ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 127 วาโยพัดพาเมฆาแตกฉานซ่านเซ็น (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ลู่เฟิงดีใจนัก กระบี่ยาวสะกิดเฉียง พละกำลังหนักหน่วงแต่กลับเบา คล้ายกับกองทหารที่โผล่มาอย่างไร้วี่แวว ‘เหยียบเขาชันดุจพื้นราบ’ คือกระบวนท่ากระบี่ที่เหวยอิงบังเอิญมีวาสนาได้มาครองแล้วคิดว่าทำลายกระบวนท่าไม้ตายของสำนักเฟิงอี้ได้ เขาจึงบันทึกมันไว้ในตำรากระบี่ เป็นเหตุให้ลู่เฟิงมีโอกาสจดจำมันไว้ในสมอง

สตรีนางนั้นมองมิออก หากเหวยอิงเป็นผู้ที่ประมือกับนาง นางคงระมัดระวัง มิปล่อยให้เหวยอิงลงมือสำเร็จโดยง่าย แต่ลู่เฟิงเป็นเพียงเด็กน้อยตัวกระจ้อย สตรีนางนั้นมิเห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างแท้จริง ประมาทเพียงหนเดียว กระบี่ของลู่เฟิงก็ทำลายกระบวนท่ากระบี่ของนางสำเร็จ ก่อนเขาจะโถมตัวทะลุหน้าต่างพุ่งออกไปจากกระท่อมฟาง

สตรีนางนั้นตะลึงงันทันใด แม้นางจะมิออกโรงลงมือมาหลายปีแล้ว แต่วิชากระบี่นับวันมีแต่จะก้าวหน้าขึ้น นางทะนงตัวว่ามีคู่ต่อกรน้อยนัก แต่กลับถูกเด็กหนุ่มคนนี้ทำลายกระบวนท่ากระบี่

ทว่าแม้นางจะลงมือพลาด แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางออกมาจากระท่อมฟางก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นวิ่งตาลีตาเหลือกไปยังทิศทางที่เขาเดินมา นางใช้วิชาตัวเบาไล่ตาม หลายวันมานี้ลู่เฟิงตรากตรำฝึกวิชากระบี่และกำลังภายในตามที่เหวยอิงชี้แนะมาตลอด วิชาตัวเบาจึงก้าวหน้าอย่างมาก อีกทั้งเขายังคุ้นเคยกับเส้นทางยิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่ง สตรีนางนั้นจึงไล่ตามเขามิทัน แต่ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองคนก็ร่นเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ

ลู่เฟิงรู้สึกเจ็บหน้าอกยิ่งนัก ทว่าเขาทำได้แต่วิ่งจี๋สุดชีวิตเท่านั้น ในที่สุดบึงมังกรพิษก็ปรากฏตรงหน้า เขาล้มลุกคลุกคลานกระโจนเข้าไปในบึงทันที ตอนที่เขากระโดดลอยขึ้นมานั่นเอง หูก็ได้ยินเสียงกระบี่กรีดผ่านอากาศ แผ่นหลังเจ็บแปลบ เขาสะดุดล้มบนพื้นแข็ง เจ็บจนแทบจะหมดสติ แต่เขากลับมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น กลิ้งตัวลุกขึ้นแล้วถลาเข้าไปในบึงน้ำ

สตรีนางนั้นขมวดคิ้วเป็นปม นางมองจุดที่เด็กหนุ่มผู้นั้นหยั่งเท้าแล้วไล่ตามไป เด็กหนุ่มผู้นี้คิดแต่จะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแต่กลับคุ้นชินเส้นทางนัก เขาวิ่งตัดผ่านบริเวณที่มีอันตรายโผล่มาได้ตลอดเวลาเช่นสถานที่แห่งนี้ได้ดั่งใจ นางย่อมมิทราบว่าเหวยอิงส่งคนมาสำรวจเส้นทางภายในบึงอย่างละเอียดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากลู่เฟิงมาถึงที่แห่งนี้ เขาก็ใช้เวลาจำนวนหนึ่งไปกับการทำความคุ้นชินกับภูมิประเทศตามแผนที่นั่นอยู่แทบทุกวัน อีกทั้งยังแก้ไขแผนที่ตลอดเวลา เป้าหมายก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นวันนี้ เขาจำจุดหยั่งเท้าทุกแห่งได้ขึ้นใจ ดังนั้นจึงเผ่นโผนกระโจนได้ราวกับบิน

