ตอนที่ 275-1 เสี้ยวหนึ่งของความจริง

อุทยานของวังหลวงในช่วงเดือนสามหมู่มวลบุปผาบานสะพรั่ง สีสันสดสวยละลานตา แสงตะวันอบอุ่น สายลมโชยพัด ช่างเป็นทิวทัศน์งามตระการอันหาได้ยากยิ่งอย่างแท้จริง

หลังจากเลิกว่าราชการฮ่องเต้ก็เรียกจีหมิงซิวไปที่อุทยาน หาศาลาที่มองเห็นทิวทัศน์กว้างหลังหนึ่ง นั่งอาบแดดพลางชื่นชมทิวทัศน์ นางกำนัลปูเบาะนุ่มนิ่มไว้บนม้านั่งหินจากนั้นยกขนมกับผลไม้มา เสร็จแล้วจึงยกเตาน้อยสองตัวเข้ามาอุ่นน้ำกับสุรา

ระยะนี้ฮ่องเต้ไม่ชอบเสวยน้ำชาเท่าไรนัก จึงให้คนยกเครื่องชากับน้ำออกไป

จีหมิงซิวยกสุราที่อุ่นร้อนแล้วขึ้นมารินให้ฮ่องเต้กับตนเองหนึ่งจอก นี่ไม่ใช่สุราฤทธิ์แรงของจงหยวน แต่เป็นสุรานมม้าที่ได้มาจากเผ่าซยงหนีว์

แรกเริ่มฮ่องเต้ก็ทรงไม่คุ้นลิ้นนัก แต่พอเสวยไปสองสามหนก็พบว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว ฮ่องเต้ยกจอกสุราขึ้นมองสุรานมที่ไอร้อนลอยกรุ่นแล้วตรัสว่า “ก่อนหน้านี้ องค์ชายรองของเผ่าซยงหนีว์เขียนจดหมายมาขอบคุณข้า บอกว่าทุ่งหญ้าของเผ่าซยงหนีว์ปลูกธัญพืชได้แล้ว”

จีหมิงซิวมองสุราในจอก ก่อนจะตอบว่า “ฝ่าบาททรงน้ำพระกรุณามากล้น”

ฮ่องเต้ตรัสว่า “เหตุใดไม่ดื่มเล่า”

จีหมิงซิวตอบว่า “รสชาติไม่คุ้นลิ้น”

ฮ่องเต้จึงเกลี้ยกล่อม “ดื่มมากเข้าเดี๋ยวก็คุ้นเอง”

จีหมิงซิวจึงชิมหนึ่งคำ

“รสชาติเป็นอย่างไร” ฮ่องเต้ถาม

จีหมิงซิวสีหน้าเรียบเฉย “ไม่อร่อยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถลึงพระเนตรใส่เขา “สุราที่ข้าพระราชทานให้ยังกล้าบอกว่าไม่อร่อย! มีแต่เจ้าที่กล้าบังอาจต่อหน้าข้าเช่นนี้ เหตุที่องค์รัชทายาทไม่เห็นผู้ใดในสายตาเช่นนี้เป็นเพราะเรียนรู้มาจากเจ้า”

จีหมิงซิวตอบอย่างจริงจัง “หากคิดเช่นนี้แล้วทำให้ฝ่าบาทสบายพระทัยขึ้นบ้าง ความผิดนี้ กระหม่อมจะรับไว้แทนเอง”

หากกล่าวถึงการโต้คารม ทั่วทั้งต้าเหลียงเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดสู้เขาได้แล้ว ฮ่องเต้สรวล ตรัสขึ้นว่า “เรื่องเผ่าซยงหนีว์ต้องขอบคุณภรรยาของเจ้ามาก กลับไปฝากขอบคุณนางแทนข้าด้วย”

จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ฝ่าบาทจะขอบคุณแต่เพียงวาจาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หลุดสรวล “เจ้าเด็กคนนี้ จะมาเรียกร้องผลประโยชน์จากข้าอีกแล้ว! เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าอุตส่าห์หาภรรยาได้ทั้งที ข้าจะพระราชทานรางวัลหนนี้ให้ก็ย่อมได้ ข้าจะแต่งตั้งนางเป็นท่านหญิงตราตั้ง อัครมหาเสนาบดีพอใจหรือไม่”

