บทที่ 1105 สังเกตการณ์

บทที่ 1105 สังเกตการณ์

“ช่วงสมัครสอบน่าจะเป็นช่วงเดือนสามเดือนสี่นะคะ รอพ้นปีใหม่ลองตรวจสอบดูค่ะ คนน่าจะเยอะแน่ ๆ ทบทวนบทเรียนล่วงหน้าไว้ก็ดีนะคะ!”

เธอพยายามให้กำลังใจคนที่เรียนรู้อยู่เสมอ

จึงจินตนาการถึงความสุขของเธอออกเลย

คนอื่น ๆ ที่ชวนกันเรียนก็มีแค่เครือญาติกับเพื่อน ๆ

ตอนนี้การเรียนของทุกคนก็กระเตื้องขึ้นไม่น้อย

แต่เธอคิดว่ามันไม่ค่อยมีความสำเร็จให้เล็งเห็นมากเท่าไร

และคราวนี้เป็นคนแปลกหน้าที่ทำให้รู้สึกว่ามีแววความเป็นไปได้ขึ้นมา

ในไม่ช้าก็ได้รับเสียงแจ้งเตือนจากระบบว่ามีคะแนนเข้ามาแล้ว

เธอยกยิ้ม

สิ่งนี้มีค่ามากกว่าเงินเสียอีก

ช่วงนี้คะแนนไม่เพิ่มขึ้น เด็กสาวจึงรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย

แต่เมื่อคิดว่าต้วนหงหย่วนจะต้องประสบความสำเร็จในด้านการเรียน และเราจะได้รับคะแนนอีกเป็นกอบเป็นกำ ความคิดที่ดีกว่าก็ผุดขึ้นมาในหัว

ถ้าจะเพิ่มคะแนน ต้องมีวิธีอื่นอีก

เช่น เชิญชวนคนงานเข้าร่วมการเรียนทางไกลหรือมหาวิทยาลัยภาคค่ำก็ได้

ไม่ว่ายุคสมัยไหน การเรียนต้องมาก่อนเสมอ

หากมีความรู้พอ เราจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในอนาคตได้

ไว้ค่อยหารือกับผู้อำนวยการอวี๋ แล้วเรื่องนี้ก็สามารถไปทำกับที่โรงงานสาขาเมืองหลวงได้ด้วยนะ

อย่างแรกคือ คนงานมีวุฒิการศึกษาสูงขึ้น ทางเลือกในอนาคตเยอะขึ้น

อย่างที่สองคือ คุณภาพของโรงงานดีขึ้น

ถ้าคนงานสอบผ่าน จะได้รับการสนับสนุนในนามของโรงงานในการเล่าเรียนด้วยนะ

ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าความคิดนี้ดีมาก

หลังจากจัดการเสร็จ เธอก็เริ่มหันมาดูเอกสาร

ข้อมูลถูกจัดระเบียบเป็นอย่างดี ดีกว่าสาขาเมืองหลวงอีก

ซูเสี่ยวเถียนพึงพอใจมาก

ฝ่ายพี่ชายนั่งมองน้องอยู่บนโซฟา จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเธอโตขึ้นมาก

ถ้าไม่คำนึงเรื่องอายุ เธอก็เหมือนผู้ใหญ่จริง ๆ

ซูเสี่ยวเถียนอ่านรวดเดียวถึงชั่วโมงครึ่ง

ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว

หลังจากวางเอกสาร ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เจ้านายครับ ผู้อำนวยการอวี๋จัดเตรียมสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้วครับ และเดินทางที่ถึงที่หมายแล้วครับ ส่วนคนอื่น ๆ รอท่านอยู่ที่หน้าประตูครับ!”

ซูเสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว

เธอไม่เคยเจอผู้นำคนอื่น ๆ ในโรงงานเลย

แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

อีกเดี๋ยวก็ได้รู้จักแล้ว

“ฉันอ่านเอกสารส่วนนี้เสร็จแล้วนะคะ ช่วงบ่ายกลับมารับคืนได้เลย ส่วนอันนี้ยังใช้อยู่ ไว้กลับมาอ่านต่อตอนบ่ายค่ะ”

เธอแจกแจงให้ฟัง

ต้วนหงหย่วนมองเอกสารกองหนา ๆ พลันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

จริงหรือ?

อ่านหมดนี่เลยหรือ?

“เจ้านายอ่านจบแล้วหรือครับ?” น้ำเสียงที่เอ่ยแหบแห้งมาก

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า “ฉันอ่านหนังสือไวค่ะ!”

