ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 126 วาโยพัดพาเมฆาแตกฉานซ่านเซ็น (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ปีที่สิบห้า วสันต์กำลังเปลี่ยนผ่านสู่คิมหันต์ กองทัพต้ายงบุกโจมตีปาจวิ้นสายฟ้าแลบ อวี๋เหมี่ยนต้องคอยหวั่นศึกในกลัวอัครมหาเสนาบดีซั่งทำร้าย ศึกนอกก็ต้องรับมือกับกองทัพต้ายงผู้แข็งแกร่งอย่างยากลำบาก เขาจึงคิดอยากยอมจำนนต่อศัตรู มีทูตเดินทางมาเยือน ข่าวเล็ดลอดออกมาจนผู้คนล่วงรู้ แต่การยังมิทันสำเร็จ ก็มีผู้ส่งสารลับนำกระบี่เล่มเก่ากับจดหมายของท่านกงมามอบให้

อวี๋เหมี่ยนอ่านจดหมายจบพลันอับอาย ละอายใจเหลือคณา ชักกระบี่ออกมาหมายจะปลิดชีพตน แต่ถูกคนสนิทขวางไว้ เขาจึงปฏิเสธทูตของต้ายง สาบานกับตนเองว่าจะวายชีวาพร้อมกับเมือง

เดือนเก้า ปาจวิ้นถูกกองทัพต้ายงตีแตก อวี๋เหมี่ยนใช้กระบี่สังหารตนเองสมคำสาบาน บารมีที่ยังหลงเหลือของท่านกงทำได้ถึงเพียงนี้

ปลายปีที่สิบหก กองทัพต้ายงยึดครองแผ่นดินเจียงเป่ยจนสิ้น กรีธาทัพหมายจะข้ามแม่น้ำฉางเจียง การเจรจาสงบศึกมิประสบผล ภายในแคว้นมีแต่ความหวาดกลัว เจ้าแคว้นพระราชทานโทษให้ด้วยพระองค์เอง หมายซื้อใจทหารให้สู้เต็มกำลัง แม่ทัพทั้งหลายต่างพยายามเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้ท่านกง วิพากษ์วิจารณ์อย่างฮึกเหิมจนถ้อยคำเล่าลือมาถึงในวัง เจ้าแคว้นเสียใจสุดแสน ปลดซั่งเหวยจวินจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี คืนบรรดาศักดิ์กงให้ลู่ช่าน จัดพิธีศพให้สมเกียรติ ตั้งศาลบูชาที่เจียงเซี่ย พระราชทานราชทินนามว่าจงอู่

ภรรยาเอกของท่านกงแซ่อู๋ เป็นธิดาตระกูลใหญ่ ภักดีกล้าหาญเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาท ปกครองเรือนอย่างเข้มงวด หลังจากท่านกงถูกใส่ร้ายถูกจับเข้าคุก ฮูหยินได้ข่าวมาล่วงหน้าจึงไล่บ่าวไพร่ออกจากจวน รอคอยอย่างสุขุมเยือกเย็น

หลังจากท่านกงสิ้น ครอบครัวถูกเนรเทศไปยังแดนไกล ฮูหยินเข้ามาอาศัยในดินแดนแห่งโรคภัยด้วยร่างกายอันบอบบาง ถึงกระนั้นก็ยังดูแลเรือนสั่งสอนบุตรชายเฉกเช่นปกติ วสันต์ปีที่สิบหก ติ้งหยวนมีโรคร้ายระบาด ฮูหยินเก็บสมุนไพรปรุงยา มิแหนงหน่ายความลำบาก ตระเวนแต่ละหมู่บ้านถ่ายทอดสูตรยาช่วยเหลือผู้คน เพราะยาที่ได้จากฮูหยินจึงมีผู้รอดชีวิตนับพันหมื่น ผู้คนล้วนเรียกขานนางว่า ‘ท่านเทพธิดา’ มิเรียกขานนามจริง

