ตอนที่ 274-1 เจ้าซาลาเปาเข้าเรียน
เฉียวเวยดีใจ “ฝ่ามือเก้าสุริยันจริงหรือ หมายความว่าพวกเราหาพบแล้วสิ เดินหาจนรองเท้าเหล็กทะลุไม่เจอ พอจะได้มาไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดจริงๆ ฝ่ามือเก้าสุริยันในตำนานกลับนอนอยู่ในเขตต้องห้ามของตระกูลพวกท่าน บรรพบุรุษตระกูลท่านซ่อนของดีไว้ไม่น้อยจริงๆ!”
แต่เดิมฝ่ามือเก้าสุริยันไม่ใช่ของชนเผ่าถ่าน่า แต่เป็นวิชาเฉพาะตัวของเนี่ยจิ่วหยางทายาทตระกูลเนี่ยแห่งเผ่าเยี่ยหลัว ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังถูกโหราจารย์ฉกมาได้ โหราจารย์ช่างมีความสามารถนัก
“นี่เป็นฉบับคัดลอกสินะ” แม้เฉียวเวยจะไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัว แต่ตอนที่เก็บกวาดตำหนักโหราจารย์ก็เคยเห็นบันทึกลายมือทำนองนี้อยู่ไม่น้อย
แววตาล้ำลึกของจีหมิงซิวมองตำราลับที่เขียนอยู่บนกระดาษเซวียนจื่อเล่มนั้น แล้วพยักหน้าเหมือนครุ่นคิดบางสิ่ง “เป็นบันทึกลายมือของโหราจารย์”
“โหราจารย์ช่างยอดเยี่ยมนัก!” เฉียวเวยหัวเราะร่า นางไปหาม้านั่งจากคลังอาวุธมาตัวหนึ่งแล้วเหยียบม้านั่งขึ้นไปหยิบตำราลับที่แขวนอยู่บนผนังลงมา “คราวนี้ก็แก้พิษฝ่ามือในร่างท่านได้แล้วกระมัง”
จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยลงมา “ก็ยังไม่แน่”
เฉียวเวยม้วนตำราเก็บอย่างระมัดระวัง “เพราะเหตุใดเล่า ไม่ใช่ว่ามีตำราลับวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันแล้วหรือ ท่านอย่าบอกข้าเชียวว่าตำราลับเล่มนี้เป็นของปลอม”
จีหมิงซิวย้ายม้านั่งไปด้านข้าง “สิ่งที่โหราจารย์บันทึกไว้น่าจะไม่ใช่ของปลอม”
เฉียวเวยยัดม้วนตำราไว้ในแขนเสื้อกว้างแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่สำเร็จแล้วหรือ เหตุไฉนท่านจึงบอกว่าแก้ไม่ได้เล่า”
จีหมิงซิวเว้นวรรคครู่หนึ่ง “เพราะตำราเล่มนี้เขียนไม่จบ มันมีเพียงครึ่งเดียว”
“อะ…อะไรนะ มีเพียงครึ่งเดียว” เฉียวเวยตกตะลึง
จีหมิงซิวบอกอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “กระบวนท่าของฝ่ามือเก้าสุริยันมีเพียงกระบวนท่าเดียว แต่เคล็ดวิชากำลังภายในที่ใช้มีเก้าระดับ ในนี้บันทึกไว้เพียงสี่ระดับเท่านั้น”
เฉียวเวยผิดหวัง ลำบากนักกว่าจะตามหาตำราของฝ่ามือเก้าสุริยันพบ แต่ดันมีเพียงสี่ระดับ เหตุไฉนสามีของนางอยากขจัดพิษจึงยากลำบากเช่นนี้
จีหมิงซิวมองศีรษะที่ก้มหน้างุดของนาง แล้วหัวเราะอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “เหตุใดเจ้าจึงกังวลยิ่งกว่าข้าอีกเล่า”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ข้าย่อมกังวลสิ ท่านเป็นสามีของข้า ข้าหวังว่าท่านจะแก้พิษได้เร็วขึ้นหน่อย ครอบครัวสี่คนของพวกเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข หากมีเวลาว่างก็ออกไปท่องเที่ยวสี่คาบสมุทร ไปเยี่ยมท่านตาของข้า ใช้ชีวิตสุขสำราญ!”
จีหมิงซิวลูบเส้นผมของนาง “ต้องมีวันนั้นแน่”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้าอย่างไม่สงสัยสักนิด พอคิดอะไรขึ้นมาได้ก็มองเขาอย่างตั้งใจ “ความจริงข้าลองคิดดูแล้วต่อให้มีเพียงสี่ระดับก็ยังดี ท่านฝึกเอาไว้ก่อน รอท่านฝึกสี่ระดับนี้เสร็จแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะหาอีกห้าระดับที่เหลือเจอแล้วก็ได้!”
