บทที่ 1124 ถานเย่สิงผู้แข็งแกร่ง
หลังจากพูดเช่นนี้ รถม้าของเจ้าหน้าที่ก็หลีกทางให้และชายวัยหกสิบเศษก็ควบม้าสีดำตัวสูงสง่าเข้ามา
ชายผู้นั้นนั่งอยู่บนหลังม้า รูปร่างอ้วนท้วน รอบดวงตาปรากฏรอยย่นลึก ผมและหนวดเครามีสีขาวโพลน แต่นัยน์ตายังคงเรียบเฉย ไม่แสดงความโกรธเคืองออกมา
คนผู้นี้มีกลิ่นอายที่น่ากลัวเช่นเดียวท่าทางของแม่ทัพใหญ่ในค่ายทหาร ชวนทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่เล็กน้อยภายใต้รัศมีดังกล่าว
คนตรงหน้าจินโหย่วกุ้ยมีหนวดเคราและเส้นผมสีขาว ดวงตาคมกริบราวกับนกอินทรีที่เย่อหยิ่ง
จินโหย่วกุ้ยรู้สึกประหม่าต่อหน้าชายชราผู้นี้อย่างหาเหตุผลไม่ได้
กลิ่นอายของชายผู้นี้น่ากลัวเกินไป
ร่างกายของจินโหย่วกุ้ยสั่นสะท้านเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใคร” จินโหย่วกุ้ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
คนที่กำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาแหลมคมและดูเหมือนจะเห็นคนที่เขาต้องการพบเจอ เมื่อเขามองอีกครั้ง เขาพบฉินเย่จืออยู่กลางถนนด้วยท่าทางงงงวย หากแต่ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมองไปที่จินโหย่วกุ้ยที่แสร้งทำเป็นสงบ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ข้าแซ่ถาน และชื่อของข้าคือเย่สิง ไม่รู้ว่านายท่านจินเคยได้ยินหรือไม่”
ถานเย่สิงเพียงแค่เอ่ยมาครึ่งประโยค ทำให้ขาของจินโหย่วกุ้ยสั่นเทาด้วยความตกใจกลัว เขากำลังจะคุกเข่า หากไม่ใช่เพราะสายตาของคนรอบข้างและความว่องไวของมือเขา เกรงว่าเขาอาจจะล้มไปกองอยู่กับพื้น
“ท่าน…ท่านคือถานเย่สิง?” จินโหย่วกุ้ยชี้ไปที่ถานเย่สิงอย่างสั่นเทาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเทพแห่งสงคราม
“เป็นชายชราที่เมื่อครู่ท่านเพิ่งเยาะเย้ยว่าเป็นแค่ทหารไม่ใช่หรือ?” ถามเย่สิงถามด้วยรอยยิ้มใบหน้า
ดวงตาของถานเย่สิงเปล่งประกาย จินโหย่วกุ้ยตัวสั่นเมื่อเขาได้ยินและนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง
เขารีบยิ้มอย่างประจบสอพลอและพูดว่า “ไม่ใช่ ๆ ทหารนั้นก็มีหลายประเภท เทพแห่งสงคราม… เทพแห่งสงครามของพวกเรา”
จินโหย่วกุ้ยเอาแต่พ่นคำพูดประจบสอพลอ “แม่ทัพถาน ท่านคือเทพแห่งสงครามในใจของข้า ข้าภูมิใจในตัวท่านเสมอมา ความมั่นคงของต้าชิงถูกปกป้องโดยท่านแม่ทัพ ด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของท่าน”
“ความมั่นคงของต้าชิงถูกกอบกู้ด้วยชีวิตของทหารที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ถานเย่สิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อประชาชน เสียสละชีวิตครอบครัวเพื่อแลกกับความมั่นคงของต้าชิง แต่ตระกูลจินปฏิบัติต่อชีวิตของประชาชนเหมือนมด รังแกชายหญิง ขโมยเงินและทำลายชีวิตผู้คน ทำสิ่งชั่วร้ายทุกชนิด จินโหย่วกุ้ย เจ้าช่างเป็นคนดีเสียจริง ๆ!”
