ตอนที่ 274-2 เจ้าซาลาเปาเข้าเรียน

เฉียวเวยไปเรือนถงก่อน จีซั่งชิงนั่งอยู่ในห้องอย่างว่าง่าย ใบหน้าไม่รู้บวมปูดขึ้นมาอีกลูกตั้งแต่เมื่อใด แต่ดูแล้วอารมณ์ไม่เลวนัก

“ท่านพ่อ นี่เป็นเห็ดหลิงจือที่ขึ้นบนเกาะ ตุ๋นน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายดีที่สุด นี่เป็นผลไม้ที่บ้านท่านตาของข้าปลูกเอง กินแล้วบำรุงร่างกายดียิ่ง ประเดี๋ยวท่านลองชิมดู” เฉียวเวยส่งกล่องมาให้

จีซั่งชิงรับกล่องลวดลายงดงามที่บรรจุเห็ดหลงจือกับผลสองภพมา แล้วยิ้มแย้มเอ่ยขอบคุณ

บอกตามตรง อาการบาดเจ็บตอนนี้ของเขาหนักยิ่งกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเมื่อตอนนั้นเสียอีก ไม่ยิ้มยังไม่เท่าไร แต่พอยิ้มก็ดูน่าสะพรึงอยู่บ้างจริงๆ นี่โชคดีเป็นตอนกลางวัน หากนางเห็นใบหน้านี้ตอนดึกๆ ล่ะก็…

เฉียวเวยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพาปี้เอ๋อร์ออกมา

ผลสองภพเป็นของดี แม้ตอนแรกจะมอบให้มารดาของนางไปแล้ว แต่ก่อนออกเดินทาง มารดาของนางก็ยังยัดผลสองภพยี่สิบผลไว้ในหีบของนาง ให้เจ้านายตระกูลจีคนละผล จีเหล่าฮูหยินฟันไม่ดีแล้วก็แบ่งให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสาม

เฉียวเวยมอบให้เรือนรองเล็กน้อย ไม่ผิดจากที่คิด หลี่ซื่อดึงนางมาถามเรื่องใต้เท้าเจ้าสำนัก “ข้ารู้ว่าเมื่อวานเจ้าพยายามปลอบเหล่าไท่ไท่ เด็กคนนั้น…ความจริงไม่ได้อยู่สบายนักใช่หรือไม่”

เฉียวเวยบอกความจริง หลี่ซื่อฟังจบ ขอบตาก็แดงระเรื่อ ขยำผ้าเช็ดหน้าแล้วถอนหายใจ “เด็กคนนั้นคงทุกข์ทรมาน สือหลิว!”

สือหลิวเปิดม่านเดินเข้ามา “ฮูหยิน ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ”

หลี่ซื่อสั่งว่า “หลายวันก่อนบ้านฝั่งมารดาของข้าส่งเขากวางอ่อนมาหนึ่งกล่อง เจ้านำมาให้ฮูหยินน้อย แล้วก็ที่ทับกระดาษรูปฉากกันลมจิ๋วที่เป็นทองคำฝังหยกก็นำไปมอบให้คุณชายรองด้วย”

“เจ้าค่ะ!”

เฉียวเวยเอ่ยขอบคุณหลี่ซื่อ เพราะต้องไปหาจีซวงด้านนั้นต่อจึงขอตัวลาหลี่ซื่อ

หลังจากมีบุตรชายจีซวงก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อก่อนนางเลี้ยงคณะละครเอาไว้คณะหนึ่ง มักจะได้ยินเสียงร้องเพลงดังมาแต่ไกลเสมอ แต่วันนี้สลายคณะไปแล้ว ข้าวของที่หรูหราฟุ้งเฟ้อเหล่านั้นในจวน ส่วนที่ขนย้ายออกไปได้ก็ถูกขนย้ายออกไปด้วย ได้ยินว่าเพราะกลัวกระแทกถูกบุตรชาย แต่เจ้าตัวน้อยเพิ่งอายุครบเดือน ยังห่างจากการก้าวเดินอีกไกลนัก

“ท่านอา ข้ามาหาท่านแล้ว!”

