บทที่ 1093 ตัดขาดความสัมพันธ์

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1093 ตัดขาดความสัมพันธ์

บทที่ 1093 ตัดขาดความสัมพันธ์

“อย่ามาบังคับผมแบบนี้นะพ่อ หลายปีที่ผ่านมาเสี่ยวเหอทำเพื่อผมมาโดยตลอด และเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวเรา ผมอยู่ข้างเธอ”

ซูเสี่ยวเถียน “…”

คนอื่น ๆ “…”

กระทั่งคนเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ยังไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

“ดี สองคนผัวเมียเข้ากันได้ดีเหลือเกินนะ เก่งมากไอ้ซูผิงอัน!” ซูฉางจิ่วโกรธจนตัวสั่นเทิ่ม

ลูกสะใภ้ด่าแม่สามี ส่วนลูกชายก็ยังพูดจาแบบนี้อีก

เขาเป็นพ่อที่ล้มเหลวจริง ๆ

ซูผิงอันก้มหน้าลง ไม่ได้เก็บคำพูดมาใส่ใจ

ช่วงนี้ภรรยาไม่พอใจพ่อแม่เขามากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ยืนฝั่งเดียวกับเธอก็ไม่รู้ว่าจะสร้างวีรกรรมอะไรอีก

แล้วถ้าเราเอาไปบีบบังคับให้เซี่ยหนานหางานให้พวกเราได้ล่ะ มันดีกว่าการจมปลักอยู่ในหมู่บ้านไม่ใช่หรือไง?

ความคิดชายหนุ่มถือว่าใช้ได้

แต่เมื่อพิจารณาจุดยืนตัวเองแล้วก็ไม่ได้คำนึงถึงผู้อื่นสักนิด

“วันนี้ฉันประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านทราบ ตั้งแต่นี้ไปตัวฉันซูฉางจิ่วและซูผิงอันตัดขาดการเป็นพ่อลูกกัน”

ชายชราได้แต่ทอดถอนใจที่ลูกชายไม่สำนึกเลยสักนิด

ทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ

คำพูดของเขาเหมือนกับธารน้ำแข็งในฤดูหนาว

รู้สึกแม้กระทั่งสายตาของชาวบ้านที่มองมาด้วยความเห็นใจ

เขาอยากพูดมานานแล้ว แต่เห็นว่าเป็นลูกเลยยอมทน

ใครจะไปคิดว่าสองคนนี้กลับทำตัวแย่ลงเรื่อย ๆ นับวันทำตัวไม่รู้จักขอบเขตเสียบ้าง

ซูผิงอันมองพ่อด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่เคยคาดหวังว่าจะโดนตัดขาดความสัมพันธ์

แม้แต่เถียนเสี่ยวเหอยังตกใจไปด้วย

ซูเสี่ยวเถียนแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

เรื่องตัดขาดในด้านกฎหมายยังไม่เป็นที่ยอมรับ

แต่การที่ลุงฉางจิ่วพูดแบบนี้ออกมา อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าช่วงนี้ซูผิงอันทำตัวกเฬวรากแค่ไหน

ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ไปทำอะไรไว้ถึงทำให้ลุงใจแข็งได้ขนาดนี้?

คนรายรอบยังคิดไม่ถึงเหมือนกัน

แต่เมื่อนึก ๆ ดูก็ไม่แปลก ถ้าเป็นเมื่อก่อนสองคนนี้คงถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านแล้วก็ได้

เราอยู่ในยุคสังคมใหม่ จึงมีเรื่องไม่น่ายินดีเกิดขึ้นจากลูกชายที่ทำตัวเหลวแหลก

พวกเราคิดว่าผู้ใหญ่บ้านใช้อารมณ์ กลัวอนาคตจะนึกเสียใจภายหลัง

พวกคนเฒ่าคนแก่รีบเกลี้ยกล่อม โดยหวังว่าจะผูกความสัมพันธ์พ่อลูกคืนได้

“ผู้ใหญ่บ้าน ลูกยังอายุน้อยอยู่เลยสอนเขาให้ดี ๆ เถอะ แต่ถ้าโตแล้วก็อย่าไปห่วงเลย”

“ใช่แล้ว ๆ ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็เป็นสายเลือดคุณเองนะ”

“ความเป็นพ่อลูกเหมือนกระดูกและเส้นเอ็นที่เชื่อมติดกันนั่นละ ถ้าพูดตัดขาดมันออกมาง่าย ๆ อนาคตคงไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ”

“อย่าตัดขาดเลย คุณบอกว่าชีวิตนี้ลูกก็เพื่อให้เขาเลี้ยงดูเราตอนแก่น่ะ ตอนนี้อายุคุณก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำไมถึงทำแบบนั้นเล่า?”

เหล่าคนเฒ่าคนแก่เข้าไปเกลี้ยกล่อม

ฝ่ายคนอายุน้อยก็ยังพูดกล่อมซูผิงอันเหมือนกัน

“ผิงอันรีบขอโทษลุงฉางจิ่วเถอะ เธอทำให้ผู้ใหญ่เขาโกรธนะ”

“ในฐานะที่เป็นลูกต้องอ่อนข้อให้พวกเขาหน่อยสิ เวลามีเรื่องอย่าแข็งข้อใส่ผู้ใหญ่เขาเลย”

“หลายปีมานี้ผู้ใหญ่บ้านก็ทำอะไรเพื่อพวกเธอสองคนไม่น้อยเลยนะ ลำบากมากเลย”

เพราะมีการสร้างฟาร์มและโรงงานขึ้นพร้อมกัน ความนิยมของซูฉางจิ่วในหมู่บ้านจึงเพิ่มขึ้นไปอีก

แม้ชาวบ้านจะชอบชมความบันเทิง แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความวุ่นวายให้บ้านเขาหรอก

“พ่อแม่ก็เลี้ยงฉันมาเหมือนกัน แล้วทำไมแม่ผัวต้องมาตีฉันด้วย?” พอเห็นสีหน้าสามีโดนล่อลวงเถียนเสียวเหอก็ไม่ยอม

“ซูผิงอัน ถ้าวันนี้แกไม่คิดช่วย รอพี่ชายฉันมาคิดบัญชีได้เลย”

ทุกคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วย

เรื่องมาจนถึงจุดนี้แล้วยังคิดทำอะไรอีก?