วสันต์ปีที่สิบเจ็ด ฉู่ล่มสลาย จักรพรรดิต้ายงชื่นชมความภักดีของท่านกงจึงส่งราชทูตเดินทางมายังแดนหมิ่น เรียกตัวฮูหยินให้มาอาศัยในฉางอัน ฮูหยินปฏิเสธกล่าวว่า “บิดาข้า สามีข้าล้วนเป็นขุนนางหนานฉู่ ข้าเองก็เป็นไพร่ฟ้าของหนานฉู่ มิกล้ารับพระบัญชาของต้ายง”

จักรพรรดิถอนพระปัสสาสะ มิเกลี้ยกล่อมต่อและละเว้นมิลงโทษนาง

ฮูหยินอาศัยอยู่ในแดนหมิ่นราวยี่สิบปีก็สิ้นใจที่ทิงโจว หลังจากนางล่วงลับ บุตรทั้งหลายนำโลงศพหวนกลับเจียงเซี่ย ฝังร่วมกับท่านกง ชาวหมิ่นระลึกถึงบุญคุณของฮูหยินจึงสร้างสุสานฝังอาภรณ์และเครื่องประดับของนางไว้ที่ติ้งหย่วน จุดธูปเซ่นไหว้มิขาดตราบจนวันนี้

มีคนวิพากษ์วิจารณ์ไว้ว่า ‘นับตั้งแต่ราชวงศ์จิ้นล่มสลาย แคว้นทั้งหลายต่างแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ใต้หล้าโกลาหล ในหมู่แว่นแคว้นเหล่านั้น แคว้นที่โดดเด่นได้แก่ยง ฉู่และฮั่น กล่าวถึงยอดแม่ทัพผู้ชำนาญศึก มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่หากจะหาผู้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ความภักดีเป็นที่สรรเสริญ ในยุคหนึ่งจะมีสักเท่าใด

ตั้งแต่ยังหนุ่มอายุยี่สิบ ท่านกงก็ควบขี่อาชาสู้รบกับศัตรูผู้แข็งแกร่ง ทำศึกพันลี้ น้อยนักจะแพ้พ่าย กลศึกกลยุทธ์ล้วนกล่าวได้ว่าเป็นเอก ทว่านี่ยังมิใช่สิ่งที่ทำให้ท่านกงเลื่องชื่อระบือนาม ท่านกงบุกขึ้นเหนือปรารถนาจะทวงคืนเซียงหยาง สงครามยังมิทันจบกลับถูกเรียกตัวให้ถอยทัพ ท่านกงหลั่งน้ำตา ฝากถ้อยคำภักดีจากหัวใจกับสายลม เจ้าแคว้นมิตรวจสอบเรื่องราวก็ตัดสินโทษกบฏ

ยามนั้นท่านกงคุมตราพยัคฆ์บัญชาการสามกองทัพ อำนาจเหนือทุกหมู่เหล่า แต่กลับยอมมอบตัวแต่โดยดี ก้าวสู่ความตายอย่างสุขุมเยือกเย็น ความภักดีเช่นนี้หายากยิ่งนัก!

ทั้งตระกูลของท่านกงล้วนเป็นผู้ภักดีกล้าหาญ ถึงยามฉู่ล่มสลาย จักรพรรดิต้ายงคัดเลือกคนมีความสามารถเป็นขุนนาง ชาวฉู่แห่มาทำงานรับใช้เป็นทิวแถว ลืมบุญคุณเก่าก่อนจนหมดสิ้น จักรพรรดิหมายจะใช้บรรดาศักดิ์สูงดึงตระกูลลู่เข้ามาในราชสำนัก ทว่าบุตรทั้งหลายของท่านกงล้วนมิยอมมาเป็นขุนนาง ภักดีถึงเพียงนี้ หมิ่นอ๋องกลับประหารเขา อยุติธรรมแท้! อยุติธรรมแท้!’