“อ้อ เสี่ยวเวยมาแล้ว!” จีซวงเปิดม่านออกมาต้อนรับเฉียวเวยเข้ามาในห้องด้วยตนเอง

ภายในห้องมีข้าวของสำหรับเด็กเพิ่มมาไม่น้อย ดูแล้วอบอุ่นยิ่งนัก เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตูมาก็ได้กลิ่นหอมของนมอันชวนให้รู้สึกอบอุ่น แม่นมเพิ่งป้อนนมให้ทารก นางคำนับทั้งสองคนแล้วถอยออกไป

จีซวงอุ้มลูกขึ้นมาจากเปล แล้วมานั่งกับเฉียวเวยบนเตียงเตา นางเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เจ้าดูเขาสิ หน้าตาเหมือนข้าหรือไม่”

เฉียวเวยรีบมองเจ้าตัวน้อยที่กำลังดูดนิ้วโป้ง อย่าให้พูดเลย ถึงปากน้อยๆ นั่นจะเหมือนจีซวงอยู่พอสมควร แต่สุดท้ายก็เหมือนอาเขยฉินมากกว่า เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ปากเหมือนท่านอา แต่หน้าผาก คิ้วกับดวงตาล้วนเหมือนอาเขย”

จีซวงถอนหายใจด้วยสีหน้าจนปัญญา “เฮ้อ ใครๆ ก็ว่าเช่นนี้”

แต่ภายในใจนางปลื้มปริ่ม

เฉียวเวยวางของขวัญลงบนโต๊ะ “ของขวัญเล็กน้อย ไม่อาจถือเป็นน้ำใจ ท่านอาอย่าได้รังเกียจ”

จีซวงบ่น “เฮ้อ เจ้าจะมาก็มาสิ ยังจะต้องเอาของอะไรมาด้วย! เห็นเป็นคนอื่นคนไกลหรืออย่างไร”

“ข้าอยากจะแสดงความเคารพที่มีต่อท่านอาต่างหากเล่า”

จีซวงแค่นเสียงดังเหอะ “หากเจ้าเคารพข้าจริง ตอนนั้นก็ไม่ควรทำลายร้านสุราของข้า จนถึงบัดนี้พี่ใหญ่ยังระแวงข้าอยู่เลย! สามวันห้าวันต้องมาถามข้าว่า พักนี้ไปทำกิจการอะไรอีกหรือไม่ ทำตัวอย่างกับระวังโจร! ข้ายุ่งอยู่กับการให้กำเนิดบุตรเลี้ยงลูก ไม่มีเวลาว่างไปทำกิจการอะไรเสียหน่อย พักนี้น่ะ มีแต่ท่านอาเขยของเจ้าที่ดูแลบ้าน!”

เฉียวเวยฟังคำพูดท่อนแรก แล้วยังคิดว่านางยังนึกเคืองความแค้นส่วนตัวเมื่อสมัยก่อนอยู่จริงๆ แต่เมื่อฟังมาถึงประโยคสุดท้ายถึงรู้ว่านางกำลังจะโยนกระเบื้องล่อหยกต่างหาก เฉียวเวยปีนบันไดที่นางหย่อนลงมาอย่างให้ความร่วมมือยิ่งนัก “ท่านอาเขยกำลังค้าขายอะไรหรือ”

จีซวงสีหน้าเรียบเฉย “ค้าขายหรือ เจ้าอย่าดูแคลนอาเขยของเจ้า! หลายปีนี้แม้อาเขยของเจ้าจะหาเงินไม่ได้มากมายเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้อยู่ว่าง เขาอ่านหนังสือทุกวัน! ความจริงนี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อปีกลาย แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรจึงไม่ได้บอกพวกเจ้า”

พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของจีซวงก็เผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “ท่านอาเขยของเจ้า เขา…ไปเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษาหนานซานแล้ว!”

“โอ้ ท่านอาเขยร้ายกาจนัก สำนักศึกษาหนานซานเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง!” เฉียวเวยละคำว่า ‘หนึ่งใน’ ออกไปอย่างชาญฉลาดอย่างยิ่ง

จีซวงได้ยินคำชมที่อยากฟังก็ยิ้มกว้างจนปากไม่หุบกว่าเดิม นางตบหลังเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในห่อผ้าเบาๆ แล้วบอกหน้าบานว่า “ความจริงเขาเป็นได้ตั้งนานแล้ว แต่ข้าชอบรั้งเขาไว้ไม่ยอมให้เขาไป”

“เหตุใดเล่า” เฉียวเวยรู้แล้วแต่ก็แสร้งถาม

จีซวงตอบว่า “พวกเราเป็นตระกูลระดับใด เขามาอยู่ที่ตระกูลของพวกเราแล้วก็สมควรเสพสุข ไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าอีก แต่ก็นะ ต่อมาข้าก็คิดตก อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง วันๆ หมกอยู่แต่ในบ้านเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง เขาคงเบื่อหน่ายจนเหลือจะทน”

ระหว่างที่พูดกัน สาวใช้ก็มาแจ้งว่าอาเขยกลับมาแล้ว

จีซวงวางลูกกลับลงไปในเปล แล้วจัดเรือนผมกับกระจก จากนั้นคลี่ยิ้มออกไปต้อนรับ

สองสามีภรรยาเดินเข้ามาในห้องอย่างกะหนุงกะหนิง

หลังจากเข้ามาในห้อง อาเขยฉินก็อุ้มลูกชายขึ้นมาเป็นอย่างแรกแล้วหอมอย่างตั้งอกตั้งใจ จีซวงบ่นเขา “เสี่ยวเวยก็อยู่นะ!”