ที่จริงไม่ใช่แค่อ่านเร็ว แต่สามารถอ่านได้ทีเดียวสิบบรรทัด

ถ้าเป็นคนอื่นคงทำไม่ได้

แต่ด้วยพรสวรรค์เห็นครั้งเดียวจำขึ้นใจ ทำให้เข้าใจทุกอย่างยกเว้นพวกข้อมูลเห็นต่างบางส่วน

“อ้อ คุณตามฉันไปด้วยนะคะ เรื่องนี้ให้คนอื่นจัดการแล้วกันค่ะ!”

ขณะจะไป เธอก็นึกขึ้นได้ว่าคงจะดีกว่าถ้าพาต้วนหงหย่วนไปด้วย

พวกผู้นำคนอื่น ๆ พี่รองต้องรู้จักอยู่แล้ว แต่คงไม่เท่าคนในพื้นที่รู้จักหรอกนะ

เดิมทีต้วนหงหย่วนเห็นว่ามันเป็นการประชุมของเหล่าผู้นำ ตนเป็นแค่เสมียนไปก็อายเขา แต่เจ้านายเอ่ยบอกออกมาแล้ว

นี่เป็นความตั้งใจของเธอที่จะสนับสนุนเขา

สำหรับคนที่เคยเป็นทหารจะมีความจงรักภักดีต่อผู้คน และต่อการงานที่ทำอยู่แล้ว

ซูเสี่ยวเถียนเห็นว่าเขาควรค่าแก่การฝึกฝนเพื่อมาเป็นมือขวาเหมาะดูแลกิจการเธอในอนาคต

อุตสาหกรรมที่คิดไว้จะมีเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน แต่คนที่จะใช้ยังไม่มากเห็นได้ชัด

ต้วนหงหย่วนตามเจ้านายออกไปด้วยท่าทีเคารพ

แน่นอนว่ามีคนอยู่หกเจ็ดใส่สูทผูกเนกไทยืนรออยู่ข้างหน้า

แค่จุดนี้ก็แตกต่างจากเมืองหลวงแล้ว

ด้วยความที่ลี่เฉิงมีสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจและพ่อค้าเซียงเจียง เลยทำให้มีคนใส่สูทมากกว่าน่ะ

ดูเผิน ๆ ช่องว่างระหว่างโรงงานของเธอในสาขาเมืองหลวงและสาขาลี่เฉิงคงไม่ใหญ่นัก

แต่มันมีในเรื่องของประสิทธิภาพและยอดขายน่ะ

นี่เป็นความคิดเธอหลังจากได้อ่านข้อมูลมา

ระยะเวลาที่อยู่ที่นี่จัดการจุดบกพร่องต่าง ๆ ในโรงงานไว้ดีกว่า

ถ้ามีการทำอะไรใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ อาจส่งเสริมการพัฒนาให้ดีขึ้นก็ได้

“สวัสดีครับเจ้านาย!” เมื่อทุกคนเห็นซูเสี่ยวเถียนจึงเอ่ยทัก

เธอเหลือบมองแล้วพยักหน้าเบา ๆ

“ผู้บริหารทุกท่าน วันนี้เป็นแรกที่เราได้พบกัน หวังว่าหลังจากนี้ไปเราจะร่วมมือทำงานอย่างมีความสุขนะคะ”

สายตาจดจ้องขณะเอ่ยด้วยความสุภาพ

และทำให้ได้รู้ว่ามีอยู่สองคนที่ทำตัวไม่เหมาะสม

ดูไม่ชอบใจหรือว่ากันง่าย ๆ คือดูถูกเธอ

คงเป็นตั้งแต่เห็นอายุอานามเราแล้วละ

เธอฉลาด ต่อให้รู้ก็ไม่แสดงสีหน้ามันออกมาหรอก

เพราะได้สื่อสารกับต้นลิ้นจี่มาแล้ว จึงทำให้ตัดสินได้ว่าสองคนนี้นี่แหละที่มีปัญหา

ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้

คิดว่าการที่เธอเอาแต่มองต้นไม้ใบหญ้าเป็นนิสัยของเด็กผู้หญิง

ยิ่งกับสองคนนั้นแทบไม่ต้องคิดให้มากความเลย

แต่พอสายตาเลื่อนไปยังซูซื่อเลี่ยงข้าง ๆ กลับมีความเคารพมากขึ้น

ในใจพวกเขาคิดเสมอ ไม่ว่าจะลูกบ้านไหนลูกสาวต้องแต่งงานออกเรือน

ทรัพย์สินในบ้านย่อมตกเป็นของผู้ชายอยู่ดี

ว่ากันตรง ๆ คือต่อให้คนบอกใครเป็นเจ้านายของโรงงานย่อมไม่มีประโยชน์

บางทีผู้ใหญ่ตระกูลซูคงพาเด็กมาเล่นขายของเฉย ๆ

อนาคตเจ้านายแต่งงานเมื่อไรคงยากจะกลับคืนไปแน่ ๆ

“ซื่อเลี่ยง ไม่อยู่มาตั้งนานไม่อยากกลับมาบ้างหรือ?”