สิ่งที่ถานเย่สิงพูดนั้นมีเหตุผล ซึ่งทำให้ผู้คนนึกถึงสิ่งที่อุกอาจที่ตระกูลจินทำ
ผู้ที่ติดตามจินโหย่วกุ้ยเป็นกลุ่มอันธพาล และอันธพาลที่จินโหย่วกุ้ยเลี้ยงดูพวกเขาติดตามจินโหย่วกุ้ยตลอดเวลาและใช้จ่ายเงินที่ได้จากการเก็บค่าคุ้มครอง
บางคนไม่มีทางเลือกนอกจากขึ้นหลังเสือของตระกูลจิน
หากไม่เผชิญหน้ากับตระกูลจินจะต้องถูกทุบตี และสมาชิกในครอบครัวจะถูกตระกูลจินรังแก
หลังจากได้ยินคำพูดของถานเย่สิง บางคนลังเลที่จะติดตามจินโหย่วกุ้ยต่อไป และตอนนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองหน้ากัน มองเห็นความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลจินในสายตากันและกัน
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบตัวเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว จินโหย่วกุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
ถานเย่สิงที่อยู่ต่อหน้าเขานั้นคู่ควรกับการเป็นเทพแห่งสงครามจริง ๆ
จากลูกศรแหลมคมที่บินข้ามท้องฟ้าในตอนนี้ มันฆ่าคนที่คิดจะสังหารกู้เสี่ยวหวานได้อย่างแม่นยำด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว ไม่ยากที่จะเห็นว่าความกล้าหาญของถานเย่สิงผู้นี้ไม่ได้ลดลงจากในอดีต และทักษะของเขายังคงดีเช่นเดิมเหมือนเมื่อครั้งยังหนุ่ม
อีกทั้งคำพูดเมื่อครู่ก็ทำให้คนรอบข้างสับสนไปหมด ต้องบอกว่าคนผู้นี้กล้าหาญและเก่งกาจจริง ๆ
เมื่อเผชิญกับบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จินโหย่วกุ้ยก็ตกอยู่ในภาวะสูญเสียความมั่นใจ หากเขาถูจับได้ในเวลานี้ ตระกูลจินคงตกที่นั่งลำบาก
จินโหย่วกุ้ยรู้ว่าถานเย่สิงจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รอดพ้นสายตาไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาบอกว่าตระกูลจินได้ทำการกลั่นแกล้งและกระทำการอุกอาจ เขาคงได้เรียนรู้เกี่ยวกับกิจการของตระกูลจินจากที่อื่นก่อนที่เขาจะพูดเช่นนั้น
จินโหย่วกุ้ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบางสิ่งที่เขาได้ยินใครบางคนพูด
ได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้นำทัพไปสู้รบในช่วงที่เขากำลังรุ่งเรือง และเมื่อเคลื่อนพลผ่านเมืองหนึ่ง เขาถูกคู่สามีภรรยาสูงอายุสองคนขว้างอยู่กลางถนน
ได้ยินมาว่าผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ทำร้ายบุตรสาวของตนเองและยังทำสิ่งที่อุกอาจ ทำให้หญิงคนนั้นตัดสินใจปลิดชีพตนเองด้วยการแขวนคอตาย
หญิงสาวที่งดงามจากไปเช่นนี้ พ่อและแม่ผมหงอกต้องไว้อาลัยให้แก่ลูกสาว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
พวกเขาคุกเข่าลงบนถนนเพื่อหยุดม้าของถานเย่สิงไว้
เมื่อถานเย่สิงได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงส่งคนไปสอบถาม และปรากฏว่าหลักฐานมีข้อสรุป
ถานเย่สิงรีบไปที่บ้านของผู้มีอิทธิพลและจัดการสั่งสอนเขาให้สิ้นซาก ทำให้เรื่องนี้ถูกพูดถึงและยกย่องถานเย่สิงว่าเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญ ผู้คนต่างยกนิ้วให้เขา ผู้ไม่หวังดีบางคนฟังแล้วก็ได้แต่สะดุ้งตกใจกลัว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จินโหย่วกุ้ยมองไปที่ใบหน้าของถานเย่สิงที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม และคิดในใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถานเย่สิงเกรงว่าคนพวกนี้จะมีจุดประสงค์ไม่ดี
“ท่านแม่ทัพถาน ตระกูลจินเป็นพลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด ท่านไปได้ยินข่าวลือเท็จเหล่านั้นมาจากไหน หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด อย่าทำลายมิตรภาพระหว่างท่านกับหมิงอ๋องจะดีกว่า”
จินโหย่วกุ้ยพูดประโยคดังกล่าวด้วยรอยยิ้มครึ่งหนึ่ง ราวกับว่าจะเตือนถานเย่สิงว่าผู้สนับสนุนของข้าคือหมิงอ๋อง หากจะจัดการเขาต้องผ่านด่านหมิงอ๋องเสียก่อน
ถานเย่สิงเห็นจินโหย่วกุ้ยเหมือนจะปฏิเสธตนเอง ดังนั้นจึงยิ้มและไม่พูดอะไร