อาเขยฉินรีบหันมามองด้านนี้แล้วยิ้มแย้ม “เสี่ยวเวยมาหรอกหรือ!”

เฉียวเวยลุกขึ้นคำนับ “ท่านอาเขย”

อาเขยฉินอุ้มลูกด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งโบกไม้โบกมือให้นั่งลง “เจ้านั่งเถอะๆ!”

เฉียวเวยนั่งลงไป

จีซวงเรียกสาวใช้ให้ขนเก้าอี้มาสักตัว อาเขยฉินนั่งบนเก้าอี้ หยอกล้อกับลูกชายอย่างสนิทสนมไม่หยุดสักนาที ประเดี๋ยวก็ลูบขนตา ประเดี๋ยวก็จับมือน้อยๆ มีความสุขยิ่งนัก

จีซวงเห็นสามีรักบุตรชายเช่นนี้ ดวงตาก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นมาด้วย

อาเขยฉินมองด้านหลังเฉียวเวยแล้วถามว่า “เหตุใดหมิงเยี่ยไม่มากับเจ้าด้วยเล่า”

เฉียวเวยยิ้ม “เขาไม่ค่อยคุ้นนัก รอเขาคุ้นเคยแล้ว ข้าค่อยพาเขามา”

อาเขยฉินเหมือนจะเข้าใจทันที จึงเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้า…พบหมิงเยี่ยได้อย่างไร”

ความเป็นมาของเรื่องนี้ออกจะเล่ายากอยู่บ้าง คงไม่ดีหากจะเล่าว่าเจ้าเด็กคนนั้นเอาแมลงกู่มาใส่ให้บิดาแท้ๆ ของตัวเอง แล้วยังลักพาตัวเด็กที่เป็นหลานชายกับหลานสาวตัวน้อยของตัวเองไปอีก เฉียวเวยหัวเราะแห้งๆ บอกว่า “วาสนากระมัง บังเอิญพบกัน”

อาเขยฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น…พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคือหมิงเยี่ย”

เฉียวเวยตอบว่า “พอเปิดหน้ากากเขาออกดูก็พบว่าเขาหน้าตาเหมือนท่านพ่อยิ่งนัก แล้วยังมีอาการบาดเจ็บภายในเหมือนกับหมิงซิว ดังนั้นจึงน่าจะเป็นเขา แล้วอีกอย่างตัวเขาเองก็เหมือนจะรู้ชาติกำเนิดของตัวเองอยู่เหมือนกัน”

ดวงตาของอาเขยฉินฉายแววสงสัยจางๆ “เขาจะรู้ได้อย่างไร”

สาวใช้ยกชาผลไม้กาหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง

เฉียวเวยถือถ้วยชาขึ้นมา “เรื่องนี้เขาไม่เคยพูด”

สาวใช้ส่งชาให้อาเขยฉิน เขาโบกมือให้สาวใช้ถอยออกไป แล้วถามต่อว่า “เขาเคยพูดถึงเรื่องราวในอดีตกับพวกเจ้าหรือ”

เฉียวเวยกำลังจะดื่มชาอยู่พอดี พอได้ยินคำพูดของอาเขยฉินก็วางถ้วยลงแล้วส่ายหน้า “เขาไม่ยอมเล่าสิ่งใดทั้งสิ้น พวกเราสืบมาทั้งนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าสืบพบอะไรบ้าง” อาเขยฉินถาม

เฉียวเวยถูกขัดขณะกำลังจะดื่มชาอีกหน นางตอบว่า “ก็เรื่องทำนองว่าเขาได้ผู้ใดเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้อย่างไร”

“ถูกผู้ใดเลี้ยงมาหรือ” อาเขยฉินจี้ถาม

เฉียวเวยไม่ทันได้ดื่มชาเป็นรอบที่สาม

จีซวงกลอกตาใส่สามี “เจ้าให้เด็กน้อยดื่มชาสักคำก่อนสิ!”

