บทที่ 1104 มหาวิทยาลัยภาคค่ำ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1104 มหาวิทยาลัยภาคค่ำ

บทที่ 1104 มหาวิทยาลัยภาคค่ำ

“ผู้อำนวยการอวี๋ออกตัวทั้งที ในฐานะที่เป็นเจ้านายมีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธกันคะ งั้นมื้อนี้เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองดีกว่า เพื่อเป็นการขอบคุณผู้อำนวยการที่มีส่วนร่วมกับทางโรงงานมาอย่างยาวนานค่ะ”

“แต่ท่านเป็นแขกจากแดนไกลนะครับ…”

พูดไม่ทันจบ เจ้าตัวเหมือนตระหนักได้ว่าคำพูดไม่สมควรจึงหยุดแล้วค่อย ๆ ยิ้ม

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว นึกดูดี ๆ ก็จริงอย่างที่ว่า

“ฉันเพิ่งมาถึงมีหลายอย่างไม่คุ้นเคย งั้นรบกวนผู้อำนวยการอวี๋เตรียมสถานที่ไว้ทีนะคะ”

เด็กสาวขบคิด บางทีตนอาจเปิดร้านอาหารในลี่เฉิงก็ได้นะ

แต่ด้วยอาหารการกินของที่นี่ต่างจากเมืองหลวง พวกเขาอาจไม่ชินกับอาหารที่เป็นซอสตุ๋นรสเข้มข้นก็ได้

ถ้าเปิดร้านที่เมืองหลวง เขาก็เปิด ๆ กันอยู่แล้วคงสู้ยาก

เรื่องนี้ต้องหารือในระยะยาว ไว้กลับไปปรึกษาที่บ้านดีกว่า

“ไม่ต้องห่วงนะครับเจ้านาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”

เสร็จสิ้นหน้าที่อวี๋กวางฮุยไปทำธุระต่อ

ส่วนซูเสี่ยวเถียนยืนมองใบไม้สีเขียวต่อ

“วันนี้เธอคงไม่นั่งเฉย ๆ ใช่ไหม?”

ซูซื่อเลี่ยงกังวลนิดหน่อยที่น้องอยู่เฉย ๆ

เรามาดูโรงงาน ไม่ได้มาดูต้นไม้ใบหญ้า

แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าซูเสี่ยวเถียนกำลังสื่อสารกับต้นไม้

แม้เด็กสาวจะไม่ค่อยรู้จักคนที่นี่แต่เธอจำต้องรู้ข้อมูลก่อน

ทว่ามันเป็นเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้

พี่รองคงได้บอกว่าเธอหลอนแน่ ๆ!

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ผู้อำนวยการอวี๋เป็นคนฉลาด อีกสักพักคงเอาบัญชีและข้อมูลอื่น ๆ ที่หนูต้องการมาให้แล้วละ”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มจาง ๆ

แค่เห็นก็รู้แล้ววว่าเขาหลักแหลมกว่าเหลยเกาเชามาก ไม่มีทางไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ แบบนี้หรอก

และข่าวที่ได้จากต้นไม้ก็บอกว่าอวี๋กวางฮุยเป็นคนดีจริง ๆ

แต่มีคนหนึ่งเหมือนจะมีปัญหาอยู่ เธอยังไม่เจอคนอื่น ๆ จึงไม่รู้ว่าใคร

ซูเสี่ยวเถียนจึงตั้งตารอการประชุมตอนเที่ยงมาก

สิบนาทีต่อมาก็มีพนักงานใส่สูทสองสามคนเคาะประตูห้องพร้อมเอกสาร

คนเดินนำเป็นชายหนุ่มสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร ดูทรงพลังมาก

หน้าตาไม่ได้หล่อเหลา แต่จิตวิญญาณอันกล้าหาญทำให้คนเห็นแล้วสบายตา

“เจ้านายครับ นี่เป็นบัญชีและข้อมูลที่ผู้อำนวยการอวี๋สั่งให้พวกเรานำมาให้ครับ เชิญตรวจดูได้เลยครับ”

เขาไม่ได้ถือตัวหรือทะนงตน ท่าทางเคารพไร้ความประสอพลอ

ซูเสี่ยวเถียนพิจารณาน้ำหนักของข้อมูล “นี่เป็นข้อมูลและบัญชีทั้งหมดใช่ไหมคะ?”

