บทที่ 1123 ทหารแปลกหน้า
กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงตะโกนของกู้หนิงผิงอย่างชัดเจน นางจึงรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังลอบเข้ามาทำร้ายตนเอง เมื่อกำลังจะมองย้อนไปด้านหลัง พลันได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
“หวานเอ๋อร์”
กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไปและเห็นฉินเย่จือกำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาตนเอง ด้านหลังตามมาด้วยกลุ่มคนแน่นขนัด
ใบหน้าของฉินเย่จือเต็มไปด้วยความกังวล และดูเหมือนเขาแทบจะเสียสติไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงแรงลมที่พัดผ่านเหนือศีรษะของนาง ดูเหมือนว่าดาบจะเฉือนผมของนางออกไป
กู้เสี่ยวหวานมองฉินเย่จือที่กำลังจะเสียสติ
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าคราวนี้นางอาจจะตาย
และเตรียมใจรอรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากรอเป็นเวลานาน นางก็เห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายของฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไปและเห็นคนที่อยู่ข้างหลังนางตอนนี้ ดวงตาของนางเบิกกว้าง มุมปากของนางมีเลือดไหลซึม นางเซไปด้านหลังและล้มลงกับพื้น
ชายผู้นั้นตายแล้ว…
กู้เสี่ยวหวานเห็นลูกศรแหลมคมปักอยู่บนร่างกายของชายคนนั้น
“ท่านพี่!” กู้หนิงผิงไม่สนใจร่างกายของตอนเอง เขาเดินไปที่ด้านข้างของกู้เสี่ยวหวานพร้อมดาบในมือเพื่อปกป้องนางไว้
ถานอวี้ซูก็เดินตามมาด้วยแส้ในมือพร้อมใบหน้าที่แน่วแน่ “พี่เสี่ยวหวาน พวกข้าจะปกป้องท่านเอง”
ใบหน้าของถานอวี้ซูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อนางเห็นลูกศรปักอยู่ที่อกของชายผู้นั้น
ทันทีที่ถานอวี้ซูพูดจบ นางก็ได้ยินเสียงเกือกม้าที่ดังอึกทึก
จินโหย่วกุ้ยมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นด้วยความตื่นตระหนก เขาเห็นผู้คนในเครื่องแบบจำนวนนับไม่ถ้วน และทหารที่ขี่ม้าตัวสูงสง่าล้อมรอบจินโหย่วกุ้ยและคนอื่น ๆ ไว้
เจ้าหน้าที่และทหารกลุ่มนี้สวมชุดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เครื่องแต่งกายของคนเหล่านี้ดูเหมือนทหารที่เพิ่งออกมาจากสนามรบ
พวกเขาขี่ม้าตัวสูงสง่า ถือดาบ คันธนู และสะพานลูกธนูไว้บนหลัง
คิดดูแล้วน่าจะเป็นทหารกลุ่มที่สังหารคนของตนเองด้วยธนู
เมื่อเห็นว่ามีนักดาบมรณะที่เขาจ้างด้วยราคาสูงเหลือไม่กี่คน เขาก็ยิ่งตื่นตระหนก
กลุุ่มของชายชุดดำเห็นว่าหนึ่งในสหายของตนเองถูกปลิดชีพ และการจะรับมือกับทหารก็ยากลำบาก พวกเขามองดูตนเองและพบว่าเหลือกันเพียงไม่กี่คน จึงตัดสินใจวิ่งหนีไปทันที
ชายในชุดดำคนหนึ่งมองสหายของตนที่นอนจมกองเลือด จากนั้นมองดูฉินเย่จือด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะตวัดสายตามองไปยังกู้เสี่ยวหวานและจากไปทันที
เมื่อเห็นดวงตาของชายในชุดดำจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความเคียดแค้น
ฉินเย่จือจึงใช้ร่างกายของตนขว้างกู้เสี่ยวหวานเอาไว้
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้รับอันตรายก็รู้สึกโล่งใจ เขาคว้าร่างกายของกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ และกอดนางไว้ในอ้อมแขน
เขาถูกดาบฟันอยู่หลายครั้ง ทำให้ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเลือด
กู้เสี่ยวหวานสัมผัสแผ่นหลังของชายหนุ่ม และรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่เหนียวเหนอะ
เมื่อตระหนักว่าฉินเย่จือได้รับบาดเจ็บ กู้เสี่ยวหวานจึงอุทานว่า “พี่เย่จือ!”
