ติงหมิงเห็นเหวยอิงก็ตกตะลึง แม้ทราบว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับลู่ช่าน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะหาญกล้าเดินทางมาคุ้มกันตระกูลลู่ระหว่างเดินทางไปหนานหมิ่น ชั่วขณะที่เขาตกตะลึง เหวยอิงก็ดึงผืนผ้าขึ้นมาปกปิดใบหน้าอีกหน เขาหันหลังกลับพาองครักษ์โลหิตเก้าคนที่เหลือวิ่งไปทางช่องเขาด้านหน้า
ลู่คังตะโกนเสียงดังสวนมา “จอมยุทธ์ติงใช่หรือไม่ คนที่ผูกผ้าสีแดงที่แขนพวกนั้นเป็นคนของเรา”
ติงหมิงโล่งใจ ยกเท้าวิ่งตามพวกเหวยอิงไปด้านหน้า ด้านหลังเขา ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมหลายสิบคนวิ่งตามไผ่ระทมมา พวกเขาทิ้งคนจำนวนหนึ่งไว้เฝ้าช่องเขา ส่วนคนอีกจำนวนหนึ่งรับผิดชอบจับตาดูกองทหารราชองครักษ์เพื่อป้องกันพวกเขาฉวยโอกาสลงมือ อย่างไรเสียในสายตาของซั่งเหวยจวิน พวกเขาก็เป็นศัตรู
ติงหมิงกับเหวยอิงเคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่เขาดูแคลนเรื่องที่เหวยอิงเคยทรยศแว่นแคว้นในวันวาน ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่เคยคบหากันลึกซึ้งแต่อย่างใด วันนี้เขากลับเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างกายเหวยอิง เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “พี่เหวยมิกลัวอำนาจของเสนาบดีชั่ว ช่างเป็นมิตรแท้ของแม่ทัพใหญ่อย่างแท้จริง ปกติผู้แซ่ติงเคยล่วงเกินเอาไว้มาก ขอพี่เหวยโปรดอภัยด้วย”
คิดมิถึงว่าเหวยอิงกลับมิเปล่งเสียงตอบ เพียงเหลือบมองเขาเรียบๆ ปราดหนึ่ง จากนั้นถือกระบี่วิ่งไปด้านหน้า ติงหมิงชะงัก แต่ไม่ใช่เพราะแปลกใจกับความไร้มารยาทของเหวยอิง แต่เพราะเขามองออกอย่างชัดเจนว่าในดวงตาที่ทอประกายเย็นยะเยือกคู่นั้นของเหวยอิง มีความตั้งใจอันแน่วแน่แฝงอยู่
เพียงไม่กี่ก้าว ทั้งสองคนก็รีบเร่งมาถึงช่องเขาด้านหน้า สถานการณ์วิกฤตแล้ว องครักษ์โลหิตที่เหลืออยู่เพียงห้าคนมีเพียงคนเดียวที่ยังฝืนสู้อยู่ทั้งที่ร่างอาบด้วยโลหิต ทหาราชองครักษ์บาดเจ็บล้มตายจนหมดสิ้น ทหารตระกูลลู่ก็บาดเจ็บล้มตายมากมายเช่นกัน เหวยอิงกับติงหมิงพุ่งเข้าไปในกลุ่มศัตรูพร้อมกัน คมกระบี่ทอประกายวาววับ สังหารศัตรูติดกันไปหลายคนจึงหยุดยั้งสถานการณ์ไว้ได้
เวลานี้ชุยเสียงผู้สั่งการกลุ่มคนชุดดำที่ปิดบังหน้าตาให้บุกโจมตีช่องเขาอยู่ด้านหลังสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงเหวยอิงตะโกนตามที่นัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาทราบว่าเจ้านายต้องการให้ฉวยโอกาสโหมโจมตี เขาจึงส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในหมู่ลูกน้องออกไป แต่ตอนนี้คนพวกนั้นกลับถูกเจ้าตำหนักขัดขวางไว้ เจ้าตำหนักทำเช่นนี้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่