แม้เป็นเช่นนี้ แต่วิ่งออกไปได้ไม่กี่ลี้ สตรีนางนั้นก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นสะดุดล้มคว่ำกับพื้น นางเผยรอยยิ้มหยัน ทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้บาดเจ็บสาหัสเกินไปจึงทนมิไหวแล้ว นางเหินร่างโฉบเข้าหา เตรียมจะเอาชีวิตเด็กหนุ่ม ไหนเลยจะคิดว่าร่างกายเพิ่งแตะพื้นดิน หูก็ได้ยินเสียงสลักโลหะดังกริ๊ก เท้าขวาถูกบางสิ่งหนีบในบัดดล สตรีนางนั้นกรีดร้อง ทรุดล้มลง ในตอนนี้เอง ลู่เฟิงที่แต่เดิมฟุบอยู่บนพื้นเป็นตายมิทราบก็ตีลังกาลุกขึ้นมายืนห่างออกไปสองสามจั้งแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

สตรีนางนั้นก้มลงมองก็เห็นข้อเท้าถูกกับดักสัตว์ชิ้นหนึ่งหนีบอยู่ โลหิตอาบย้อมอาภรณ์ ขยับเพียงนิดเดียวก็เจ็บร้าวถึงกระดูก นางทราบว่ากระดูกข้อเท้าคงถูกหนีบจนหักไปแล้ว แม้กำลังภายในของนางจะลึกล้ำ วิชากระบี่สูงส่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ต่อให้เคยอาบโลหิตกรำศึกมามากมาย แต่พออยู่ดีกินดีเสียหลายปีก็ทนความลำบากมิได้มากมายเหมือนก่อนแล้ว

นางเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ ลำบากนักกว่าจะงัดกับดักสัตว์ออกได้ เมื่อกวาดสายตามองอีกหนก็เห็นแต่พุ่มวัชพืชรกร้าง โคลนเลนและบึงน้ำนิ่ง ไร้เงาคนอย่างสิ้นเชิง

นางหากิ่งไม้สองกิ่งมาดามขาที่หักจนเรียบร้อย จากนั้นจึงหากิ่งไม้กิ่งหนึ่งเป็นไม้เท้า ก้าวเดินไปตามทาง แม้จะมีเท้าเพียงข้างเดียวที่เดินสะดวก แต่วิชาตัวเบาของนางยอดเยี่ยม นางจึงมิถึงขั้นก้าวเดินทีละคืบอย่างยากลำบาก โชคดีที่ยามไล่ตามเข้ามา นางพอจดจำเส้นทางได้อยู่บ้าง อีกทั้งรอยเท้าก็ยังพอมองเห็นอยู่ พอนางย่างเท้าอย่างระมัดระวังจึงเดินมาได้ครึ่งค่อนทางอย่างปลอดภัยไร้อันตราย แม้ขาที่หักจะเจ็บปวดจนถึงขั้วหัวใจ แต่หากออกไปจากบึงมิได้ เกรงว่าต่อให้นางตายไปก็คงมิมีผู้ใดล่วงรู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ฝืนอดทน นึกแค้นใจยิ่งนัก คิดมิถึงว่าตนเองจะทำเรือล่มในคูน้ำเช่นนี้

ในตอนนี้เอง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าใต้เท้ามีบางสิ่งกระดุกกระดิกจึงก้มลงมองอย่างมิทันคิด ทันใดนั้นนางก็กรีดร้องเสียงแหลม เมื่อเห็นว่าในบึงด้านข้างมีอสรพิษเลื้อยอยู่นับไม่ถ้วน ใต้เท้าของตนเองก็เหยียบอสรพิษอยู่ตัวหนึ่ง