“เป็นของช่วงหกเดือนที่ผ่านมาครับ ผู้อำนวยการอวี๋บอกว่าจำนวนมันเยอะมาก วางไว้ในสำนักงานคงไม่สะดวก”

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวช่วงบ่ายส่งให้นะคะ!”

ชายหนุ่มตกใจ

ส่งบ่ายนี้เลย?

อ่านจบทั้งหมดเลยหรือ?

ถ้าให้คนอื่นทำปกติต้องใช้เวลาสักอาทิตย์ด้วยซ้ำ

แต่เขาเป็นคนฉลาดจึงไม่เอ่ยถาม เพียงพยักหน้ารับ

“คุณชื่ออะไร” เธอถามเพราะถูกใจชายคนนี้มาก

“ผมชื่อต้วนหงหย่วนครับ”

เขายืดตัวตรง

“ปัจจุบันทำงานตำแหน่งอะไรคะ?”

“ตอนนี้ผมเป็นเสมียนครับ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“ช่วงนี้ผมจะคอยดูแลเองครับ หากต้องการอะไรแจ้งผมได้เลยครับ สำนักงานชั่วคราวของผมอยู่ข้าง ๆ ครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่ฉันเห็นจากท่ายืนของคุณ เคยเป็นทหารมาก่อนหรือคะ?”

“ครับ หลังจากปลดประจำการทางโรงงานบังเอิญรับสมัครงานพอดีผมก็เลยมาสมัครครับ”

ในฐานะที่เป็นเด็กจากชนบท ต้วนหงหย่วนพึงพอใจกับตำแหน่งหน้าที่การงานในตอนนี้มาก ถึงกับซาบซึ้งใจด้วยซ้ำ

“ใช้ได้ค่ะ แล้วระดับการศึกษาล่ะคะ?”

“ผมไม่ได้เรียนมาสูงครับ จบแค่ชั้นมัธยมต้น ตอนเข้ากองทัพผมเรียนเนื้อหาวิชาระดับมัธยมปลายด้วยตัวเองครับ”

ต้วนหงหย่วนเขินอายนิดหน่อย

ถึงจะเป็นโรงงานเอกชน แต่เกณฑ์การรับคนย่อมไม่ต้องการระดับต่ำอยู่แล้ว

มีเพื่อนร่วมงานอยู่สองคนที่ถ้าเขาไม่ได้เข้าร่วมการสอบวัดความรู้มาก่อนก็คงไม่ได้เข้าทำงานหรอก

แล้ววุฒิการศึกษาของเราตอนนี้ก็ต่ำที่สุดเลยด้วย

ไม่รู้เจ้านายจะไม่ชอบใจหรือเปล่า

ซูเสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว

เขาเก่งแต่วุฒิต่ำ

ต้วนหงหย่วนเป็นคนช่างสังเกต แค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้ว

เขาเศร้าใจ

เมื่อก่อนก็คิดเรียนแต่ด้วยสถานการณ์ไม่ดีจึงไม่มีโอกาส

หลังจากเข้าร่วมกองทัพ ด้วยพื้นฐานเดิมที่อ่อนอยู่แล้ว กอปรกับสอบไม่ติดโรงเรียนเตรียมทหาร จึงถอนตัวและกลับบ้านมาในที่สุด

ตอนนี้มีครอบครัวที่ต้องดูแล จึงไม่สามารถเรียนหนังสือได้อีก

“คุณยังหนุ่มอยู่เลยค่ะ ตั้งใจพัฒนาตัวเองก็ดีนะคะ ถึงจะสายเกินกว่าจะเรียนมหาวิทยาลัย แต่สามารถลงเรียนพวกเรียนภาคค่ำได้นะ”

คงเพราะครอบครัวเรามีความเกี่ยวข้องกับทหารบ่อย ๆ หรืออิทธิพลปู่รองกับอาเขยเลยทำให้เธอมีความรู้สึกยากจะอธิบายต่อทหารเหล่านี้เสมอ

ต้วนหงหย่วนตกใจ

“ผมจะตั้งใจพัฒนาตัวเองครับ!” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องมหาวิทยาลัยภาคค่ำ จำต้องไปสอบถามข้อมูลแล้ว

บางทีนี่อาจเป็นวิธีใหม่ในการสร้างความก้าวหน้าก็ได้