ยังมิทันที่ชุยเสียงจะได้ขบคิดจนกระจ่าง จู่ๆ บนหน้าผาก็มีไฟจุดสว่างเหมือนดวงไฟกำลังลอยขึ้นฟ้า ตามมาด้วยเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงิน ชุยเสียงนึกฉงนงงงวยจึงเงยหน้าขึ้นดู ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าบนหน้าผาของเส้นทางภูเขามีสตรีแปดเก้าสิบนางยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ มีหญิงชราสวมกระโปรงเนื้อหยาบปักปิ่นไม้ มีหญิงงามวัยกลางคนแต่งกายหรูหรา มีสตรีสวมอาภรณ์สีหิมะอายุราวสามสิบปีอีกมากมาย แล้วก็มีหญิงสาวแรกรุ่นหน้างามแฉล้มอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าพวกนางทั้งหมดล้วนสีหน้าเย็นชา ข้างเอวห้อยกระบี่คมกริบ ผู้ที่ยืนอยู่บนหน้าผาถูกสตรีทั้งหลายรายล้อมประหนึ่งดาวล้อมเดือนคือสตรีงามวิลาสนางหนึ่ง รูปโฉมงามล่มเมืองปานประหนึ่งเทพธิดา
ชุยเสียงเข้าใจโดยพลัน พวกตนคือเหยื่อล่อไว้หลอกคนที่จะเดินทางมาช่วยตระกูลลู่ให้เชื่อว่าไม่มีกับดัก แม้จะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตำหนักต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ มิเพียงเสียสละลูกน้องตำหนักเฉินที่ตนเองปกครองอยู่ แต่ยังเสียสละองครักษ์โลหิตที่เป็นคนสนิทของเขาอีกด้วย แม้กระทั่งตัวเองก็ต่อสู้อย่างมิหวงแหนชีวิต
แต่ชุยเสียทราบดีว่าหากอยากมีชีวิตรอด เวลานี้ก็สมควรหนีได้แล้ว เขารีบออกคำสั่งถอย ยังมิทันที่ชุยเสียงจะนำเหล่าลูกน้องถอยหนีไป ก็เห็นมือกระบี่หญิงชุดขาวเหล่านั้นบนหน้าผาหยิบหน้าไม้ออกมา ตวาดเสียงดังพร้อมเพรียง ประกายแสงสีดำสามสายพุ่งไปหาหน้าผาฝั่งตรงข้าม ปักลงบนหินผาอย่างแผ่วเบา
เสียงขยับเคลื่อนไหวดังขึ้นแว่วๆ พวกติงหมิงหันไปเพ่งดู ประกายแสงสีดำหล่านั้นเป็นลูกศรหน้าไม้ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อสัมผัสถูกหินผา หัวลูกศรก็จะกางออกเป็นกรงเล็บยึดก้อนศิลาที่ยื่นออกมาเอาไว้อย่างมั่นคง กรงเล็บเหล็กปักจมลึกลงไปในหินผาประหนึ่งโคลน ติงหมิงอาศัยพลังสายตาของตนค้นพบว่าด้านหลังกรงเล็บบินเหล่านั้นมีเส้นด้ายที่ตาเปล่าแทบจะมองมิเห็นเส้นหนึ่งลอยอยู่ ยังมิทันที่ติงหมิงจะขบคิดจนเข้าใจ มือกระบี่หญิงอาภรณ์สีหิมะเหล่านั้นก็พลันลอยละลิ่วจากบนหน้าผามาตามเส้นด้ายพาดเอียงลงมาบนพื้น แผ่วเบาดุจกลีบบุปผาร่วง สัมผัสพื้นมิเกิดเสียง
สตรีหลายนางที่กระโดดลงมาจากหน้าผากลุ่มแรกสุดเหวี่ยงกระบี่บุกเข้าเข่นฆ่า ทหารราชองครักษ์ที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่บางส่วนถูกลอบสังหารลงไปกองกับพื้น แต่ติงหมิงมิเพียงชำนาญวิชากระบี่ แต่ยังรู้กลศึกด้วย เขาออกคำสั่งรัวเร็วให้หดแนวป้องกัน รอจนกระทั่งสตรีเหล่านี้ลงจากหน้าผามาจนหมด ขวางเส้นทางเอาไว้แล้ว ติงหมิงจึงนำทหารของตระกูลลู่ออกมาตรึงกำลังป้องกันอยู่ที่ตีนผา ส่วนเหวยอิงกับองครักษ์โลหิตใต้บัญชาของเขาตรากตรำต่อสู้มานานจนเหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว จึงถูกปกป้องอยู่ด้านหลัง