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง

เสียงลมหนาวพัดดังหวีดหวิว แม้จะเข้าสู่ต้นวสันต์แล้ว แต่หิมะบางส่วนยังมิทันละลาย ลู่เฟิงนั่งกอดเข่าห่อเหี่ยว สีหน้าเหม่อลอยอยู่บนหินเขียวริมบึงมังกรพิษ นับตั้งแต่เขาถูกพี่ใหญ่บังคับให้หนีออกมาจากจงหลี เขาก็พลันตระหนักว่าใต้หล้าช่างกว้างใหญ่ แต่ตนกลับไร้ที่ไป ดังนั้นตอนที่เหวยอิงส่งคนมาตามหาเขา เขาจึงมิขัดขืนสิ่งที่เหวยอิงเตรียมการไว้ให้ หลังจากเดินทางผ่านสถานที่หลายแห่ง เขาก็ถูกส่งมาอยู่ในสถานที่ซึ่งแทบจะตัดขาดจากโลกแห่งนี้

บึงมังกรพิษแต่เดิมเป็นทะเลสาบตอนปลายของแม่น้ำไหวสุ่ย มันทอดยาวสิบกว่าลี้ ให้กำเนิดแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ทว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนเกิดอุทกภัย แม่น้ำหวงเหอรุกเข้ามาเปลี่ยนทางน้ำของแม่น้ำไหวสุ่ยจนบึงมังกรพิษไม่มีสายน้ำจากแม่น้ำไหวสุ่ยไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงอีกต่อไป มันจึงค่อยๆ ถูกโคลนเลนปิดกั้น จนวันนี้กลายมาเป็นบึง ภายในบริเวณยี่สิบกว่าลี้มีแต่โคลนเลน ธัญพืชไม่งอกและค่อยๆ ร้างไร้ผู้คนไปในที่สุด

เพราะสาเหตุนี้ เหวยอิงจึงสร้างกองบัญชาการลับห่างจากบึงมังกรพิษเพียงไม่กี่ลี้ ทั้งยังเตรียมที่ซ่อนตัวไว้บริเวณบึงมังกรพิษอีกด้วย จุดประสงค์คือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันประการใดขึ้นมาจะได้หลบหนีศัตรูมาซ่อนอยู่ในนี้

หลังจากลู่เฟิงถูกส่งมายังที่แห่งนี้ ยามว่างเขาจะฝึกวิชากระบี่อยู่ริมบึง เพลงกระบี่เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหวยอิงตั้งใจทิ้งไว้ให้เขา บางทีเขาอาจเป็นห่วงว่าตนจะมิมีสิ่งใดให้ทำกระมัง ลู่เฟิงทราบว่าเส้นทางในวันข้างหน้าคงยากลำบาก ดังนั้นเขาจึงฝึกกระบี่อย่างตั้งใจยิ่งนัก อีกอย่างหากมิหาสิ่งใดทำสักอย่าง เขาคงมิอาจขจัดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในใจ บิดาถูกใส่ร้าย ครอบครัวพลัดพราก แต่ตนไร้กำลังมิอาจทำสิ่งใด สถานการณ์เช่นนี้คนธรรมดาทั่วไปคงทนรับมิไหว

ทว่าลู่เฟิงทำสิ่งใดมิได้แล้วจริงๆ แม้ต้องการปลุกระดมทหารก่อกบฏ แต่ประการที่หนึ่ง บิดากับพี่ชายสั่งห้ามเขาทำเช่นนั้น ประการที่สองเขาอายุยังน้อย ไม่มีบารมีในหมู่ลูกน้องเก่าของท่านพ่อเท่าใดนัก หากเป็นพี่ใหญ่อย่างลู่อวิ๋นย่อมต่างออกไป เขาชูแขนปลุกระดมย่อมมีผู้คนติดตามมากมายดุจมวลเมฆอย่างแน่นอน ความรู้สึกไร้กำลังในจิตใจทำให้ลู่เฟิงหน้าตาซีดเซียวซูบผอมลงเรื่อยๆ ทั้งที่ยังหนุ่มแน่นเยาว์วัยแต่กลับหดหู่เซื่องซึม