จีหมิงซิวก้มตัวลงมาเล็กน้อยให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับนาง ริมฝีปากยกโค้งเป็นรอยยิ้ม “มีเหตุผล”
หางทิพย์เส้นน้อยที่อยู่หลังร่างของเฉียวเวยชูสูงอย่างลำพอง “แน่นอนสิ ไม่ดูเสียบ้างว่าผู้ใดพูด!”
จีหมิงซิวยิ้มกว้างกว่าเดิม
สองสามีภรรยาหยิบของที่ต้องการมาได้แล้วก็ไม่อยู่ต่อ แม้ทั้งสองคนคิดว่าในเขตต้องห้ามมีสิ่งของที่นำมาใช้ได้อีกไม่น้อย แต่วันเวลายังอีกยาวนาน ยังไม่รีบร้อนตอนนี้
ทั้งสองคนจูงมือกันออกมาจากสุสานโบราณ พวกเขาหลบเลี่ยงองครักษ์แล้วกลับไปยังบ้านชิงเหลียน
เด็กๆ หลับแล้ว ปี้เอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์เฝ้าอยู่ในห้อง เยียนเอ๋อร์เป็นสาวใช้ที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นที่สุดในหมู่ทั้งสามคน นางจึงถูกส่งไปรับใช้ข้างกายใต้เท้าเจ้าสำนัก พี่ชายกับพี่สะใภ้จัดการเช่นนี้ เห็นชัดว่าผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดีโดยคำนึงถึงคนที่จะได้รับการปรนนิบัติ ไม่เพียงให้เขาได้เสพอาหารตาอย่างอิ่มหนำ แต่ยังเติมเต็มความต้องการบางอย่างในร่างกายของเขาได้อีกด้วย ทว่าใต้เท้าเจ้าสำนักเหมือนจะมีเส้นเอ็นเส้นไหนบกพร่องสักเส้น เยียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์ที่แทบจะมองเห็นทะลุทุกส่วนเดินไปเดินมาในห้องตั้งครึ่งวันแล้วก็ไม่เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักโผเข้าใส่เหมือนสุนัขป่าเสียที
เสี่ยวไป๋ที่อยู่ด้านข้างเลือดกำเดาไหลเป็นไหแล้ว แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไม่ชายตาแลเยียนเอ๋อร์แม้แต่หนเดียว
“หนึ่ง สอง สาม…” ใต้เท้าเจ้าสำนักยกนิ้วนับเหมือนกำลังขบคิดบางอย่างอยู่
เยียนเอ๋อร์ตั้งสติ เดินเข้ามาหาอย่างแผ่วเบาแล้วก้มตัวลงมากระซิบสียงหวาน “คุณชายรอง ควรนอนแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” ใต้เท้าเจ้าสำนักวางมือลง
เยียนเอ๋อร์จัดมุมได้อย่างยอดเยี่ยม ใต้เท้าเจ้าสำนักเพียงกวาดสายตาผ่านๆ ก็จะเห็นเรือนร่างอัน ‘เหน็บหนาว’ ของนางทั้งตัว
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างเฉยชา “เจ้าไม่หนาวหรือ”
เยียนเอ๋อร์ทัดเรือนผมยาวสลวยไว้หลังหู แล้วยิ้มอย่างเขินอาย “หนาวเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งยื่นให้อย่างไม่เข้าใจอารมณ์พิศวาส “ให้เจ้า”
เยียนเอ๋อร์ “…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่เตียง
เยียนเอ๋อร์เร่งฝีเท้าอ้อมมาดักหน้าเขาแล้วค้อมกายเล็กน้อย นางยื่นมือแน่งน้อยอันอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกออกมา กระซิบว่า “บ่าวปลดอาภรณ์ให้คุณชายรองนะเจ้าคะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขานอืมตอบเรียบๆ หนึ่งคำ
เยียนเอ๋อร์ปลดสายคาดเอวของใต้เท้าเจ้าสำนัก จากนั้นถอดเสื้อคลุมตัวยาวของใต้เท้าเจ้าสำนักออก กลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่งจากบนร่างของใต้เท้าเจ้าสำนักลอยเข้าปกคลุมร่างของเยียนเอ๋อร์ พวงแก้มของเยียนเอ๋อร์ร้อนผ่าว นางก้มหน้าวางเสื้อผ้าจนเรียบร้อยจากนั้นก็ขยับมาข้างเตียง ปูผ้าห่มจนเรียบร้อย แล้วเอ่ยว่า “คุณชายรอง เชิญเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเตะรองเท้าทิ้ง แล้วไถลตัวปีนขึ้นไปบนเตียง มุดเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะกลิ้งตัวรอบหนึ่ง ม้วนตัวเองกลายเป็นบ๊ะจ่างลูกโต
เยียนเอ๋อร์ปลดมุ้งลงแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตามองเยียนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่มีเตียงของตัวเองหรือ เหตุใดจึงมานอนบนเตียงข้า”
“บ่าว…บ่าว…บ่าว…” เยียนเอ๋อร์พูดคำว่า ‘บ่าว’ อยู่นาน “บ่าวมีเตียงเจ้าค่ะ”
กล่าวจบก็ลงมาที่พื้นอย่างกระอักกระอ่วน สวมอาภรณ์ชั้นนอกเดินออกไปอย่างคับแค้นใจ
ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะหยัน “เหอะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนการอันใดไว้ อยากจะให้คนมาจับตามองข้าล่ะสิ ฝันไปเถิด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่สลัด ‘สายสืบ’ พ้นเลิกผ้าห่มลงจากเตียงทันที เขาดึงประตูตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าคลุมสีดำของตนเองออกมา หลังจากนั้นก็เปิดประตูเบาๆ ยื่นศีรษะออกมาผ่านช่องประตู มองซ้ายแล้วก็มองขวา เมื่อแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคนจึงผลุบร่างออกมาจากประตู!
