หากพวกเจ้าเป็นลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่ก็น่าจะทราบว่าการเดินทางมาปล้นคนมีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี แม้ลู่ฮูหยินกับคุณชายจะถูกเนรเทศไปหนานหมิ่น แต่วันหน้าไม่แน่ว่าจะไร้โอกาสได้รับพระราชทานอภัยโทษได้หวนคืนบ้านเกิด หากพวกเจ้ากระทำการมิสมควรส่งเดชเช่นการบุกมาปล้นนักโทษ ถึงเวลาตระกูลลู่ทั้งตระกูลย่อมไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันจริงๆ”
บุรุษชุดดำเหล่านั้นกลับหัวเราะเยาะออกมาอีกหน จากนั้นก็ยิ่งบุกโจมตีรุนแรงขึ้นอีก มีบางคนผรุสวาทถ้อยคำหยาบคาย แม้จะไม่ได้หยามหมิ่นไปถึงลู่ฮูหยิน แต่ถ้อยคำที่กล่าวก็น่าชังนัก ผู้คนของตระกูลลู่ขมวดคิ้วไม่คลาย
ในใจต้วนเยว์ตะโกนก้องว่าแย่แล้ว คนพวกนี้ทั้งมิใช่โจรธรรมดา แล้วยังไม่ใช่คนของฝั่งแม่ทัพลู่อีก ถ้าเช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นมือสังหารที่มาดักสังหารตระกูลลู่อย่างแน่นอน พอคิดเรื่องนี้ได้ ในใจเขาพลันบังเกิดความคิดว่าต้องร่วมแรงต้านศัตรู จึงหันกลับไปขอร้องลู่ฮูหยิน “ฮูหยิน โจรเหล่านี้จะต้องไม่มีเจตนาดีแน่ ฮูหยินโปรดออกคำสั่งให้ทหารในตระกูลช่วยเหลือผู้น้อยได้หรือไม่”
ลู่ฮูหยินฟังจบก็ครุ่นคิดชั่วครู่ “คนเหล่านี้มิใช่ลูกน้องเก่าของสามีข้าแน่นอน หากท่านแม่ทัพพ่ายแพ้ พวกข้าคงจะยิ่งพานพบเรื่องร้ายมากกว่าเดิม ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ย่อมดีกว่าจริงๆ ท่านแม่ทัพมิสู้มอบหมายการป้องกันด้านหน้าให้ลู่คังบัญชาการ ท่านแม่ทัพทุ่มสมาธิกับการศึกด้านหลังเป็นเช่นไร”
ต้วนเยว์ยินดีปรีดา รีบตอบเห็นด้วยแล้วแบ่งอาวุธจำนวนหนึ่งให้ทหารของตระกูลลู่ ลู่คังทิ้งทหารห้านายไว้คุ้มกันลู่ฮูหยินกับพวกผู้หญิงและเด็ก ส่วนตนเองนำทหารอายุยี่สิบกว่าไปด้านหน้า ทหารสังกัดตระกูลเหล่านี้ล้วนแกล้วกล้าชำนาญศึก เมื่อมีลู่คังบัญชาการอย่างเหมาะสม เพียงครู่เดียวก็คุมสถานการณ์อันตรายด้านหน้าเอาไว้ได้
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น คนชุดดำที่บุกมาโจมตีเหล่านั้นก็ล้วนเป็นโจรใจกล้าผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ อาวุธในมือก็เป็นของชั้นยอด แม้จะไม่ชำนาญการตั้งกระบวนทัพต่อสู้ แต่เพราะช่องเขาบนเส้นทางภูเขาคับแคบ ดังนั้นฝีมือวรยุทธ์จึงเป็นกุญแจสำคัญ พวกเขาแต่ละคนรับมือกับนายทหารได้เกือบจะสองสามคน ดังนั้นกำลังของทั้งสองฝ่ายจึงมีฝั่งหนึ่งลดฝั่งหนึ่งเพิ่มอย่างชัดเจน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม กองทหารราชองครักษ์ก็บาดเจ็บล้มตายระนาว หากไม่มีกำลังรบของทหารสังกัดตระกูลลู่ เกรงว่าช่องเขาคงถูกบุกทะลวงสำเร็จไปแล้ว
ลู่คังร้อนรน คิดในใจว่าโจรถ่อยเหล่านี้ลงมือ ณ ที่ตรงนี้ เพราะต้องเล็งเอาไว้แล้วแน่ว่าที่แห่งนี้คุ้มกันง่ายบุกตียาก แม้พวกเขาจะบุกเข้ามามิง่าย แต่ฝั่งพวกเราก็บุกฝ่าออกไปมิง่ายเช่นเดียวกัน นี่หมายความว่าพวกเขาตั้งใจจะกำจัดพวกเราให้หมดในคราวเดียว ทว่าแม้จะคิดเรื่องนี้ออกแล้วแต่เขาก็มิอาจทำสิ่งใดได้ ทหารของตระกูลลู่ชำนาญวรยุทธ์ แต่เทียบกันแล้วโจรถ่อยเหล่านั้นเก่งกาจในด้านการต่อสู้ประชิดตัวมากกว่า หากพวกทหารตระกูลลู่ไม่อาศัยพละกำลังและการร่วมมือกันก็คงจะถูกคนชุดดำเหล่านี้บุกทะลวงเข้ามานานแล้ว