ทำไมยังสุมไฟไม่เลิก?

ไม่อยากเห็นครอบครัวผู้ใหญ่บ้านเขาอยู่กันสงบ ๆ สินะ!

ซูผิงอันตอนนี้มัวแต่ตะลึง

ที่จริงยังกลัวนิดหน่อย คิดจะยอมแล้วเอ่ยขอโทษ

แต่ถึงยังไงใจคิดไม่พอใจพ่ออยู่ดี

เป็นผู้อาวุโสอ่อนข้อให้สักหน่อยก็ไม่ได้ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก?

บังคับกันอยู่ไม่ใช่หรือไง?

ถ้าคิดถึงตัวเองบ้างคงไม่พูดจาแบบนี้อีก ไม่ลงมือกับเสี่ยวเหอด้วย

“พ่อแม่คิดจะบีบคั้นให้ผมตายหรือ?” ใบหน้าเขามีความเจ็บปวด มองด้วยสายตากล่าวหา

“เหล่าจื่อไม่ได้บีบบังคับให้แกตาย หรือสั่งให้แกมาบีบบังคับเหล่าจื่อด้วยซ้ำ! แค่พูดว่าช่วงนี้พวกแกทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้บ้าง!”

เพียงนึกถึงวีรกรรมที่เจ้าพวกนี้ทำเขาก็รู้สึกแย่ไปทั่วตัว

ชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งหมดพังทลายเพราะสองคนนี้

ตั้งแต่เถียนเสี่ยวเหอเซ็นสัญญารับช่วงฟาร์ม ก็ไม่เคยทำตัวสงบสุขเลย

ถ้าเก่งก็ว่าไปอย่าง

แต่นี่ดันหวังสูงแต่มือตีนไม่ขยับ

เป็นไอ้พวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับอยู่เสมอ

แล้วเวลาพูดจะชอบกระแนะกระแหน ทำอย่างกับผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ใช่คน!

นี่มันไม่ใช่ลูกแล้ว พวกขัดขวางความเจริญ ทำแต่เรื่องชั่ว ๆ ชัด ๆ!

“ผู้ใหญ่บ้าน รอให้ใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยว่ากันไหม มันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ!”

“ฉันซูฉางจิ่วพูดคำไหนคำนั้น และวันนี้จะฝากคำพูดเอาไว้นะตรงนี้ จากนี้ไปฉันไม่มีลูกชายอย่างซูผิงอันอีก และไม่ต้องการให้มันมาไว้อาลัยตอนตายด้วย!”

เป็นคำพูดที่รุนแรงมาก นั่นหมายความว่าตายแล้วตายจาก ไม่ขอรับความกตัญญูไว้อีก

การที่ทำให้เหล่าจื่อพูดแบบนี้ออกมาได้ อนาคตลูกชายหนทางดับสิ้นแล้วละ

แต่โดนคนวิพากษ์วิจารณ์ก็เจ็บพอฆ่าให้ตายแล้ว!

ซูผิงอันมองพ่อด้วยความไม่อยากเชื่อ

ทำไมจะไม่รู้ถึงน้ำหนักของคำพูดพวกนั้นล่ะ?

เขาทำอะไรอยู่นะ?

“พ่อกำลังจะฆ่าผมนะ!”

“จากนี้ไปก็ใช้ชีวิตให้ดีกับเมียแกแล้วกัน ชีวิตใครชีวิตมัน ฉันไม่เอาด้วยแล้ว กลัวก็แต่พวกเขาจะมาพรากชีวิตฉันไปมากกว่า!”

ว่าจบก็หมุนตัวจากไปเลย

จูหลานฮวาแค่อยากจัดการสะใภ้เฉย ๆ แต่ไม่นึกว่าสามีจะพูดเช่นนี้ออกมา

เธอรู้ว่าสามีโมโหมาก และไม่คิดโกหกด้วย

แต่อีกฝ่ายเป็นลูกชายแท้ ๆ ตนจึงลังเลที่จะปล่อยเขาไป

ในหัวคิดจะโน้มน้าวซูฉางจิ่ว

แต่เห็นอีกฝ่ายมองมาแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “ยังไม่กลับบ้านอีก?”

เซี่ยหนานอึดอัดเกินกว่าจะกลับไปด้วย

ไม่รู้จะไปไหนด้วยซ้ำ เดินเล่นหรือรอทุกอย่างดีขึ้นถึงค่อยไป

นึกเสียใจ รู้แบบนี้น่าจะกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับลูกและลูกเขย เธออยู่รออะไรเนี่ย?

นึกเสียใจตอนนี้คงไม่ทันแล้ว

เธอยืนนิ่ง

“อาจารย์เซี่ยหนาน คุณย่าหนูกำลังทำอาหารอยู่ค่ะ ท่านบอกให้มาเชิญอาจารย์ไปกินด้วยกันน่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความลำบากดี

แม้ทุกอย่างจะเป็นเพราะเถียนเสี่ยวเหอทำตัวไร้เหตุผล แต่เซี่ยหนานก็มีส่วนเอี่ยวด้วย ช่างน่าละอายใจนัก

ฝ่ายอาจารย์ยิ้มขอบคุณ