ตอนที่ 273-2 พบหน้า การค้นพบอันยิ่งใหญ่
ใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นคุณชายสายตรงของตระกูลจี เขาย่อมมีเรือนแยกเป็นของตัวเองหนึ่งหลัง แต่ก่อนเรือนหลังนี้จะก่อสร้างเสร็จ เขาจำเป็นต้องอยู่ที่เรือนอื่นไปก่อน จีเหล่าฮูหยินจับจ้องหลายชายตัวน้อยที่ได้กลับคืนมาหลังจากสูญเสียไปตาปริบๆ “มาอยู่กับย่าสิ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักย่อมไม่เอาด้วย แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งต่อยจีซั่งชิงไป เขาย่อมไม่สะดวกใจจะไปอาศัยที่เรือนถง สุดท้ายใต้เท้าเจ้าสำนักจึงเข้าไปอาศัยในบ้านชิงเหลียนของจีหมิงซิวกับเฉียวเวยอย่างหมดอาลัยตายอยาก
บ้านชิงเหลียนย่อมมีห้องมากพอ ห้องที่แสงดีที่สุด โครงสร้างใหญ่ที่สุดถูกมอบให้กับเขา เขาหน้าบูดหน้าเบี้ยวเดินเข้าไปในห้อง จีซวงเหลือบมองเขาแล้วก็หัวเราะ เขาจึงปิดประตูดังปึงใส่!
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น!” จีซวงชูกำปั้น นางสูดลมหายใจลึกหลายเฮือกกดโทสะลงไป ตอนนี้นางเป็นคนที่มีลูกชายแล้ว นางจะไม่เก็บเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มากวนใจตัวเอง
นางกลับไปที่เรือนทิศเหนือ
หลี่ซื่อนั่งเป็นเพื่อนจีเหล่าฮูหยินที่กำลังถามนั่นนี่เรื่องใต้เท้าเจ้าสำนัก จีเหล่าฮูหยินสะเทือนใจมากพอแล้ว สองสามีภรรยาจึงไม่กล้าบอกนางว่าใต้เท้าเจ้าสำนักร่อนเร่พเนจรโตมาอย่างไร เล่าแต่ว่าเขาได้เถ้าแก่เนี้ยของร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งเลี้ยงดูมา
“คนผู้นั้นดีกับเขาหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถามอย่างวิตก หลานชายสุดที่รักของนาง สมควรสูงศักดิ์เทียบเท่าองค์ชาย แต่กลับต้องร่อนเร่ไปอยู่ในร้านสุราเล็กๆ บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง…ไม่ว่าจะอยู่ดีหรือไม่ หัวใจของนางก็เจ็บปวด!
เฉียวเวยย่อมเล่าแต่ส่วนที่ดีเพื่อปลอบโยนจีเหล่าฮูหยิน หลี่ซื่อมองเจตนาของเฉียวเวยออก เกรงว่าพูดมากเข้าจะพูดผิด จึงกล่อมให้จีเหล่าฮูหยินกลับเรือนลั่วเหมย
จีเหล่าฮูหยินเพิ่งก้าวออกไป จีหมิงซิวก็กลับมาจากเรือนถง
“ท่านพ่อไม่เป็นอะไรกระมัง” เฉียวเวยช่วยเขาถอดผ้าคลุมกันลมมาแขวนไว้บนราว
จีหมิงซิวนั่งลงข้างโต๊ะ “ท่านหมอทายาให้แล้ว ไม่เป็นอันใดมาก เขาอยากจะมาดูหมิงเยี่ย แต่ข้าปรามไว้”
เฉียวเวยรินชาถ้วยหนึ่งให้จีหมิงซิว แล้วบอกว่า “บาดเจ็บจนเป็นเช่นนั้นก็พักรักษาตัวให้ดีก่อนเถิด”
“อืม” จีหมิงซิวดื่มน้ำชาคำหนึ่ง
เฉียวเวยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขาแล้วเท้าคางถอนหายใจ “พวกเราจะบอกคนในบ้านว่าอย่างไรดีเล่า เมื่อครู่เหล่าฮูหยินถามข้า ข้าไม่กล้าบอกความจริง จึงบอกแต่ว่าเขาถูกเฟิงซื่อเหนียงเลี้ยงดูมา เลี้ยงดูดีทีเดียว แต่ข้าเห็นว่าอาสะใภ้รองมองความผิดปกติออก หากอาสะใภ้รองวิ่งมาถามข้าเป็นการส่วนตัว ข้าจะบอกความจริงหรือไม่บอกความจริงดีเล่า”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “มีสิ่งใดบอกไม่ได้กันเล่า ถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้ารู้ก็ไม่มากอยู่แล้ว”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “นั่นก็ใช่”
ข้อมูลที่พวกเขารู้ตอนนี้ก็คือใต้เท้าเจ้าสำนักถูกคนขี้เหล้าคนหนึ่งของเผ่าถ่าน่าลักพาตัวมายังเผ่าเมื่อตอนอายุสี่ห้าขวบ คนขี้เหล้าคนนั้นไม่ดีกับเขา มักจะตบตีด่าทอเขา หนึ่งปีหลังจากนั้น เขาก็ถูกเฟิงซื่อเหนียงขายให้กับสามีภรรยาอายุน้อยคู่หนึ่ง สองสามีภรรยาเริ่มแรกก็ดีกับเขาไม่เลว ต่อมาเมื่อมีลูกที่กำเนิดจากสายเลือดของตนเองก็เริ่มไม่สนใจไยดีเขา สุดท้ายเขาก็ถูกสองสามีภรรยาทอดทิ้ง ไร้ที่ไปจึงกลับไปที่ร้านสุราของเฟิงซื่อเหนียงอีกหน
เขาเป็นอันธพาลอยู่บนถนนมาหลายปี หลังจากนั้นก็ออกจากเมืองน้อย เรื่องราวหลังจากนั้นเฟิงซื่อเหนียงเองก็ไม่ทราบ พอถามตัวเขา เขาก็ไม่ยอมพูด ความจริงต่อให้ไม่เล่าเฉียวเวยก็พอเดาได้ คงไม่พ้นรู้จักอาต๋าเอ่อร์ ผูกมิตรกับหุบเหวสามผี บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนักน้อยของสำนักใดพรรคใดก็ไม่รู้
ความจริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะถูกคนขี้เหล้าลักพาตัวไปเผ่าถ่าน่า ตัวอย่างเช่นตอนนั้นเขา ‘ตาย’ ต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายไปแล้ว แต่ถูกผู้ใดขโมยตัวเขาไปจากสุสานตระกูลจี คนที่ขโมยตัวเขาไปตั้งใจจะมาขโมยเขาโดยเฉพาะ หรือว่าจะขโมยสมบัติในโลงศพของเขาแต่พบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงพาเขาจากไปด้วย…
คำถามมากมายเป็นพรวน เพียงขบคิดสมองของอดีตนักเรียนสายวิทย์ก็เครื่องค้างแล้ว
เฉียวเวยเป่าผมหน้าม้าที่ปรกอยู่ตรงหน้าผาก “ท่านคิดว่าอย่างไรหืม นายน้อยหมิง”
นิ้วมือของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ บนโต๊ะ “ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงื่อนงำ แต่ไห่สือซานกับสือชีเดินทางไปสุสานตระกูลจีแล้ว เชื่อว่าไม่นานคงมีเบาะแส”
เฉียวเวยชะงัก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นไม่สู้ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้เลยดีกว่า ทำเรื่องที่สำคัญกว่าก่อน”
จีหมิงซิวมองนาง “เจ้าหมายถึงการแก้พิษหรือ”
เฉียวเวยตอบ “ใช่แล้ว แม่ของข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้พวกเราไปดูที่เขตต้องห้ามของตระกูลจี บังเอิญว่ากุญแจอยู่กับข้าพอดี จะไปหรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้า “อืม ไปสิ”