“มีเบี้ยหวัดหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

“ยังจะเอาเบี้ยหวัดอีกหรือ” ท่านหญิงตราตั้งไม่ใช่ขุนนางที่ทำงานให้ราชสำนักเสียหน่อย มีหน้ามีตาก็พอแล้ว มีเบี้ยหวัดเสียที่ไหน

จีหมิงซิวตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก “ไม่มีเบี้ยหวัด นางไม่ชอบ”

ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าสมควรพิโรธดีหรือสมควรสรวลดี ยกพระหัตถ์ชี้เขา “ได้ๆ มีเบี้ยหวัด มีเบี้ยหวัด! ชาติที่แล้วข้าคงติดหนี้เจ้าไว้จริงๆ!”

จีหมิงซิวตอบอย่างไม่มีอาการขัดเขินแต่อย่างใด “อย่าน้อยเกินไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ ดีเลวก็เป็นน้องสะใภ้ของฝ่าบาท”

ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “ตอนนี้นึกได้ว่าเป็นญาติกับข้าแล้วหรือ ตอนปิดบังข้าออกไปท่องเที่ยวสำเริงสำราญเหตุใดไม่คิดบ้างว่าเจ้าคือลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าเป็นญาติผู้พี่ของเจ้า รู้หรือไม่ว่าเรื่องที่เจ้าออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกหลุดออกไปแล้ว ฎีการ้องเรียนเจ้ากำลังจะทับโต๊ะหนังสือข้าหัก! หากเป็นขุนนางใหญ่คนอื่น ข้าคงจะ…คงจะตัดคอเขาฉับเดียวให้สิ้นเรื่อง!”

จีหมิงซิวยื่นคอไปให้

ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ตีเพียะบนลำคอของเขา “ยังไม่สำนึกอีก!”

จีหมิงซิวกลับมานั่งดีๆ แล้วยกมือลูบลำคอ “ท่านพี่ฝีมือไม่ตกจริงๆ”

ฮ่องเต้ได้ฟาดพระหัตถ์ไปหนึ่งทีก็ได้ระบายความโกรธออกไปบ้าง แต่เดิมพระองค์ก็ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ มักจะใจกว้างกับขุนนางและกับจีหมิงซิวเสมอ เพียงแต่ว่าหนนี้คนที่ร้องเรียนจีหมิงซิวมีมากเกินไปแล้วจริงๆ หากเขาลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งไปตลอด ตาเฒ่าหัวดื้อพวกนั้นคงเล่นงานเขาไปด้วย

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “กระดาษห่อไฟไม่มิด ช้าเร็วข่าวย่อมเล็ดลอดออกไป อย่างมากฝ่าบาทก็มอบราชโองการลับให้กระหม่อมสักฉบับ กระหม่อมออกเดินทางตามคำสั่งในราชโองการ ตาเฒ่าพวกนั้นย่อมพูดอันใดมิได้แล้ว”

ฮ่องเต้พระพักตร์ดำทะมึนทันที แสร้งลากสุรเสียงยาว “แล้วเหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น เจ้าปิดบังแม้กระทั่งข้า แล้วยังอยากจะให้ข้าตามเช็ดก้นให้เจ้าอีก! เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร”

จีหมิงซิวตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง “ญาติผู้พี่ ญาติผู้พี่สุดที่รัก”

ฮ่องเต้สำลัก…รู้สึกอยากเงื้อพระหัตถ์ฟาดเจ้าหมอนี่อีกสักที!