เขามาถึงห้องของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนกรนเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ก็หมอบอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง พอลืมตาขึ้นมาเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักก็หลับตาลงอย่างเกียจคร้านต่อ
นี่เป็นข้อดีเวลาคนใกล้ชิดก่อคดี
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มหยัน เขาหยิบหีบร้อยสมบัติของตนเองออกมาจากในตู้ จากนั้นเปิดหีบร้อยสมบัติของวั่งซู รื้อหน้ากากทองของตนเองออกมาซุกไว้ในอกเสื้อ พอทำสิ่งเหล่านี้เสร็จก็เดินย่องออกไป
ค่ำคืนนี้ทิวทัศน์ไม่เลว จันทร์ดับแสง สายลมพัดแรง
ใต้เท้าเจ้าสำนักมาถึงบนกำแพงเรือนอย่างเงียบเชียบ เขาหาหินสองสามก้อนวางไว้บนพื้น
พวกคนโง่ตระกูลจี คิดว่าลักพาตัวข้ากลับมาแล้วทุกสิ่งจะเรียบร้อยหรือ เหอะ จะเป็นไปได้อย่างไร
หากไม่ใช่เพราะจะมาเอาหน้ากากของเขากลับไป เขาจะยอมทำตามแต่โดยดีหรือ
ตกหลุมพรางของเขาแล้วสินะ พวกคนโง่ตระกูลจี!
ตอนที่ใต้เท้าเจ้าสำนักพยายามขนหินมาหยั่งเท้านั่นเอง อีกด้านหนึ่งของกำแพง จีซั่งชิงก็กำลังขนก้อนหินเช่นกัน
ตอนกลางวันจีซั่งชิงบาดเจ็บค่อนข้างหนัก หมอบอกว่าทางที่ดีที่สุดให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องนิ่งๆ จีหมิงซิวจึงห้ามไม่ให้เขาเดินไปทั่ว ทั้งยังให้สาวใช้ทั้งหลายเฝ้าไว้ให้ดี แต่เดิมจีซั่งชิงคิดว่าจะรักษาตัวอย่างเชื่อฟัง แต่พอคิดถึงลูกชายคนเล็กที่ได้คืนมา เขาก็นอนพลิกไปพลิกมา ไม่ยอมหลับเสียที
พยายามอยู่นาน ในที่สุดเขาก็แอบหนีออกมา
ออกทางประตูใหญ่ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ปีนกำแพงก็แล้วกัน สมัยโน้นตอนที่ตามจีบเจาหมิง วังหลวงเขาก็เคยปีนมาแล้ว บ้านชิงเหลียนหลังเล็กๆ หลังหนึ่งย่อมไม่ใช่ปัญหา
จีซั่งชิงขนก้อนหินมาหนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน ในที่สุดก็กองได้ความสูงที่เพียงพอ เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเหยียบขึ้นไปบนก้อนหิน
อีกด้านหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เหยียบบนก้อนหินเช่นกัน
โป้ก!
ท่ามกลางความมืดศีรษะกลมๆ สองศีรษะชนกันอย่างเงียบเชียบ…
…
วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นและสบายตัว นางคลำข้างกายก็พบว่าจีหมิงซิวไม่อยู่แล้ว หลังจากงุนงงอยู่ชั่วครู่สั้นๆ นางก็นึกได้ว่าเมื่อคืนระหว่างวางแผนบุกเขตต้องห้าม เหมือนเขาจะบอกว่าวันนี้ต้องไปเข้าประชุม แต่พวกเขาเพิ่งกลับมาตอนใกล้สว่างแท้ๆ …หรือก็คือหลังเสร็จภารกิจเขาก็ตรงไปเข้าประชุมเลยอย่างนั้นหรือ
ช่างมีเรี่ยวแรงมากมายจริงๆ!