ในขณะนี้ ฉินเย่จือปล่อยนางออกจากอ้อมกอด แล้วก้าวเท้าไปหาจินโหย่วกุ้ย
ฉินเย่จือเห็นว่าเขาถูกล้อมรอบด้วยทหารเหล่านั้น ใบหน้าของจินโหย่วกุ้ยไม่ค่อยน่ามองนัก
ในใจสาปแช่งคนเหล่านั้นว่าเป็นคนงี่เง่าและไร้ประโยชน์ เขายืนขึ้นพลางมองไปที่กลุ่มทหารแล้วพูดเสียงดังว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมต้องทำร้ายพวกข้า”
เหล่าทหารม้าไม่ตอบคำถามของจินโหย่วกุ้ย
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ตอบ จินโหย่วกุ้ยก็ควบคุมอารมณ์โกรธเคืองของตนเองไม่ได้ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
“เจ้าเป็นใครหรือ” ทันใดนั้น น้ำเสียงเรียบเฉยและฟังดูเสแสร้งก็ดังขึ้น
เนื้อเสียงหนาและสง่างามนั้น ทำให้ทุกคนมองไปที่เจ้าของเสียงด้วยความสงสัย
หลังจากที่ถานอวี้ซูได้ยินเสียง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
จินโหย่วกุ้ยก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นแขกของหมิงอ๋อง”
“อันธพาลท้องถิ่นอย่างเจ้าเป็นแขกของหมิงอ๋องงั้นหรือ” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของจินโหย่วกุ้ย
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนใหม่ไม่เชื่อตนเอง จินโหย่วกุ้ยจึงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอน ข้าเป็นผู้ที่มาเยี่ยมเยียนหมิงอ๋องบ่อยครั้ง หากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าถามหมิงอ๋องด้วยตนเองได้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าเป็นแค่ทหาร เจ้าจะรู้จักหมิงอ๋องได้อย่างไร”
คำพูดของจินโหย่วกุ้ยเต็มไปด้วยการประชดประชัน
จากนั้นก็ได้ยินชายคนนั้นพูดต่อว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าอยากจะถามหมิงอ๋องจริง ๆ หมิงอ๋องรักประชาชนเหมือนลูกหลานของเขาเสมอมา และปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนญาติของเขา ข้าอยากจะถามเจ้าในฐานะแขกผู้เป็นทรราชในท้องถิ่นว่า สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องเท็จหรือการแสดงออกของหมิงอ๋องที่เป็นเรื่องไม่จริง”
เมื่อจินโหย่วกุ้ยได้ยินชายคนนั้นพูดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องเท็จ จึงโต้กลับอย่างรวดเร็วว่า “สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง”
ชายคนนั้นตะคอกเสียงดังลั่นและถามอย่างมีความหมาย “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็หมายความว่าสิ่งที่หมิงอ๋องทำนั้นล้วนเป็นเรื่องเสแสร้ง”
จินโหย่วกุ้ยไม่ได้คาดหวังว่าคนคนนั้นจะจับคำพูดของเขาได้ หากคำพูดนี้รู้ไปถึงหูของหมิงอ๋อง เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่ไว้ชีวิตเขา
เขาสาปแช่งด้วยความโกรธทันที “ไอ้สารเลว เจ้ากล่าวหาหมิงอ๋องอย่างผิด ๆ เจ้าเป็นใคร”
“ข้าไม่ได้เป็นใคร ข้าเป็นแค่ทหาร ข้าทนไม่ได้ที่เห็นพวกเจ้ารังแกคนหนุ่มสาวไม่กี่คน” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลัง
เมื่อได้ยินเขาพูดว่าเป็นแค่ทหาร จินโหย่วกุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะทำตัวเหิมเกริมอีกครั้ง
“ก็แค่ทหาร…เจ้ากล้าที่จะยิงธนูและฆ่าคนดีตามใจปรารถนา หลังจากที่ข้ารายงานหมิงอ๋องแล้ว ข้าจะลงโทษเจ้าที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์”
ชายชราผู้นั้นเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีคนถือดาบคมกริบเพื่อฆ่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ทำอะไรไม่ถูก “มันทำให้ตาสว่างจริง ๆ”