บทที่ 1102 ชายหนุ่มที่จุดเฝ้าประตู

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1102 ชายหนุ่มที่จุดเฝ้าประตู

บทที่ 1102 ชายหนุ่มที่จุดเฝ้าประตู

ซูเสี่ยวเถียนเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง ส่วนพี่ชายอย่างซูซื่อเลี่ยงเคยอยู่ที่นี่มาปีหนึ่ง จึงรับหน้าที่เป็นไกด์นำทาง

ที่จริงบ้านเมืองเขาพัฒนาไปไวมาก พูดได้เลยว่าเปลี่ยนแปลงทุกวัน

ต่อให้ชายหนุ่มเพิ่งมาเมื่อปีก่อน กลับมาอีกครั้งตอนนี้ยังรู้สึกแปลก ๆ เลย

เด็กสาวมองด้วยความสนอกสนใจ ถึงกับแสดงความเห็นถึงตึกรามบ้านช่องสำคัญบางแห่งด้วย

คนทั้งสองเดินทางด้วยจักรยาน

อาเขยอาใหญ่มีกันคนละคัน สองพี่น้องจึงขอยืมมาในวันนี้

เราปั่นชมการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง เป้าหมายคือโรงงานแปรรูปอาหารหลู่เซียงเซียงสาขาลี่เฉิง

ไม่นานก็เดินทางมาถึง

โรงงานสาขานี้น่าสนใจกว่าในเมืองหลวงเสียอีก เนื่องจากที่นี่ดูทันสมัยมากกว่า

ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ระดับกลางในโรงงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่เฉินจื่ออันแนะนำมาให้

บางส่วนเป็นคนในท้องที่ บางส่วนเป็นทหารปลดประจำการ

ซูซื่อเลี่ยงได้พบกับทุกคนแล้วสมัยอยู่ลี่เฉิง จึงพอรู้จักอยู่บ้าง

ตามความรู้สึกคือพวกเขาเชื่อถือได้

หลายปีที่ผ่านมามีแค่หลี่มู่มู่ที่มาเยี่ยมเป็นครั้งคราว ทางโรงงานยังคงดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าพวกเขาเชื่อถือได้แค่ไหน

แต่ไม่ว่ายังไงซูเสี่ยวเถียนก็ยังไม่รู้จัก วันนี้จึงต้องทำความรู้จักให้รู้เขารู้เราเสียก่อน

เธอตั้งใจจะใชัเวลาสิบวันนี้ในการทำความเข้าใจทุกอย่าง

หากรู้จักโรงงานและผู้คนที่ทำงานแล้ว เราจึงจะสามารถตัดสินใจในขั้นต่อไปได้

และเหตุผลที่เธอมั่นใจเพราะมีเฉินจื่ออันนั่นเอง

ตราบใดที่อาเขยยังอยู่ลี่เฉิง โรงงานย่อมดำเนินกิจการไปตามปกติ

ต่อให้มีคนคิดเล็กคิดน้อย แต่ไม่เป็นอันตรายหรอก

ไม่มีใครกล้ามีความขัดแย้งกับผู้นำในลี่เฉิงด้วยการยักยอกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ หรอกนะ มีแต่จะถูกต้อนให้จนมุมเท่านั้น

แต่เธอเชื่อว่าจะต้องมีคนคิดแน่ ๆ

คราวนี้เธอมาด้วยใจที่อยากจะจัดการหนอนบ่อนไส้ทั้งสิ้น

ส่วนวิธีการคือใช้สกิลพืชพรรณเพื่อสอบถามข้อมูลที่ผ่านมาจากต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ

เมื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นแล้ว ก็ทำความเข้าใจข้อมูลบัญชีในเชิงลึกแล้วหาหลักฐาน

ถึงจะไม่เคยมาเยี่ยมเยียน แต่ตัวผู้อำนวยการจะรายงานสถานการณ์ให้ฟังเดือนละสองครั้ง

เธอจึงรู้สถานการณ์ทั่วไปอยู่บ้าง

สาขาลี่เฉิงจะแปรรูปอาหารทะเลเป็นหลัก

เพราะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีแต่อาหารทะเล จึงไม่จำเป็นต้องสร้างฟาร์มทำโดยเฉพาะหรอก

หลายเดือนที่ผ่านมา เธอได้ทราบว่าที่นี่มีไลน์การผลิตสองเส้น

แล้วก็เรื่องที่ผู้อำนวยการตื่นเต้นมากกับรสชาติที่เพิ่งออกตัวมาใหม่ขายดิบขายดีสุด ๆ

ตอนนั้นซูเสี่ยวเถียนถามเรื่องวิธีในการเรียกลูกค้ากับอวี๋กวางฮุยผู้รับผิดชอบด้านนี้