เฉียวเวยบิดขี้เกียจ สามีเก่งกาจเช่นนี้ นางจะยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่
ปี้เอ๋อร์ทำงานในมือเสร็จก็เดินมาดูว่าเฉียวเวยตื่นหรือยัง เมื่อไม่เห็นเงาของเฉียวเวยอยู่ในห้อง แต่ได้ยินเสียงหายใจอย่างมีกำลังวังชาจากลานด้านหลัง นางจึงเดินไปดู พอเห็นนางก็โซเซเกือบหงายหลังก้นจ้ำเบ้า!
ฮูหยินของผู้อื่นลุกจากที่นอนเสร็จก็ผัดแป้งทาชาด แต่พอเป็นฮูหยินบ้านนางเหตุไฉนจึงทำท่านั่งม้า ต่อยหินก้อนยักษ์ด้วยมือเปล่า
เฉียวเวยฝึกฝนตอนเช้าเสร็จ เหงื่อก็ออกท่วมตัว นางเข้าห้องไปอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนมาสวมกระโปรงคาดเอวกับเสื้อแขนแคบแนบลำตัวชุดหนึ่ง สตรีจงหยวนชื่นชอบแขนเสื้อกว้าง แต่ชนเผ่าถ่าน่ามักจะสวมอาภรณ์แขนแคบมากกว่า พอกลับมาสวมอาภรณ์แขนยาวเฟื้อยอีกหนจึงรู้สึกไม่สะดวกนัก
นางจึงตัดสินใจว่าหน้าตาดี รูปร่างดี สวมอะไรก็ทำให้คนตาเป็นประกายได้ทั้งนั้น
ปี้เอ๋อร์ยกสำรับเช้ามา พอเห็นเฉียวเวยเหมือนจะอารมณ์ดีไม่เลว จึงรวบรวมความกล้าถามคำถามที่เก็บไว้ในใจมาทั้งคืน “ฮูหยิน ฮูหยินใหญ่ของบ้านเรายังมีชีวิตอยู่จริงหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยตักเห็ดหูหนูขาวเชื่อมเม็ดบัวเข้าปาก แล้วตอบว่า “แน่นอนว่ายังมีชีวิตอยู่สิ พ่อแม่ของข้าแต่เดิมก็ยังไม่ตายเพียงแต่หายตัวไปเท่านั้น แต่เรือนรองอยากจะแย่งชิงมรดกของเรือนใหญ่จึงปดว่าพ่อแม่ของข้าตายแล้ว”
ปี้เอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “ดีจริงๆ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฮูหยินก็มีบิดามารดาแล้ว ฮูหยินดีใจแย่เลยสิเจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียวสักนิด “แน่นอนสิ”
ปี้เอ๋อร์หัวเราะ “ข้าได้ยินแม่ข้าบอกว่าฮูหยินใหญ่เป็นคนเก่งกาจอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ตอนฮูหยินใหญ่อยู่ พวกฮูหยินรองราวกับมุสิกกลัวแมว ไม่กล้าล่วงเกินนางสักคน”
นั่นแน่นอนอยู่แล้ว แม่ของนางเป็นนางมารแห่งชนเผ่าลึกลับ ฮูหยินที่หลบอยู่ในจวนชั้นในไม่กี่คนจะกล้าก่อความวุ่นวายต่อหน้ามารดาของนางหรือ หากไม่ใช่ว่ามีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้ว
“จริงสิ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อครู่หรงมามานำขนมมาให้ แล้วพาพวกเขาไปเรือนลั่วเหมยแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยพยักหน้า ลูกน้อยทั้งสองคนจากบ้านไปนานเช่นนี้ อยู่เป็นเพื่อนเหล่าฮูหยินให้มากหน่อยจึงจะดี “คุณชายรองเล่า”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “โอ๊ะ ไม่ได้หนีไปหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก ‘ข้าหนีแล้ว แต่หนีไม่พ้น!’
ทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็นำของขวัญที่นำกลับมาจากชนเผ่าถ่าน่าไปมอบให้เรือนต่างๆ นางถามใต้เท้าเจ้าสำนักว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่ คำตอบย่อมเป็นไม่ไป เฉียวเวยไม่แปลกใจสักนิด เจ้าเด็กคนนี้มีแต่ความดื้อด้าน วันใดไม่ขัดเจ้า ดวงตะวันคงขึ้นทางทิศตะวันตก