เฉียวเวยกระตุกแขนเสื้อของเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเราจะแอบไปหรือว่าไปอย่างสง่าผ่าเผยดีเล่า”
จีหมิงซิวมองนางยิ้มๆ “เจ้าว่าอย่างไร”
เฉียวเวยครุ่นคิดอย่างจริงจังยิ่งนัก “แอบไปสิ”
…
เขตต้องห้ามของตระกูลจีตั้งอยู่ด้านหลังป่าไผ่ม่วงของเรือนทิศใต้ ป่าไผ่ม่วงผืนนี้มีคนเฝ้าโดยเฉพาะ ไม่มีคำสั่งของจีซั่งชิง ผู้ใดก็เข้าใกล้ไม่ได้ องครักษ์ที่เฝ้าล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุด ฝีมือเหนือกว่าองครักษ์ทั่วไปอย่างมาก
เสียงฝีเท้ายังอยู่ห่างออกไปร้อยเมตร พวกองครักษ์ก็จับการเคลื่อนไหวได้แล้ว
แววตาขององครักษ์คมกริบในพริบตา “ผู้ใด”
เสียงฝีเท้าแสกสากดังเข้ามาใกล้ องครักษ์ชักกระบี่พุ่งเข้าไป เมื่อเข้ามาใกล้อีกฝ่ายจนถึงระยะที่เหวี่ยงกระบี่ฟันได้ก็พบว่าสิ่งที่ยืนอยู่บนพื้นเป็นเพียงลิงน้อยสีดำตัวหนึ่ง!
มือของเจ้าลิงน้อยถือหน่อไม้ที่ดึงออกมาจากดินได้ครึ่งหนึ่งเอาไว้ ดวงตาน้ำตาคลอมองเขา เหมือนกับว่าตกใจยิ่งนัก จนไม่กล้าขยับแม้แต่นิด
องครักษ์สบถชิชะ แล้วเก็บกระบี่เข้าไปในฝัก จากนั้นจะหมุนตัวจากไป
ลิงตัวจ้อยกลับกระโดดขึ้นมาบนหลังเท้าแล้วกระตุกมือของเขา จากนั้นชี้ไปที่หน่อไม้บนพื้น
องครักษ์งุนงงเล็กน้อย เจ้าลิงตัวนี้คิดจะทำอะไร คงไม่ใช่ว่าอยากจะให้เขาช่วยมันถอนหน่อไม้หรอกกระมัง
จูเอ๋อร์มองเขาเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด ท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก เดียวดายยิ่งนัก เหมือนกับว่าทั้งโลกทอดทิ้งมัน หน่อไม้หน่อนี้เป็นหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของมัน
องครักษ์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลิงตัวหนึ่งเปลี่ยนสีหน้ามากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร สิ่งที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือเขาดันมองแล้วเข้าใจ เขาถอนหน่อไม้ออกมาส่งให้เจ้าลิงน้อย เจ้าลิงน้อยกอดหน่อไม้กระโดดโลดเต้นจากไปอย่างร่าเริงไร้เดียงสา
เมื่อองครักษ์กลับมาประจำตำแหน่งของตนเอง จีหมิงซิวกับเฉียวเวยก็เดินเข้าไปในป่าไผ่ม่วงแล้ว
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ยืนอยู่เบื้องหน้าสุสานหินขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง
เฉียวเวยมองสุสานหินอย่างตะลึง คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง “บ้านของท่าน…เป็นสำนักสุสานโบราณ[1]หรอกหรือนี่”
