บทที่ 1103 ต้นลิ้นจี่

บทที่ 1103 ต้นลิ้นจี่

“ผมกำลังรอท่านมาตรวจงานอยู่เลยครับ เป็นการรอคอยที่ยาวนานจริง ๆ!”

อวี๋กวางฮุยไม่เคยพบซูเสี่ยวเถียนมาก่อน แต่จำเสียงได้

และทันทีที่เธอเอ่ยปาก มันมีความรู้สึกสนิทสนมกอปรกับรอยยิ้มทำให้ยิ่งมีความจริงใจมากขึ้น

แม้เธอจะยังเด็กแต่ท่วงท่าสง่างาม ไร้ความเกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น

เขาทอดถอนใจ มั่นคงมาก ไม่แปลกใจที่เป็นเจ้าของโรงงานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

“สองปีมานี้ผู้อำนวยการอวี๋ทำงานได้ดีมากค่ะ หากไม่ได้คุณคอยดูแลเราคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้”

เธอกล่าวตรง ๆ

ด้วยความที่เป็นเจ้านายผู้ดีแต่โยนงานให้ลูกน้องทำ เธอโชคดีมากที่ผู้ดูแลทั้งสองโรงงานไม่มีเจตนาร้ายซุกซ่อน

“นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ ที่จริงต้องขอบคุณเจ้านายที่ให้โอกาสผม” อวี๋กวางฮุยเอ่ยด้วยความจริงใจ

เขาหวังจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองเหมือนกัน แต่ฐานะทางบ้านไม่อำนวยเลย แค่เงินทุนเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ยังไม่มีด้วยซ้ำ

ต้องขอบคุณซูเสี่ยวเถียนที่ได้มอบพื้นที่ให้เขาได้แสดงความทะเยอทะยาน

หลังจากสร้างโรงงานเสร็จ เจ้านายผู้อยู่เบื้องหลังดูแลเขาดีมาก

สถานการณ์ในปัจจุบันดีกว่าพวกคนรุ่นราวคราวเดียวกันเริ่มทำธุรกิจกันเสียอีก

“พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ยืนคุยตรงนี้คงไม่สะดวก”

อีกฝ่ายยกยิ้ม “ผมนี่เลินเล่อจริง ๆ เชิญครับเจ้านาย!”

ซูเสี่ยวเถียนมองกานเหวินซานและเหมียวซินข้าง ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

พวกเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้านายของโรงงานเป็นคนอื่น ได้ยินว่ามาจากเมืองหลวง

แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเด็กสาวเช่นนี้

ไม่สิ บอกว่าเจ้านายสาวมันไม่เข้าเท่าไร เห็นกันอยู่จะ ๆ ว่าเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มสดใส “ขอบคุณพี่กานและพี่เหมียวที่ตั้งใจทำงานนะคะ!”

เห็นรอยยิ้มเธอ คนทั้งสองปลาบปลื้มไปใจครู่หนึ่ง

ต่อให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจากโรงงาน แต่ไม่เคยมีใครทำตัวสุภาพด้วยมาก่อน

ใครที่ได้มาทำงานที่นี่ย่อมมีชีวิตที่ดีกว่าเรามาก

ส่วนคนพิการอย่างเราทั้งสองที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยย่อมได้รับความเคารพน้อยที่สุด

พวกเขาเฝ้ามองซูเสี่ยวเถียนตามอวี๋กวางฮุยเดินเข้าโรงงานไปยังสำนักงาน

“เหล่าเหมียว แกว่าทำไมเจ้านายเราถึงใจดีแบบนี้ล่ะ?”

ไหนชอบพูดกันว่านักธุรกิจเป็นพวกสับปลับไม่ใช่หรือ?

แล้วทำไมเจ้านายเราถึงไม่เป็นเช่นนั้นเลย?

“ถ้าไม่ใจดีจริง เราพี่น้องคงไม่ได้มายืนทำงานตรงนี้หรอกนะ!”

เธอจ้างคนอื่นมาทำก็ได้

ใครที่ไหนจะอยากได้คนพิการมาทำล่ะ?

ถึงจะเป็นงานเรียบง่ายแต่มันเป็นภาพลักษณ์ของที่นี่น่ะ สองปีมานี้แขกไปใครมาเอาแต่มองด้วยสายตาประหลาดใจ

แต่เจ้านายกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย

ทางฝั่งอวี๋กวางฮุยพาเด็กสาวไปยังตึกสำนักงาน

โรงงานและตึกสำนักงานของสาขาลี่เฉิงจะเป็นตัวอาคารน่ะ ต่างจากสาขาเมืองหลวงที่เป็นบ้านเดี่ยว

เห็นได้ถึงความต่างชั้นเลย

“ห้องทำงานของท่านอยู่ชั้นสองครับ ผมพาท่านไปดูก่อนดีไหมครับ?” อวี๋กวางฮุยถาม

ซูเสี่ยวเถียนไม่แปลกใจเรื่องที่มีออฟฟิศเป็นของตัวเอง

แต่เรื่องที่เพิ่งมาถึงแล้วพาไปดูเลยเนี่ย น่ากะทันหันมากกว่าอีก

เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นอวี๋กวางฮุยได้วานให้คนช่วยเปิดปิดประตูสำนักงานฝั่งตะวันออกของชั้นสองทันที