ในตอนที่ลู่คังกำลังร้อนใจอยู่นั่นเอง จู่ๆ เสียงตะโกนลั่นของหญิงรับใช้นามลู่ฮุ่ยก็ลอยเข้ามาในหู “ลุงคัง ด้านบนมีคนกำลังลงมา”
ลู่คังได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมอง บนหน้าผามีเชือกเส้นยาวห้าหกเส้นถูกทิ้งลงมา คนชุดดำที่สวมผ้าปิดบังหน้าตาจำนวนหนึ่งกำลังจับเส้นเชือกเหินลงมา ลู่คังตกใจยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะออกคำสั่งให้ใช้เครื่องยิงหน้าไม้สังหาร ก็มองเห็นคนหนึ่งในหมู่คนเหล่านั้นยกมือขึ้น สิ่งที่อยู่ในมือคือป้ายหยกแผ่นหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ขว้างลงมาเบาๆ ลู่คังเอื้อมมือออกไปรับอย่างไม่ทันคิด แล้วก็พบว่านั่นคือป้ายคำสั่งของลู่ช่าน หากอาศัยป้ายนี้ย่อมเข้าออกจวนแม่ทัพใหญ่ได้
ลู่คังพินิจดู เพียงครู่เดียวก็มองออกว่ารูปร่างของคนผู้นี้ละม้ายคล้ายกับเหวยอิง แต่ในใจเขาก็ยังลังเล แม้เหวยอิงจะเป็นคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของสำนักเฟิงอี้ด้วย เรื่องที่สำนักเฟิงอี้สมคบกับอัครมหาเสนาบดีซั่งใส่ร้ายป้ายสีทำร้ายแม่ทัพใหญ่มิใช่ความลับอะไร เหวยอิงเดินทางมาหนนี้จะเอาอย่างไรกันแน่ เขาเองก็มิกล้าแน่ใจ
ทว่าชั่วขณะที่ลู่คังลังเล คนชุดดำสิบกว่าคนก็ลงมาถึงพื้นแล้ว คนที่โยนป้ายหยกมาให้ผู้นั้นมิปลดผ้าปิดหน้า เขาชี้แถบผ้าสีเลือดบนท่อนแขน หลังจากนั้นก็ถืออาวุธพุ่งไปด้านหน้า ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นแต่เดิมคิดจะแบ่งคนออกมาสู้ แต่กลับถูกลู่คังห้ามไว้ คนผู้นั้นมิสนใจความคลางแคลงของคนทั้งหลาย เขาพุ่งมาถึงด้านหน้าก็แทงหนึ่งกระบี่ปลิดชีวิตโจรชุดดำที่ฝ่าผ่านช่องว่างเข้ามาทันที
ลู่คังเห็นเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ตะโกนเสียงดังว่า “นี่เป็นคนของพวกเรา ทุกคนมิต้องกังวล” ระหว่างที่พูดก็ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนคอยสังเกตผ้าสีแดงบนแขน ทุกคนจึงคลายใจ ทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าต่อต้านศัตรู
คนชุดดำเหล่านั้นลงมาถึงข้างล่างหมดแล้ว พวกเขาแบ่งคนออกไปช่วยเหลือสุดปลายทั้งสองฝั่ง คนชุดดำที่ปิดบังหน้าตาและผูกผ้าสีแดงเหล่านี้แต่ละคนวรยุทธ์สูงส่ง ห้าวหาญมิกลัวตาย มีพวกเขาช่วยเหลือ โจรถ่อยที่ปิดบังหน้าตาเหล่านั้นก็เริ่มถูกสกัดการบุก เพียงแต่คนเหล่านี้สู้ด้วยวิธีการของคนในยุทธภพ แม้จะสู้รบปรบมือได้สูสี แต่กำลังพลที่เสียไปก็มากมายขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองฝ่ายต่างอำมหิตยิ่งนัก ต่อให้ถูกดาบหรือกระบี่ทำร้ายจนบาดเจ็บก็ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ตั้งท่าจะสละชีพเข้าสังหารศัตรูเพียงอย่าเดียว เพียงชั่วครู่ช่องเขาสองฝั่งก็อาบโลหิตจนทั่ว แต่เส้นทางคับแคบ คนที่บาดเจ็บหนักหรือคนที่ตายจากการต่อสู้มักจะตั้งหลักไม่มั่นร่วงตกจากทางไปบ่อยครั้ง หากมิใช่เช่นนั้นเส้นทางก็คงถูกซากศพกองขวางไว้แล้ว