มิทราบว่านิ่งอยู่นานเท่าใด จวบจนท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว ลมหนาวเย็นเฉียบกว่าเดิม ลู่เฟิงจึงลุกขึ้นเดินไปยังที่พัก ทว่าตอนที่อยู่ห่างจากกระท่อมฟางหลังเล็กไม่กี่สิบจั้ง ลู่เฟิงก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมากับสายลม หัวใจเขาสั่นไหว เขากุมกระบี่คู่กายแน่นแล้วผ่อนฝีเท้าลง เพ่งมองอย่างถี่ถ้วน ปกติเวลานี้ในกระท่อมฟางน่าจะมีควันไฟจากการปรุงอาหารลอยขึ้นมาแล้ว แต่วันนี้กลับมิเห็น ยิ่งไปกว่านั้นประตูหน้าของกระท่อมยังเผยอเปิดอยู่ มิได้ปิดสนิท นี่ผิดปกติอยู่บ้าง

ลู่เฟิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปในกระท่อมฟางอย่างมิรู้เรื่องรู้ราว ปากก็ตะโกนเสียงดังว่า “ลุงจ้าว ข้ากลับมาแล้ว”

เขาผลักประตูเดินเข้าไปในห้องเหมือนมิระแวงแม้แต่น้อย ชั่วพริบตาที่เขาเลิกม่านก้าวเข้ามา ปลายหางตาก็เหลือบเห็นประกายกระบี่สายหนึ่งจู่โจมเข้าใส่อย่างเงียบงัน ลู่เฟิงเตรียมใจมาก่อนแล้ว เขาพุ่งตัวถลาลงไปกับพื้นจากนั้นพลิกร่างหงายขึ้น เหวี่ยงมือขวาออกมา ปลอกแขนเกาทัณฑ์ยิงลูกศรสามดอกใส่คนที่ลอบจู่โจม คนผู้นั้นอุทานตกใจ รั้งกระบี่ยาวกลับ ลูกศรสามดอกล้วนถูกปัดป้อง ขณะเดียวกันลู่เฟิงก็กระโดดลุกขึ้นมาจับจ้องคนผู้นั้น

คนผู้นั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง แม้รูปโฉมจะงามสง่า ทว่าเรือนผมมีแต้มสีหิมะ รอยตีนกาที่หางตาก็เห็นชัดเจนนัก แม้จะคาดเดาอายุยาก แต่ลู่เฟิงแน่ใจว่าสตรีนางนี้จะต้องอายุมิน้อยแล้ว สตรีนางนั้นแววตาวาวโรจน์ มองลู่เฟิงอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ช่างเป็นเจ้าหนูที่หัวไวนัก ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วมีเรื่องผิดปกติ เหตุไฉนจึงยังเข้ามาเสี่ยงอันตรายอีกเล่า”

ลู่เฟิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตอบว่า “ตอนที่ข้าค้นพบความผิดปกติก็อยู่ในระยะสายตาของเจ้าแล้ว หากข้าวิ่งหนีไปในตอนนั้น แม้จะหนีพ้นความตายได้หนหนึ่ง แต่ย่อมไม่มีโอกาสทราบว่าผู้ใดต้องการสังหารข้า ดังนั้นข้าจึงเสี่ยงอันตรายกลับมา แต่วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่งถึงเพียงนี้ ดูท่าข้าคงเอาตนเองมาติดกับเสียแล้ว”