หลิงอวี่ลอยลงมาจากหน้าผา เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ลอบยินดีในใจ แต่มิเผยออกมาทางสีหน้า นางก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ผู้นี้คงจะเป็นจอมยุทธ์ติง ติงหมิง มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอู๋เย่ว์ วันนั้นที่เรือนตระกูลเฉียว ศิษย์พี่รองกับศิษย์น้องเจ็ดของข้าคงตายใต้คมกระบี่ของพี่ติงสินะ”
ติงหมิงได้ยินก็พลันถอนหายใจ “เดิมเป็นคนงาม ไฉนเลือกเป็นโจร ผู้นี้คงจะเป็นเจ้าสำนักหลิงแห่งสำนักเฟิงอี้เป็นแน่แท้ แม้ในอดีตเจ้าสำนักฟ่านจะทำเรื่องเนรคุณแผ่นดิน แต่ก็มิเคยส่งเสริมขุนนางชั่ว ทำร้ายขุนนางภักดี เจ้าสำนักทำเช่นนี้ไยมิใช่หยามเกียรติสำนักตน”
หลิงอวี่สีหน้าเย็นยะเยือกตอบว่า “ขอเพียงสังหารพวกเจ้าให้สิ้น เรื่องในวันนี้ยังจะมีผู้ใดล่วงรู้อีกเล่า”
ติงหมิงเห็นหลิงอวี่เผยจิตสังหารผ่านทางสีหน้าออกมาจนหมดสิ้นก็ยิ้มหยัน “หากต้องการให้ผู้อื่นมิล่วงรู้ มีแต่ต้องมิกระทำ เจ้าสำนักหลิงจะหลอกตนเองไปไย ใต้หล้าผู้ใดมิทราบเรื่องชั่วช้าที่สำนักเฟิงอี้อยู่ฝ่ายเดียวกับซั่งเหวยจวิน สมคบกันทำร้ายขุนนางภักดี”
หลิงอวี่โกรธจัด ออกคำสั่ง “สังหารพวกเขาให้หมด ข้าต้องการเลือดของพวกเขามาเซ่นสังเวยดวงวิญญาณศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า” เสียงยังมิทันเอ่ยจบ จู่ๆ เสียงร้องตกใจของลู่ฮูหยินก็ดังมาจากตีนผา พวกติงหมิงตกใจจนหน้าถอดสี หันกลับไปมองก็เห็นเหวยอิงอุ้มลู่ถิงอยู่ในมือ กระบี่ยาวพาดอยู่บนลำคอของลู่ถิง รอบกายเขาล้วนมีคนชุดดำคุ้มกัน พวกเขากำลังประจันหน้ากับทหารของตระกูลลู่ ลู่ฮูหยินผมเผ้ากระเซิง ดิ้นรนอย่างมิคิดชีวิต หมายจะถลาเข้าไปแย่งบุตรชายคืน แต่กลับถูกหญิงรับใช้สองนางกอดไว้แน่น
ติงหมิงไม่มีเวลาสนใจหลิงอวี่ที่อยู่ด้านหน้า เขายกกระบี่ชี้เหวยอิงแล้วถามเสียงเหี้ยม “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
เหวยอิงปลดผ้าปิดหน้าออกแล้วหัวเราะเยาะหยัน “ผู้แซ่เหวยสู้อย่างลืมตายเพื่อล่อพวกเจ้าเข้ามาในกับดักเท่านั้น ยามนี้บรรลุเป้าหมายแล้วย่อมมิยินดีกลายเป็นกองกระดูกขาวบนขุนเขาเขียวด้วยกันกับพวกเจ้า หากเจ้าเปิดทางให้ข้าพาคุณชายน้อยออกไป แม้พวกเจ้าล้วนตายอยู่ที่นี่แต่ยังรักษาชีวิตของคุณชายน้อยเอาไว้ได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ผู้แซ่เหวยก็จะกระหนาบโจมตีจากด้านในและด้านนอกร่วมกับเจ้าสำนัก แม้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่ พวกเจ้าก็อย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกไป”
ลู่คังเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ก็ด่าทอเสียงดัง “เหวยอิง แม่ทัพใหญ่เชื่อใจเจ้า ให้เจ้าเป็นคนสนิทใกล้ชิด แต่เจ้ากลับแปรพักตร์อย่างไร้หัวใจเช่นนี้ เมื่อครู่ข้ายังนึกซาบซึ้งที่เจ้าปกป้องฮูหยินกับคุณชายอย่างมิไยดีชีวิต คิดมิถึงว่าเจ้ากลับจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ จอมยุทธ์ติงจะปล่อยเขาออกไปมิได้เด็ดขาด คุณชายอยู่กับเขาต้องตายแน่นอน หากเขาทิ้งคุณชายไว้ ยังพอปล่อยเขาออกไปได้”
ติงหมิงฟังแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เอ่ยบ้างว่า “เหวยอิง เจ้าเป็นคนทรยศแว่นแคว้นเนรคุณแผ่นดินอยู่แล้ว ยามนี้ยังจะหักหลังความเมตตาของแม่ทัพใหญ่อีก ตายก็ยังมิสาสม เดิมทีข้าคิดว่าแม้นตายก็ต้องลากเจ้าลงนรกไปด้วย แต่หากเจ้ายอมปล่อยคุณชายมา ตอนนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ยอมปล่อยเจ้าออกไป”
เหวยอิงหัวเราะลั่น กระบี่ยาวในมือขยับแผ่วเบา บนลำคอของลู่ถิงพลันมีโลหิตซึมออกมา แม้ลู่ถิงจะเจ็บป่วย สติสะลึมสะลือ แต่ก็เจ็บจนร้องลั่น ลู่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็กรีดร้อง ศีรษะงามพับตกหมดสติไป เหวยอิงหุบรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเย็นชา “ผู้แซ่เหวยหวังดีต่างหาก คิดอยากจะเหลือทายาทสักคนไว้ให้แม่ทัพใหญ่ หากเจ้าอยากให้คุณชายน้อยลงสุสานไปด้วย มิสู้ให้ข้าสังหารเขาเสียตอนนี้”
พวกติงหมิงมองหน้ากันแต่ยากจะตัดสินใจ เวลานี้ลู่ฮูหยินเริ่มฟื้นได้สติอย่างช้าๆ แล้ว ดวงตาสุกใสทั้งสองข้างกระจ่างดั่งธารน้ำใส นางเอ่ยอย่างโศกสลด “จอมยุทธ์ติง ปล่อยเขาไปเถิด ท่านเหวย หากท่านเห็นแก่ความดีของแม่ทัพใหญ่แม้เพียงนิด ก็อย่าได้ทำร้ายชีวิตของถิงเอ๋อร์”
เหวยอิงมองสบดวงตาที่อัดแน่นด้วยความเศร้าโศกและจริงใจคู่นั้น หัวใจพลันสั่นไหว เอ่ยตอบว่า “ฮูหยินเดินทางอย่างวางใจเถิด หากข้ามิตาย จะมิยอมให้ผู้ใดทำร้ายคุณชายน้อยอย่างแน่นอน”
ลู่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย น้ำตาอาบใบหน้า ติงหมิงเห็นเช่นนี้พลันรู้สึกเศร้าหมอง ในที่สุดก็สั่งให้คนเปิดทาง
เหวยอิงมิสนใจสายตาเคียดแค้นดูแคลนของคนทั้งหลาย เขาอุ้มลู่ถิงเดินไปหาหลิงอวี่แล้วเอ่ยว่า “ผู้แซ่เหวยตรากตรำต่อสู้มานานแล้ว อยากจะไปพักผ่อนก่อนสักหน่อย มิทราบว่าเจ้าสำนักจะอนุญาตหรือไม่”
แววตาหลิงอวี่ทอประกายวูบหนึ่ง ถามว่า “เจ้าคิดจะเก็บสายเลือดชั่วช้าคนนี้ไว้จริงหรือ”
แววตาของเหวยอิงวูบไหว ตอบเสียงเบา “ตอนอยู่ก่วงหลิงข้าเห็นเจียงเจ๋อมาเซ่นไหว้ไว้อาลัยแม่ทัพใหญ่ จึงทราบว่าเขาโศกเศร้าเสียใจไปถึงแก่นกระดูกจริงๆ หากได้บุตรชายตระกูลลู่มาไว้ในมือ ย่อมมีประโยชน์อยู่บ้าง เพียงแต่เจ้าสำนักออกคำสั่งให้สังหารลู่เฟิงเสียแล้ว ข้าจึงทำได้แต่เก็บชีวิตของลู่ถิงไว้”
หลิงอวี่ยิ้มละไม ในที่สุดก็เชื่อในความจริงใจของเหวยอิงแล้ว นางเอ่ยขึ้นว่า “ดี ท่านไปเถิด ลำบากท่านแล้ว พอข้าสังหารคนพวกนี้จนหมดแล้ว จะหารือเรื่องนี้กับท่านอีกหน”
เหวยอิงยิ้มน้อยๆ อุ้มลู่ถิงเดินไปทางช่องเขาที่เชื่อมไปยังฝั่งของเมืองผู่เฉิง ลู่ถิงร้องไห้เสียงดัง เอื้อมมือมาจับใบหน้าของเหวยอิง ทว่าเวลานี้เขาป่วยไข้ไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งยังอายุน้อยนิด เหวยอิงจึงเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพียงพริบตาเดียว เงาร่างของเหวยอิงก็หายลับไปจากเส้นทางภูเขา ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของลู่ถิงลอยมาแว่วๆ