ทว่าแม้ผู้คนที่ถูกล้อมบนทางภูเขาจะได้กองหนุนมาช่วย แต่ศัตรูสองฝั่งก็มีกำลังคนมาก ต่อสู้นานเข้า ทุกคนก็เริ่มหมดสิ้นกำลัง ศัตรูกลับผลัดเวียนกันบุกจึงยังเหี้ยมหาญเหมือนมังกรเหมือนพยัคฆ์อยู่ดุจเดิม ลู่คังเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า สายตาจับจ้องหัวหน้าของกลุ่มคนปิดหน้าปิดตาที่ตอนนี้ถอยมายืนพักอยู่ข้างกายตนแล้วกระซิบว่า “ท่านเหวยเดินทางมาช่วยเหลือ หากดวงวิญญาณท่านแม่ทัพใหญ่ในปรโลกล่วงรู้ต้องซาบซึ้งมิสิ้นสุดเป็นแน่”
เหวยอิงรู้สึกว่าลมหายใจกระชั้นของตนเองเริ่มกลับมาสงบ เขาไม่ตอบคำพูดของลู่คัง เพียงมองยอดเขากลางทะเลหมอกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเส้นทางภูเขาด้วยแววตาเฉยชา แล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงมารนหาที่ตายเท่านั้น”
ลู่คังใจสะท้านวูบหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไร ก็ได้ยินเสียงคำรามดุจอสนีบาตดังมาจากด้านหลัง จากนั้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งก็ดังทะลุเข้าในหู มีคนผู้หนึ่งใช้ลมปราณตะโกน “ติงหมิงอยู่ที่นี่ ลู่ฮูหยิน คุณชายลู่มิต้องกังวล”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น กองหนุนที่แข็งแกร่งมาถึงแล้ว ลู่คังดีใจยิ่งนัก รีบเอ่ยกับเหวยอิงว่า “ท่านเหวย ขอให้ท่านร่วมมือกับจอมยุทธ์ติงได้หรือไม่ ในนอกประสานต้องกำจัดศัตรูที่อยู่ด้านหลังได้แน่”
ดวงตาของเหวยอิงทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เจ้าวางใจได้”
กล่าวจบก็ตะโกนอย่างดุดันออกมาติดกันหลายคำ กลุ่มคนชุดดำปิดหน้าปิดตาที่ผูกผ้าสีแดงเหล่านั้นตอนนี้ยังมีคนที่รอดอยู่สิบหกคน เก้าคนอยู่ที่ช่องเขาด้านหน้า เจ็ดคนอยู่ที่ช่องเขาด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเหวยอิง ด้านหน้าก็แบ่งคนออกมาอีกสี่คน ติดตามเหวยอิงพุ่งเข้าประจัญบานกับทางฝั่งช่องเขาด้านหลัง ทหารราชองครักษ์ที่เหลืออยู่น้อยนิดเหล่านั้นถอยออกมาตามคำสั่งของต้วนเยว์ เหลือไว้แต่ทหารตระกูลลู่คอยร่วมมือกับพวกเหวยอิง กระหนาบโจมตีสองฝั่ง
โจรถ่อยเหล่านั้นต้องประจันหน้ากับศัตรูทั้งหน้าหลัง ในเวลาเพียงสองเค่อก็พากันล้มตายหมดสิ้น เหวยอิงเสียบกระบี่ใส่โจรที่ปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งจนล้มคว่ำ คนผู้นั้นยอมแลกชีวิตสวนกลับมาหนึ่งดาบ ทว่าเฉือนได้เพียงผ้าปิดหน้าของเหวยอิง ทิ้งรอยแผลเส้นหนึ่งไว้บนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ในใจคนผู้นั้นนึกสงสัยมาก่อนแล้ว เมื่อได้เห็นโฉมหน้าของเหวยอิง ในที่สุดก็ได้รับคำตอบ เขาชี้เหวยอิงแล้วตวาดกร้าว “เจ้า…” ทว่ายังมิทันเอ่ยจบก็ถูกกระบี่ของเหวยอิงเสียบทะลุลำคอ ถีบตกไปจากทางภูเขา
ทันใดนั้นเองดวงตาของเหวยอิงก็พร่าลาย ประกายกระบี่สายหนึ่งวาดแหวกท้องนภา จวบจนเหวยอิงเพ่งสายตาจนมองชัดอีกหนก็เห็นบัณฑิตสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนหนึ่งวิ่งเลี้ยวผ่านช่องเขามา กระบี่ยาวในมือเขาทอประกายวาววับส่องทั่วทุกทิศ โจรถ่อยสองคนยกมือกุมดวงตาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะโซเซร่วงตกไปจากหน้าผา