จีหมิงซิวหยิบสาส์นสีทองแผ่นน้อยออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้ววางลงข้างพระหัตถ์ของฮ่องเต้

ฮ่องเต้เปิดดูหน้าหนึ่ง แต่อ่านไม่เข้าใจนัก พอหน้าที่สองกลายมาเป็นตัวอักษรของจงหยวนถึงอ่านรู้เรื่อง ฮ่องเต้ขมวดพระขนงน้อยๆ “หนังสือขออนุญาตติดต่อค้าขาย? ชนเผ่า ถ่า น่า? เหตุใดข้าไม่คุ้นกับชื่อนี้เท่าไร”

จีหมิงซิวมองฮ่องเต้แล้วบอกว่า “ฝ่าบาทรู้จักชนเผ่าลึกลับหรือไม่”

ฮ่องเต้ผงกศีรษะนิดๆ “ข้าย่อมรู้จัก ชนเผ่าถ่าน่านี่เกี่ยวข้องอะไรกับชนเผ่าลึกลับ”

จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางที่นิ่งสงบยิ่งนัก “ชนเผ่าถ่าน่าก็คือชนเผ่าลึกลับ

พระโอษฐ์ของฮ่องเต้อ้าค้าง

จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งตกพระทัย เรื่องที่น่าตกพระทัยยิ่งกว่า กระหม่อมยังมิทันเล่า”

ฮ่องเต้มองหนังสือขออนุญาตติดต่อค้าขายในพระหัตถ์ ความจริงพระองค์ไม่อยากเชื่อว่าจะมีสิ่งใดน่าประหลาดใจกว่าสิ่งนี้ หนานฉู่มีความสัมพันธ์กับชนเผ่าลึกลับมาหลายปี ยังไม่มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปยังชนเผ่าลึกลับ แน่นอนว่าแม่ทัพน้อยมู่บอกว่าเขาเคยไปเยือน แต่เมื่อฮ่องเต้มาทรงคิดทบทวนภายหลังก็คิดว่าคำพูดของเขาเชื่อไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร แต่ละแคว้นก็ค้นหาร่องรอยของชนเผ่าลึกลับมาตลอด น่าเสียดายไม่มีผู้ใดเคยหาพบ ทว่าตอนนี้อัครมหาเสนาบดีผู้เป็นญาติผู้น้องของพระองค์กลับนำหนังสือขออนุญาติดต่อค้าขายที่ชนเผ่าลึกลับเป็นฝ่ายยื่นขอเองมาให้…

หากข่าวนี้แพร่ออกไป เกรงว่าแต่ละแคว้นดวงตาคงเปล่งแสง

“เจ้าเอาหนังสือฉบับนี้มาได้อย่างไร อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเดินทางไปเผ่าลึกลับมาแล้ว” ฮ่องเต้ถามอย่างยากจะปิดบังความตกตะลึง

จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “กระหม่อมไม่เพียงไปเยือนมาแล้ว ตัวกระหม่อมเองก็เป็นคนของชนเผ่าถ่าน่าด้วย”

ปากของฮ่องเต้อ้าจนหุบไม่ลง พอหุบก็อ้าออกมาใหม่ ตกตะลึงจนแทบจะพูดไม่ออก

จีหมิงซิวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแม่ทัพน้อยมู่กับไซน่าอิงเข้ามาที่เมืองหลวงให้ฮ่องเต้ฟังตามความจริงในรวดเดียว เรื่องเหล่านี้ปิดบังผู้ใดก็ได้ แต่มีเพียงฮ่องเต้ที่ปิดบังไม่ได้ มิเช่นนั้นหากวันใดกระดาษห่อไฟไม่มิดขึ้นมา ฮ่องเต้ทราบภูมิหลังของเขากับเฉียวเวยจากปากผู้อื่น เกรงว่าต่อให้ฮ่องเต้รักเขาอีกเท่าใดก็คงเริ่มสงสัยในความภักดีของเขา

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าตระกูลจีกับเฉียวฮูหยินล้วนเป็นทายาทของชนเผ่าลึกลับ แล้วญาติผู้น้องของเขายังเป็นถึงโหราจารย์แห่งชนเผ่าลึกลับ ส่วนภรรยาของญาติผู้น้องก็เป็นถึงจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับ สวรรค์ประทานโชคดีอะไรให้เขากันนี่

แม้บนโลกนี้จะไม่มีคำกล่าวทำนองว่าได้ครองชนเผ่าลึกลับเท่ากับได้ครองใต้หล้าทำนองนั้น แต่สมบัติที่ชนเผ่าลึกลับครอบครอง ผู้ใดก็อยากครอบครองเป็นของตนเอง ไม่ต้องพูดถึงหนังสือขออนุญาตติดต่อค้าขาย ต่อให้พระองค์ต้องเลี้ยงดูชนเผ่าลึกลับไปทั้งชีวิต พระองค์ก็ยินดี!

แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ตกตะลึงไม่ได้มีเพียงเรื่องของชนเผ่าลึกลับ

“น้องชายของเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงหรือ” ฮ่องเต้ถามอย่างอึ้งๆ

จีหมิงซิวตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่พอพระทัย “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่พาเขามาพบหน้าข้า”

จีหมิงซิวยิ้มอย่างจนปัญญา “เขาไม่ปรารถนาจะกลับมาด้วยกันกับข้า แต่ข้าใช้กลอุบายนิดหน่อย เขาจึงยังโกรธข้าอยู่”

ฮ่องเต้เลิกพระขนงเล็กน้อย “ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่อัครมหาเสนาบดีตัวร้ายจะทำ วันใดเขาหายโมโหแล้ว เจ้าจำไว้ว่าพาเขามาพบหน้าข้าด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ” จีหมิงซิวรับคำ

ฮ่องเต้จิบสุราอยู่เนิ่นนานก่อนจะวางจอกลง แล้วตรัสขึ้นว่า “ในเมื่อหมิงเยี่ยยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวในตอนนั้นคงจะมีเงื่อนงำอะไรแน่ เจ้าส่งไปคนไปสืบแล้วหรือยัง”

จีหมิงซิวพยักหน้า “ส่งคนไปที่สุสานตระกูลจีแล้ว เชื่อว่าไม่นานคงพบเบาะแส”

ฮ่องเต้นึกย้อนความทรงจำ “ตอนนั้นเด็กคนนั้นไม่มีชีพจรแล้วจริงๆ ทุกคนจึงคิดว่าเขาตายแล้ว ตอนนี้ดูท่าเขาอาจไม่ได้ตายจริงๆ เพียงแต่ถูกคนวางยาที่ทำให้เหมือนตายเท่านั้น”

จุดนี้จีหมิงซิวก็สันนิษฐานไว้เช่นกัน

ฮ่องเต้ครุ่นคิด “แต่ข้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนร้ายต้องทำเช่นนี้”

จีหมิงซิวทำท่าเหมือนกำลังขบคิดบางสิ่ง “ตอนแรกที่หมิงเยี่ยพบพวกเรา เขาเคียดแค้นตระกูลจีมากยิ่ง ข้าคิดว่านี่เป็นเพราะเขาล่วงรู้ชาติกำเนิดของตนเองจึงเคียดแค้นที่ตระกูลจีทอดทิ้งเขาในอดีต ส่วนคนที่ขโมยหมิงเยี่ยไปคนนั้น เป้าหมายของเขาเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการเลี้ยงดูหมิงเยี่ยให้เติบใหญ่แล้วอาศัยมือของหมิงเยี่ยจัดการตระกูลจี เพียงแต่ว่าเกิดผิดแผน หมิงเยี่ยถูกคนขี้เหล้าคนหนึ่งลักพาตัวไปยังชนเผ่าถ่าน่า คนผู้นั้นหาทางเข้าเผ่าถ่าน่าไม่พบ นับจากนั้นจึงขาดการติดต่อกับหมิงเยี่ยไป”

ฮ่องเต้ขมวดพระขนง “หากกล่าวเช่นนี้ มิใช่ว่าหมิงเยี่ยล่วงรู้ชาติกำเนิดของตนเองตั้งแต่ยังเล็กมากหรือ”

จีหมิงซิวตอบว่า “เมื่อครู่ตอนอยู่ในท้องพระโรงข้าก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ออกเช่นกัน หมิงเยี่ยน่าจะล่วงรู้ชาติกำเนิดของตนตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทางไปชนเผ่าถ่าน่า”