แล้วเชิญเธอเข้าไป

พื้นที่ในห้องประมาณสี่สิบตารางเมตรแบ่งออกเป็นสองฝั่ง

ครึ่งหนึ่งจัดวางเป็นโซนรับแขก มีโซฟา โต๊ะกาแฟ และต้นไม้เขียวชอุ่มสองต้น

อีกครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ทำงาน มีโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นหนังสือหลังใหญ่

แผนผังทันสมัยมาก

แต่ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบันถือว่าธรรมดา

ที่หายากยิ่งคือความสะอาดสะอ้าน รู้เลยว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดตลอด

“สะอาดจังเลยค่ะ”

“ที่โรงงานมีคนมาทำความสะอาดด้วยน่ะครับ และห้องของท่านเราทำให้ทุก ๆ สองสามวันน่ะ”

เธอพยักหน้าแล้วเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ มือเลื่อนเปิดกระจก

ฤดูหนาวที่ลี่เฉิงอากาศไม่ได้เย็น วันนี้แดดกำลังดีเธอเลยอยากสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย

นอกหน้าต่างมีต้นลิ้นจี่สูงชะลูด ใบเขียวพุ่มเกือบเลยเข้ามาในห้อง

พวกกิ่งก้านใบของลินจี่ทางฝั่งนี้จะต่างจากเมืองหลวง

แค่มองก็รู้สึกมีชีวิตชีวา

“ต้นงามดีจังค่ะ!”

เธอชอบมาก ถึงกับเอื้อมมือไปจับใบมันด้วย

“มันอยู่ตั้งแต่ซื้อที่ดินมาเลยครับ หลังจากแผนผังโรงงานออกมาผมเห็นว่ามันเลี้ยงไว้ต่อได้ก็เลยเก็บมันไว้!”

อวี๋กวางฮุยวานให้คนนำน้ำร้อนมาเสิร์ฟ

“อีกสักพักจะถึงฤดูออกดอกแล้วครับ กลิ่นหอมเฉพาะต้นจะหอมฟุ้งไปทั่วตึกเลย”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มก่อนจะเอ่ยด้วยความเสียใจ “น่าเสียดายที่ฉันอยู่ไม่ถึงช่วงมันบาน!”

แม้จะเป็นครั้งแรกที่เพิ่งมา แต่เธอชอบบรรยากาศมาและคิดไว้แล้วว่าหลังเรียนจบคงย้ายมาอยู่ได้อีกนาน

อวี๋กวางฮุยกำลังจะชวนให้อยู่ต่อ แต่เพิ่งนึกได้ว่าเจ้านายยังเรียนไม่จบเลยบอกให้เธอมุ่งกับการเรียนก่อน

“เจ้านายเรียนจบเมื่อไรจะได้ชมลิ้นจี่อีกหลายหนเลยครับ ได้เห็นทั้งดอกของมัน และได้ชิมลิ้นจี่สด ๆ ด้วย”

“ฉันจะรอคอยวันนั้นนะคะ!”

“ลิ้นจี่ต้นนี้อร่อยมากนะ” ซูซื่อเลี่ยงเอ่ยอย่างเกียจคร้านบนโซฟา

สมัยสร้างโรงงานชายหนุ่มมาอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม

การที่พี่รองพูดแบบนี้แสดงว่าจริง!

ไม่นานพนักงานก็นำน้ำร้อนมาชงชาให้ทั้งสองคน

“ฉันคิดว่าผู้อำนวยการอวี๋จะชอบดื่มกาแฟเสียอีกค่ะ”

อวี๋กวางฮุยโบกมือ “ผมไม่ค่อยชินกับกลิ่นมันน่ะครับ”

“ทางฝั่งนี้คงมีพ่อค้าจากเซียงเจียงมาเยอะเลยสินะคะ”

“พวกเขาชอบนัดคุยกันในร้านกาแฟมากครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยคุยงานกับคนหนึ่งและเข้าไปร้านกาแฟ ผมทรมานมากเลย”

ซูซื่อเลี่ยงยิ้ม “กลิ่นมันไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนชาจริง ๆ นั่นละ ด้วยรสนิยมชาวจีนเราไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ ด้วย”

ซูเสี่ยวเถียนหยิบถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย “จริงค่ะ!”

ทั้งสามนั่งคุยอยู่กันสักพัก ส่วนใหญ่อวี๋กวางฮุยจะแนะนำสถานการณ์พื้นฐานของโรงงานให้ฟัง

ส่วนซูซื่อเลี่ยงไม่รู้คิดอะไรอยู่ แทบไม่ได้เข้ามาร่วมบทสนทนาสักนิด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองสนิทกันมากขึ้น

อวี๋กวางฮุยดูนาฬิกา “เจ้านายครับ ผมมีนัดกับแขกตอนสิบโมงครึ่ง อยากไปร่วมด้วยไหมครับ?”

“ฉันจะไม่ไปค่ะ”

เธอไม่คุ้นเคยกับอะไรเลย อย่ายื่นมือเข้าไปดีกว่า

“งั้นเดี๋ยววันนี้ตอนเที่ยงผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร พาท่านไปกินข้าวที่โรงแรมลี่เฉิงแล้วกันครับ จะได้แนะนำท่านให้รู้จักกับผู้นำคนอื่น ๆ ในโรงงานด้วย”

จากนั้นจึงเน้นย้ำต่อ “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจ่ายเอง ไม่ได้เอาเงินของโรงงานมาใช้แน่นอน!”

เด็กสาวปิดปากหัวเราะ

ผู้อำนวยการโรงงานคนนี้เป็นคนตลกจริง ๆ!