จีหมิงซิวกระแอม เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเขตต้องห้ามของตระกูลจีจะเป็นสุสานแห่งหนึ่ง สุสานแห่งนี้ดูแล้วไม่ใหญ่มากนัก เส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบฉื่อ รูปร่างเหมือนลูกกลมครึ่งลูกที่คว่ำอยู่
“เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน“ นายน้อยหมิงบอกอย่างเคร่งขรึมยิ่งนัก
เฉียวเวยหัวเราะดังพรืด นางล้วงกุญแจทองในอกเสื้ออกมาเปิดประตูใหญ่ทางเข้าสุสาน
ด้านล่างคือทางเดินเส้นหนึ่ง
พอทั้งสองคนเข้ามาในสุสาน ประตูหินก็ปิดลง แสงสว่างหายไป
จีหมิงซิวหยิบไข่มุกจันทร์กระจ่างออกมาจากแขนเสื้อกว้าง แสงนวลตาของไข่มุกจันทร์กระจ่างส่องสว่างโถงสุสาน ทั้งสองคนอาศัยแสงของไข่มุกจันทร์กระจ่างเดินลงไปตามบันได สุดปลายบันไดคือห้องศิลาห้องหนึ่ง อุณหภูมิภายในห้องศิลาต่ำกว่าข้างนอกอยู่บ้าง ในอากาศมีกลิ่นสนิมเหล็ก บนกำแพงแขวนอาวุธที่ทอประกายเย็นเฉียบเอาไว้เจ็ดแปดชิ้น ตรงกลางมีโต๊ะวางอยู่สองแถว อาวุธนานาชนิดวางอยู่เรียงราย
เฉียวเวยเห็นอาวุธเต็มห้องก็เกือบจะร้องไห้ “ข้าคิดว่าท่านพ่อมอบกุญแจห้องเก็บสมบัติขนาดใหญ่ให้ข้าเสียอีก เหตุไฉนมีแต่เหล็กผุถูกสนิมกินกองหนึ่งเล่า!”
จีหมิงซิวดีดหน้าผากของนาง “พวกนี้ล้วนเป็นอาวุธของเผ่าเยี่ยหลัว เอาออกไปถวายฮ่องเต้สักชิ้น ฮ่องเต้ก็พระราชทานเมืองแห่งหนึ่งให้เจ้าเป็นรางวัลแล้ว”
เฉียวเวยตาวาว “พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามีค่ามากใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ
เฉียวเวยมองดูใต้โต๊ะ “หมิงซิว ท่านดูตรงนี้มีหีบอยู่ใบหนึ่ง”
จีหมิงซิวย่อตัวลงมาขนหีบใบนั้นออกมา หีบขยับได้นิดเดียว กำแพงหินด้านข้างก็เปิดออกเป็นประตูหินบานหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินผ่านประตูหินก็พบว่าด้านในมีห้องลับอีกห้องหนึ่ง หนนี้ไม่ใช่คลังเก็บอาวุธ แต่เป็นห้องเก็บตำรา
เฉียวเวยมองชั้นหนังสือที่วางเรียงรายอัดแน่นอยู่หลายแถว แล้วร้องว้าวออกมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ นางสุ่มหยิบตำราออกมาเล่มหนึ่งแล้วเปิดอ่าน ด้านในเขียนด้วยภาษาเยี่ยหลัว
เฉียวเวยอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออกจึงวางตำรากลับไป สายตากลอกไปเห็นจีหมิงซิวยืนนิ่งอยู่หน้าชั้นหนังสือแถวหนึ่งก็เดินเข้าไปหาอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านดูสิ่งใดอยู่หรือ”
จีหมิงซิวชูไข่มุกจันทร์กระจ่างขึ้น แล้วชี้กำแพงด้านหลังชั้นหนังสือ เฉียวเวยเพ่งสายตามองก็เห็นตัวอักษรแถวหนึ่ง
“เขียนว่าอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ฝ่ามือเก้าสุริยัน”
[1]สำนักสุสานโบราณ สำนักหนึ่งในนิยายเรื่องมังกรหยกของกิมย้ง ศิษย์ในสำนักอาศัยอยู่ในสุสาน