สตรีนางนั้นหัวเราะหยัน กล่าวตอบว่า “หากเจ้าสวะสี่คนนั้นมิได้มีความสามารถอยู่บ้างจนบีบให้ข้าต้องละเลงเลือดก็คงไม่ถูกเจ้าสังเกตพบความผิดปกติ แต่เจ้าเข้ามาหรือไม่ล้วนมิสำคัญ เป็นเช่นนี้ ข้าก็เพียงมิต้องวิ่งวุ่นเท่านั้น เห็นแก่ที่เจ้าฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง ข้าจะเหลือศพครบร่างไว้ให้เจ้าก็แล้วกัน”

สตรีนางนั้นกล่าวจบ กระบี่ยาวในมือก็แทงออกมาเบาๆ แม้ท่วงท่าการเคลื่อนกระบี่จะเชื่องช้า ทว่าลู่เฟิงกลับรู้สึกเสมือนกระบี่ยาวเล่มนั้นสกัดกั้นหนทางหนีของตนเองเอาไว้ทั้งหมด

เขารู้จักกระบวนท่ากระบี่นี้ ในตำราเพลงกระบี่ที่เหวยอิงมอบให้เขามีกระบวนท่าหนึ่งนามว่า ‘จำนนโดยมิสู้’ ยิ่งเป็นผู้ที่ชำนาญวิชากระบี่ มักจะทำให้คู่ต่อสู้เกิดความรู้สึกว่ามิอาจขัดขืน หากสตรีนางนี้ใช้กระบวนท่าอื่น ลู่เฟิงอาจทำได้เพียงแลกชีวิตโจมตีสวน แต่ในตำราเพลงกระบี่ที่เหวยอิงมอบให้เขามีกระบวนท่าที่ใช้ทำลายกระบวนท่านี้อยู่

แม้วรยุทธ์ของเหวยอิงจะสู้ศิษย์สายตรงที่แท้จริงของสำนักเฟิงอี้มิได้ แต่สมัยก่อนเพื่อปิดบังหูตาของผู้คน เจ้าสำนักเฟิงอี้ได้สั่งสอนกระบวนท่ากระบี่บางท่าที่ตนคิดค้นขึ้นให้เขาเป็นการลับ กระบวนท่ากระบี่เหล่านี้ส่วนมากพิสดารล้ำลึกและโหดเหี้ยม มิค่อยสง่าผ่าเผย เพราะพวกมันมิเข้ากับเพลงกระบี่อันงดงามและเที่ยงธรรมของสำนักเฟิงอี้ ดังนั้นนอกจากเหวยอิงแล้วจึงมิมีผู้อื่นได้ร่ำเรียนกระบวนท่าเหล่านี้

เหวยอิงเป็นถึงคุณชายของตระกูลเสนาบดี ยามปกติก็คบหากับผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งยังตระเวนอ่านคัมภีร์เพลงกระบี่ในหอตำราหลวงของต้ายงมามากมาย ต่อมาหลังจากปกครองตำหนักเฉินที่หนานฉู่ เขายังตีสนิทผูกมิตรเป็นสหายกับยอดฝีมือจำนวนมาก หากกล่าวถึงความรอบรู้ในด้านเพลงกระบี่ ใต้หล้ามิมีผู้ใดเทียบเขาได้ ในตำราเพลงกระบี่ที่เขามอบให้ลู่เฟิง บันทึกกระบวนท่ากระบี่อันล้ำเลิศที่เขารวบรวมมาในระหว่างหลายปีนี้กับสิ่งที่เขาบรรลุเอาไว้ แม้จะสับสนมิได้เรียงลำดับ แต่ก็นับว่าบันทึกสุดยอดวิชากระบี่ทั่วใต้หล้าไว้เกือบจะทั้งหมดแล้ว ดังนั้นลู่เฟิงจึงเคยอ่านพบกระบวนท่ากระบี่ที่ใช้ทำลายกระบวนท่านี้มาแล้ว หากเหวยอิงทุ่มเทใจกับการฝึกฝนวิชากระบี่ เขาคงมิไร้กำลังโต้ตอบภายใต้คมกระบี่ของหลิงอวี่อย่างแน่นอน