สตรีหวาดกลัวอสรพิษโดยธรรมชาติ นางตกใจกระโดดหลบไปด้านข้างแต่ดันลืมว่าตรงนี้ยังอยู่ในบึงน้ำ ใต้เท้าอ่อนยวบ นางจมลงไปในโคลนทันที หากเวลานี้นางใจเย็นลงสักหน่อย นางก็ยังมีโอกาสหนีออกไปได้ ทว่าเมื่อนางทอดสายตาไปเห็นอสรพิษเลื้อยยุ่บยั่บอยู่ทุกหนแห่ง นางก็พลันตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อน เพียงชั่วพริบตาที่ชักช้านี่เอง นางก็ถูกอสรพิษตัวหนึ่งกัด พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ ขยับเคลื่อนไหวมิสะดวก จมดิ่งลงใต้โคลน โชคชะตาของนางมิอาจเปลี่ยนได้อีกต่อไปแล้ว

เวลานี้ลู่เฟิงกำลังยืนมองสตรีนางนั้นดิ้นรนสุดชีวิตด้วยแววตาเย็นชาอยู่ไม่ไกล นางค่อยๆ หมดสติและจมลงไปในบึงอย่างเชื่องช้า เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดล่อนางมาจนถึงจุดที่ตนเองวางกับดักไว้จับสัตว์ร้ายในบึงเพื่อให้นางบาดเจ็บหนัก หลังจากหนีมาได้สำเร็จก็อ้อมกลับไปที่เส้นทางขามา แล้วซ่อนเส้นทางที่แท้จริง ทิ้งรอยเท้าปลอมเอาไว้ ล่อสตรีนางนั้นให้มายังจุดที่อสรพิษรวมตัวกัน

นามบึงมังกรพิษใช่ว่าจะตั้งขึ้นมาส่งเดช ในที่สุดก็สังหารสตรีนางนั้นให้ตกตายอยู่ในบึงได้สำเร็จ เขาจดจ่อสมาธิมองอยู่เนิ่นนาน จวบจนกระทั่งสตรีนางนั้นจมลงไปมิดศีรษะ ลู่เฟิงจึงเดินออกไปด้านนอก

แม้จะใช้ประโยชน์จากบึงน้ำสังหารศัตรูผู้แข็งแกร่งได้สำเร็จ แต่ใจเขามิผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ถึงจะประมือกันเพียงหนึ่งกระบวนท่า แต่เขาก็เดาออกว่าสตรีนางนี้เป็นคนของสำนักเฟิงอี้ เขาไม่คิดว่าเหวยอิงจะขายเขา หากเหวยอิงต้องการสังหารเขา เพียงลอบมอบหมายคำสั่งให้คนที่คุ้มกันเขาก็ได้แล้ว ตนเองคงมิทันระวังอย่างแน่นอน เหวยอิงคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่รุกถอยลำบากมากกว่า พอนึกขึ้นมาว่าเหวยอิงเอ็นดูตนเองมากมายยิ่งนักจนถึงขั้นมอบตำราที่บันทึกสิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตให้กับตน แล้วคิดขึ้นมาว่าเขาอาจตกอยู่ในอันตราย ลู่เฟิงก็หลั่งน้ำตาดุจสายฝน

เขาเดินกลับมาที่กระท่อมฟางอย่างยากลำบาก ค้นเรือนด้านข้างจนพบศพที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนสี่ร่างด้านใน ความเศร้าโศกผุดพรายในหัวใจของลู่เฟิง สี่คนนี้ดูแลเขาอย่างถี่ถ้วนมานานหลายวัน แต่กลับมาตายในเงื้อมมือของสตรีนางนั้น แม้หัวใจจะโศกเศร้าเจ็บปวด แต่เมื่อคิดขึ้นมาว่าไม่รู้ศัตรูจะปรากฏตัวอีกเมื่อใด ลู่เฟิงก็มิกล้าชักช้า เขาค้นหายารักษามาทาบนบาดแผล จัดการฝังองครักษ์โลหิตทั้งหลายไว้ข้างกระท่อม จากนั้นจึงหยิบเงินทองที่ซ่อนอยู่ในช่องลับมาพกไว้กับตัว แล้วออกเดินทางจากสถานที่พำนักชั่วคราวในทันที