หนึ่งในนั้นประจบเข้าหา

เพราะไม่คิดว่าด้วยนิสัยของอีกฝ่ายจะยินดีหากที่บ้านเอาอกเอาใจลูกหลานผู้หญิงแบบนี้

มนุษย์เราก็แบบนี้ ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นครอบครัวเราก็คงไม่ชอบใจ ซูซื่อเลี่ยงคงคิดแบบนั้นเช่นกัน

จึงพยายามประจบเต็มที่

แต่ไม่ทันเห็นความรังเกียจที่ประกายในแววตาชายหนุ่ม

ซูเสี่ยวเถียนเหลือบมอง ยกยิ้มขึ้น ก่อนหันไปคุยกับต้วนหงหย่วน

“ผู้ช่วยต้วน ไม่แนะนำพวกเขาให้ฉันรู้จักหน่อยหรือคะ?”

หนึ่งในนั้นประจบเข้าหา

เพราะไม่คิดว่าด้วยนิสัยของอีกฝ่ายจะยินดีหากที่บ้านเอาอกเอาใจลูกหลานผู้หญิงแบบนี้

มนุษย์เราก็แบบนี้ ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นครอบครัวเราก็คงไม่ชอบใจ ซูซื่อเลี่ยงคงคิดแบบนั้นเช่นกัน

จึงพยายามประจบเต็มที่

แต่ไม่ทันเห็นความรังเกียจที่ประกายในแววตาชายหนุ่ม

ซูเสี่ยวเถียนเหลือบมอง ยกยิ้มขึ้น ก่อนหันไปคุยกับต้วนหงหย่วน

“ผู้ช่วยต้วน ไม่แนะนำพวกเขาให้ฉันรู้จักหน่อยหรือคะ?”

ต้วนหงหย่วนตกใจตอนได้ยินคำว่า ‘ผู้ช่วยต้วน’ ครู่หนึ่งที่ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงเขา

จึงไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี

ทำไมถึงเปลี่ยนจากเสี่ยวต้วนที่ทุกคนเขาเรียกกันเป็นผู้ช่วยต้วนเสียล่ะ?

ซูเสี่ยวเถียนคิดมาดีแล้ว

เธออายุน้อยมาก จะเรียกตามก็อึดอัดเลยว่ากันตามนั้น

สีหน้าคนอื่นดูแปลกไปเช่นกัน

ผู้ช่วยต้วนหมายความว่ายังไงนะ?

ตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นผู้นำไหม?

แล้วทำไมจู่ ๆ เจ้านายถึงถูกใจล่ะ?

โดยเฉพาะสองคนนั้นที่แสดงออกมาชัด

เด็กคนนี้ไม่มีสมองเอาเสียเลย

ความสามารถแค่นั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าสุ่มเลือกมา

แล้วจะคอยดู

ซูเสี่ยวเถียนเห็นสีหน้าคนทั้งสอง

ต้วนหงหย่วนที่ตอบสนองแล้วก็รีบร้อนแนะนำให้ทุกคนรู้จักเจ้านาย

เขาเป็นคนเก่ง รู้ว่าซูเสี่ยวเถียนเพิ่งได้พบผู้บริหารกลุ่มนี้จึงมีหลาย ๆ เรื่องที่ไม่รู้

เลยพูดแนะนำอย่างชัดเจน

ทั้งตำแหน่งและจุดเด่นด้วย

ทำให้ซูเสี่ยวเถียนถูกใจมากกว่าเก่า นี่คือคนที่ควรการแก่การฝึกจริง ๆ

เธอมีความแม่นยำในการเลือกคนมาก

และไม่คิดด้วยว่าชายคนนี้จะเหมาะกับความต้องการของเธอในภายภาคหน้าหรือเปล่า

“ในเมื่อตอนนี้รู้จักกันแล้ว งั้นเราไปโรงแรมกันดีกว่าค่ะ คุยไปด้วยกินไปด้วยนะคะ” เธอหมุนตัวจากไปทันที

ตลกแล้ว คิดว่าเขาจะไม่รู้ความในใจคนพวกนี้หรือ?