เจ้าตัวบอกวิธีการพวกเขาทำได้รับการสนับสนุนมาก

แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว

ยามนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่ง

ทางเข้าโรงงานมีคนมาไม่เยอะ รู้เลยว่าชั่วโมงเร่งด่วนได้ผ่านไปแล้ว

จึงไม่มีใครเดินขวักไขว่ไปมา

สองพี่น้องจอดจักรยานแล้วเดินไปยังจุดเฝ้าประตู

ที่นั่นมีพนักงานต้อนรับสองคนกำลังคุยกัน

อายุอานามไม่มากซึ่งทำให้เธอประหลาดใจ

ส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุที่มาดูแลน่ะ

แต่ทั้งสองดูอายุราว ๆ สามสี่สิบปีเท่านั้น แล้วทำไมถึงได้มาทำงานตรงนี้

เด็กสาวขมวดคิ้ว

แต่หลังจากทั้งสองเข้ามาสอบถามจึงทราบเหตุผล

คนหนึ่งไม่มีแขนซ้าย อีกคนก็ขากะเผลก

แม้จะพิการแต่ร่างกายสูงใหญ่ฉายชัดถึงความกล้าหาญ เดาว่าพวกเขาคงลงตำแหน่งแนวหน้ามานานแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนมีความเคารพต่อพวกเขามากยิ่งขึ้น

“สวัสดีค่ะ ผู้อำนวยการอยู่ไหมคะ?” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างสุภาพ

“มีเรื่องอะไรกับผู้อำนวยการหรือเปล่าครับ?”

“รบกวนแจ้งให้เขาทราบหน่อยค่ะว่าซูเสี่ยวเถียนมาหา!”

อีกฝ่ายได้ยินก็ตกใจไปครู่หนึ่ง

แต่คนที่มาหาผู้อำนวยการด้วยตัวเองต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่

ชายไร้แขนซ้ายเข้าไปตามคน ส่วนอีกคนต้อนรับแขกทั้งสองรอฟังข่าว

“ผู้อำนวยการโรงงานแจ้งว่ายังมีธุระต้องทำ ให้พวกคุณนั่งรอสบาย ๆ ในห้องก่อนครับ”

เด็กสาวยิ้มขอบคุณแล้วเดินเข้าห้องไป

ด้วยความเป็นคนช่างพูดทำให้เธอได้รู้ว่าชายตรงหน้าชื่อกานเหวินซานเคยเป็นลูกน้องของอาเขยเมื่อสมัยก่อน

หลังจากได้รับบาดเจ็บและปลดประจำการออกมา ชีวิตที่บ้านก็ลำบากมาก เมื่อเฉินจื่ออันทราบข่าวเลยพาเขามาทำงานที่นี่

กานเหวินซานพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้มาก ด้วยเงินเดือนที่ได้รับก็มากพอเลี้ยงดูคนในครอบครัว สำหรับตัวเขาแล้ว แค่นี้ก็พอใจมากแล้วละ

ส่วนอีกคนชื่อเหมียวซิน พวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จึงได้มาทำงานที่จุดเฝ้าประตูด้วยกัน

ซูเสี่ยวเถียนถาม “พวกคุณยังหนุ่มอยู่เลยค่ะ คิดจะทำงานตำแหน่งนี้ไปตลอดหรือคะ?”

กานเหวินซานเอ่ยเศร้า ๆ “ถ้าไม่เป็นคนเฝ้าประตูแล้วจะไปทำอะไรครับ? สำหรับคนประเภทเราไปที่ไหนก็ถ่วงแข้งขาคนอื่นเท่านั้น”

เด็กสาวเห็นแล้วอดเศร้าใจไม่ได้ แต่ไม่รู้จะปลอบยังไงดี

เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหางานอื่นน่ะ

แล้วงานคนเฝ้าประตูเงินก็น้อยด้วย แถมเงินยังขึ้นช้ากว่าคนอื่น ๆ อีก

สำหรับคนที่หลั่งเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศชาติแล้ว ตนหวังว่าอนาคตพวกเขาจะดีขึ้นกว่านี้

แต่ตนไม่ได้เอ่ยออกไป แล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องโรงงานแทน

ด้วยความที่กานเหวินซานเป็นลูกทหารจึงตอบคำถามด้วยความระมัดระวัง อันไหนค่อนข้างอ่อนไหวจะเลี่ยงไม่ตอบเลย

แต่จากการพูดคุย จึงทำให้ได้รู้สถานการณ์ที่นี่ขึ้นไม่น้อย

ตอนนั้นเองที่เหมียวซินปรากฏตัวพร้อมด้วยชายหนุ่มข้างที่ตามมาอย่างเร่งรีบ

เดาได้ว่าเขาคืออวี๋กวางฮุย

“เจ้านาย ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรครับ? ทำไมไม่แจ้งผมสักหน่อย”

ทันทีที่มาถึงจุดเฝ้าประตู เขาเอ่ยกับซูเสี่ยวเถียนด้วยความเคารพทันที

ถามว่าทำไมไม่ใคร่สงสัย?

เพราะมีซูซื่อเลี่ยงอยู่ข้าง ๆ

คนอื่นคงไม่รู้จัก แต่ในฐานะผู้อำนวยการของโรงงานอย่างอวี๋กวางฮุยที่เคยติดต่อกับชายหนุ่มผู้ชาญฉลาดคนนี้รับรู้ได้โดยทันที

กานเหวินซานและเหมียวซินตกใจกับสรรพนามเรียก

เด็กผู้หญิงที่ดูยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนี้เป็นเจ้านายของเราหรือ?

“สวัสดีค่ะผู้อำนวยการอวี๋ พอดีฉันอยากมาเยี่ยมกะทันหันน่ะค่ะ” เธอยกยิ้มก่อนเข้าไปจับมืออีกฝ่าย