แม้หนทางเบื้องหน้าจะเวิ้งว้าง แต่ลู่เฟิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาจะค้นหาสถานที่เก็บซ่อนตัวสักแห่ง ตรากตรำฝึกฝนวิชากระบี่ สถานการณ์ในใต้หล้ามิอาจเปลี่ยนแล้ว ในเมื่อเขามิอาจนำทัพออกศึกบนสมรภูมิและมิอาจล้างแค้น ถ้าเช่นนั้นมิสู้ถือกระบี่เดินทางท่องใต้หล้า บางทีอาจมีโอกาสสะสางบุญคุณความแค้นให้สาแก่ใจ

โคมเดียวดายริบหรี่ คนเปล่าเปลี่ยวซูบเซียว เยี่ยนอู๋ซวงพิงตั่งนุ่มหลับตาทำสมาธิอยู่ ใบหน้างามล้ำแฝงร่องรอยของความเจ็บป่วย สีหน้าซีดเผือดจนเหมือนหิมะ ไอออกมาเบาๆ เป็นระยะ หญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติด้านข้างมิใช่ศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ งานที่ต้องเดินทางลงใต้หนนี้สำคัญยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงมอบกำลังพลทั้งหมดให้หลิงอวี่ มิใช่ไม่ทราบว่าหลิงอวี่ตั้งใจจะแย่งชิงอำนาจ แต่หากฟื้นสำนักเฟิงอี้ให้กลับสู่อำนาจในวันวานได้ นางก็มิถือสาหากจะต้องเสียสละอำนาจสักเล็กน้อย

เมื่อก่อนในหมู่ศิษย์ทั้งหลายของสำนักเฟิงอี้ นางกับหลิงอวี่เป็นที่โปรดปรานของเจ้าสำนักเฟิงอี้มากที่สุด พวกนางล้วนมีหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ทว่าสุดท้ายหลิงอวี่ก็ได้ตำแหน่งเจ้าสำนักไปครอบครอง

เยี่ยนอู๋ซวงทนมิได้ จึงร่วมมือกับจี้เสียและเหวยอิง แบ่งอำนาจของหลิงอวี่ออกมา แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยนอู๋ซวงก็ยังเป็นคนที่ภักดีต่อสำนักเฟิงอี้มากที่สุดในหมู่ทุกคน สาเหตุที่นางแย่งชิงอำนาจกับหลิงอวี่ป็นเพราะนางไม่เชื่อว่าหลิงอวี่จะคุมการใหญ่ได้

หนนี้หลิงอวี่ยกเหตุผลว่าควรเห็นการใหญ่เป็นสำคัญมาเกลี้ยกล่อมนาง นางจึงตัดสินใจเดินทางไปลงมือลอบสังหารสือกวนด้วยตนเอง แล้วยังยกลูกน้องทั้งหมดให้หลิงอวี่บัญชาการ ส่วนตัวนางเองรักษาตัวอยู่ในห้องลับด้านหลังเรือนเงาจันทร์

หูได้ยินเสียงฝีเท้า ฝีก้าวของผู้มาเยือนรีบร้อนลนลานอย่างยิ่ง ขณะที่เยี่ยนอู๋ซวงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัยนั่นเอง หญิงสาวรูปโฉมงามเป็นเลิศอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งก็เดินเข้ามา แม้ตัวนางจะพยายามปกปิดฐานะอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่มิว่าปิ่นบนศีรษะหรือกำไลบนข้อมือขาวผ่อง แม้แต่คุณภาพของวัสดุที่ตัดเสื้อผ้ารองเท้าก็ทำให้มองออกทันทีว่าผู้มาเยือนฐานะสูงศักดิ์อย่างยิ่ง ทว่าวันนี้สีหน้าของนางตื่นตระหนกยิ่งนัก นางถลามาถึงหน้าตั่งแล้วบอกเสียงสลด “ศิษย์พี่ แย่แล้ว การใหญ่ท่าจะไม่ดีแล้ว พวกอาจารย์ทุกคนเกิดเรื่องแล้ว”

เยี่ยนอู๋ซวงรู้สึกราวกับเรือนร่างอรชรตกลงไปในโถงน้ำแข็ง นางหยัดร่างป่วยไข้ลุกขึ้นมา กุมข้อมือขาวผ่องของสตรีนางนั้นแล้วถามเสียงเฉียบขาด “หลิงเซียง เจ้าว่าอะไรนะ”