อาเขยฉินยิ้มอย่างละอาย “ขออภัยๆ ข้าพูดมากเกินไปแล้ว”

เฉียวเวยดื่มชาคำหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “อาเขยใส่ใจหมิงเยี่ยเหลือเกิน ก่อนหน้านี้หมิงเยี่ยถูกคนขี้เหล้าเลี้ยงดู ต่อจากนั้นก็เป็นสามีภรรยาที่ให้กำเนิดบุตรไม่ได้คู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงมาอยู่กับเถ้าแก่เนี้ยของร้านสุรา”

อาเขยฉินถอนหายใจ “เมื่อตอนนั้นข้าเป็นคนวางเขาลงไปในโลงไม้ด้วยมือตัวเอง ข้าไม่มีวันลืมวันนั้น ข้าอุ้มเด็กน้อยคนนั้น…”

กล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็พูดต่อไม่ออก

จีซวงลูบแผ่นหลังของเขา “เอาล่ะๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็อย่าพูดถึงอีกเลย ดูเจ้าสิมานั่งเสียอกเสียใจ”

อาเขยฉินกุมมือของจีซวงแล้วขยับยิ้ม “ไม่พูดถึงแล้ว คนกลับมาก็ดีแล้ว ดวงวิญญาณขององค์หญิงที่อยู่บนสวรรค์จะต้องดีใจอย่างยิ่งเป็นแน่ จริงสิเสี่ยวเวย ข้ายังไม่เข้าใจนัก เขาฟื้นกลับมามีชีวิตได้อย่างไร”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “เรื่องนี้ข้ากับหมิงซิวเองก็ไม่รู้ชัดนัก”

จีซวงเห็นสามีทำท่าอับจนหนทาง ก็เอ่ยปลอบ “คนกลับมาคือเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งอื่นไม่ต้องขบคิดแล้ว!”

อาเขยฉินถอนหายใจ “ข้าแค่ปวดใจที่เด็กคนนั้นต้องลำบาก”

จีซวงตบหลังมือของสามีเบาๆ “ข้ารู้

เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “อาเขย ข้าได้ยินว่าท่านได้เป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษาหนานซานแล้ว ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านอาเขยเลย”

อาเขยฉินยิ้มอย่างขัดเขิน “แค่ตำแหน่งอาจารย์คนหนึ่งเท่านั้น มีอะไรน่าแสดงความยินดีเล่า ไม่ได้เป็นขุนนางใหญ่อันใดเสียหน่อย”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “อาเขยมีปณิธานยิ่งใหญ่ ความสามารถเหลือล้น มิใช่คนธรรมดากระจอกงอกง่อย ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอาเขยจะเป็นขุนนางหรือเป็นแม่ทัพย่อมทำผลงานยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเลื่องลืออีกหมื่นปี”

อาเขยฉินหน้าแดงแปร๊ด

จีซวงหันไปมองเฉียวเวย “รู้จักเจ้ามานานปานนี้ คำพูดนี้ถูกใจข้าที่สุด”

เฉียวเวยยิ้ม “จริงสิ อาเขย สำนักศึกษาของพวกท่านรับเด็กที่อายุประมาณจิ่งอวิ๋นหรือไม่”

อาเขยฉินหัวเราะ “ไม่รับ จิ่งอวิ๋นอายุน้อยเกินไป ชั้นเรียนที่อายุน้อยที่สุดในสำนักศึกษาก็อายุเกินสิบปีแล้ว”

เฉียวเวยจึงบอกว่า “ความสามารถของจิ่งอวิ๋นไม่แพ้เด็กอายุสิบขวบ”

อาเขยฉินพยักหน้า “ข้ารู้ แต่ว่า…กฎว่าไว้เช่นนี้”

จีซวงไม่สนใจสักนิด “กฎเป็นสิ่งที่คนตั้งขึ้น กฏเป็นของตาย แต่คนคือของเป็น จะคิดหาวิธีสักหน่อยไม่ได้หรือไร เด็กตระกูลจีของข้าไปเข้าเรียนที่นั่นก็นับเป็นบุญวาสนาของที่นั่นแล้ว!”

อาเขยฉินปะเหลาะภรรยา “เด็กบ้านเราล้วนยอดเยี่ยม ทว่าแม้แต่องค์ชายเข้าเรียนที่สำนักศึกษาก็ยังต้องรักษากฏ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ สำนักศึกษากำลังจะจัดการสอบเข้าเรียน ข้าจะไปหาอธิการ ดูซิว่าจะยกเว้นเป็นกรณีพิเศษให้จิ่งอวิ๋นสักคนได้หรือไม่”

เฉียวเวยชูนิ้วขึ้นมา “สามคน วั่งซูกับหลิวเกอร์ก็ด้วย”