ถึงจะเรียนศาสตร์ศิลป์ แต่ไม่ใช่คนไม่สนใจโลกขนาดนั้นนะ

ปีนั้นเขามีส่วนร่วมในการก่อสร้างและผลิตสินค้าช่วงแรก ๆ เลยละ

ถ้าไม่ฉลาดพอคงโดนหลอกไปแล้ว

ทั้งสองมองภาพนั้น รู้ได้ทันทีว่าคงไม่มีโอกาสได้คุยเป็นการส่วนตัวเท่าไร

จากนั้นก็เบนสายตาไปยังต้วนหงหย่วน

ท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่

เราเป็นผู้นำ ไม่มีธุระอะไรให้เสวนากับต้วนหงหย่วนหรอก

ต่อให้เจ้านายเรียกผู้ช่วยต้วน แต่ไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการ

ถือเสียว่าไม่มีแล้วกัน

“ร้อนไหมเสี่ยวเถียน ไม่คิดว่าแดดจะแรงขนาดนี้ พี่น่าจะเอาร่มมาด้วย”

“พอได้ค่ะพี่รอง พี่ก็รู้ว่าผิวหนูไม่ดำหรอก!”

ที่จริงมันดำไม่ได้ด้วยซ้ำ

เธอทำครีมทาผิวไว้ทาเองเยอะมาก มีครีมกันแดดด้วย ตั้งใจทาทุกวันเลย

ต่อให้แดดแรงก็ไม่ดำหรอกนะ

ซูซื่อเลี่ยงทอดถอนใจ ตั้งแต่ผิวดำขึ้นก็ไม่กลับมาขาวอีกเลย คนไม่เหมือนกันจริง ๆ

ฝ่ายผู้บริหารด้านหลังอยากเข้ามาคุยด้วย แต่ไม่สนิทกับเจ้านาย ทำตัวล้ำเส้นก็ไม่ได้จึงรวมกลุ่มคุยกันเอง

“ได้ยินว่าเจ้านายมีภูมิหลังอยู่บ้าง ไม่รู้เลยว่าตระกูลซูเป็นตระกูลแบบไหน”

“ฉันไม่รู้นะ แต่ได้ยินเขาบอกว่าตระกูลซูคือครอบครัวฝั่งแม่ของภรรยาเลขาเฉินน่ะ โรงงานเราคนเยอะแบบนี้น่าจะมีคนที่เลขาเฉินเขาส่งมาบ้างละ”

รู้เลยว่าคนที่พูดไม่ได้มาทำงานผ่านเส้นสายเฉินจื่ออัน

เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วเปลี่ยนหัวข้อแทน

โชคดีที่โรงแรมลี่เฉิงไม่ไกลจากโรงงานนัก ใช้เวลาเดินไปยี่สิบนาทีก็ถึง

เด็กสาวขบคิด รอกำไรเยอะขึ้นเมื่อไรพิจารณาเรื่องซื้อรถดีกว่า

ไปไหนมาไหนไม่สะดวกเท่าไร

แต่ยานพาหนะอย่างรถก็ต้องใช้เงินเยอะ

ราคาเท่ากับบ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวงเลย

แต่พอผ่านไปสักปีสองปีก็ตกรุ่นแล้ว เสียเงินเปล่า ๆ แต่บ้านจะอยู่ได้นาน ทำกำไรได้มหาศาล

เพราะแบบนั้นเธอจึงยังตัดสินใจไม่ได้น่ะ

พอมาถึงทางเข้าโรงแรม ซูเสี่ยวเถียนก็เห็นอวี๋กวางฮุย

“เจ้านายครับ ท่านพอใจกับโรงแรมลี่เฉิงไหมครับ”

ถึงเจ้าตัวจะคุ้นเคยกับที่นี่ แต่ไม่เคยไปเมืองหลวงมาก่อน

ใจคิดว่าคนที่นั่นคงได้เห็นอะไรมาเยอะ เลยกลัวเจ้านายไม่ชอบ

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพยักหน้า “ไม่แย่เลยค่ะ บรรยากาศทันสมัยมาก”

โรงแรมและร้านอาหารหลาย ๆ แห่งในเมืองหลวงมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน มันอาจจะดีในด้านอื่น ๆ แต่ขาดความทันสมัยไปหน่อย

แต่ที่ลี่เฉิง รวงร้านเหล่านี้ล้วนสร้างจากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ไม่มีรายได้อะไร การวางแผนเบื้องต้นของทุก ๆ อย่างในที่แห่งนี้จึงอิงตามมาตรฐานสากลน่ะ

ไม่มีร่องรอยของประวัติอันช้านาน แต่มีการพัฒนาในแบบปัจจุบัน

ซูเสี่ยวเถียนชอบสิ่งนี้ไม่น้อย

อวี๋กวางฮุยไม่กังวลอีกต่อไป

คนเฝ้าประตูเดินทางลูกค้าขึ้นไปยังทั้งสาม

ระหว่างทาง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหออีหมิงของเราควรได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะไล่ตามเขาไม่ทันเอา

ไว้กลับไปหารือกับคนที่บ้านดีกว่า