เล่ม-1 ตอนที่ 277-2 พี่ซิวลงมือ ย่อยยับในคราเดียว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 277-2 พี่ซิวลงมือ ย่อยยับในคราเดียว

เถ้าแก่เนี้ยหน้าถอดสีอีกรอบ “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ข้าน้อย..ข้าน้อย…ข้าน้อยจ่ายเงินแล้วเจ้าค่ะ! ข้าน้อยคิดว่า…เขาเป็นคนที่ข้าน้อยซื้อมา…ดังนั้นถึง…ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย! ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วยยย”

“เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล…” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ข้า…บอก…แล้วชัดๆ ว่าข้าเป็นใคร…”

เถ้าแก่เนี้ยหมอบฟุบอยู่กับพื้น “ข้าคิดว่าท่านโกหกข้า…”

จีหมิงซิวหันไปมองน้องชายบนเก้าอี้ “พวกเขาทำอะไรเจ้าบ้าง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเขาจะตีข้า!”

จีหมิงซิวถามต่อ “อย่างอื่นเล่า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตวัดสายตามองเถ้าแก่เนี้ยอย่างเย็นชา แค่นเสียงดังเหอะ “นางลูบคลำข้าด้วย!”

เถ้าแก่เนี้ยคลานเข้ามาหาแล้วตบหน้าตัวเอง เพียะ! เพียะ! เพียะ! “ข้าผิดไปแล้ว คุณชายจี! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ดีเอง! ข้ามีตาแต่มองไม่เห็นเขาไท่ซาน ข้าสมควรถูกตบ!”

เสนาบดีหยางทราบว่าเรื่องของหลานชายคงทำไม่สำเร็จแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นเกรงว่าทั้งตระกูลหยางคงต้องรองรับโทสะของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีด้วย ใต้เท้าผู้นี้ดูภายนอกทำตัวสบายๆ แต่หากไม่ระวัง ถึงเวลาเขาโหดเหี้ยมขึ้นมาก็จะไม่เหลือทางรอดไว้ให้ฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด

ค่ำคืนนั้นคนของค่ายทหารก็มาหาถึงจวน คุมตัวหลานชายของเสนาบดีหยางกลับไปยังคุกของกรมทหาร เรื่องที่บุตรชายของเขาทุจริตรับสินบนก็ถูกศาลต้าหลี่สืบพบได้อย่างไรไม่ทราบ คนของศาลต้าหลี่ไปตรวจค้นที่ตระกูลหยาง ความลับที่ซ่อนไว้ของตระกูลหยางถูกขุดคุ้ยออกมาจนหมด ตระกูลขุนนางตระกูลใดก็ล้วนเคยทำเรื่องสกปรกกันทั้งสิ้น แม้แต่ตระกูลจีหากจะสืบจริงๆ ก็คงสืบพบปัญหาไม่น้อย จุดสำคัญก็คือมีผู้ใดคิดจะไปขุดคุ้ยหรือไม่ แล้วมีคนกล้าไปขุดคุ้ยหรือไม่

ตระกูลหยางถูกเล่นงานติดๆ กัน ทำให้อำนาจของตระกูลเสื่อมถอยลงมาก ไม่อาจหวนสู่ความรุ่งโรจน์ในวันวานได้อีกแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง พูดถึงตอนนี้ จีหมิงซิวสั่งให้คนไปตามเจ้าเมืองมา เจ้าเมืองถามความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวจนกระจ่างก็ตรวจค้นปิดร้านสุราโดยไม่พูดพร่ำ เงินทองทรัพย์สมบัติที่ยึดมาได้มอบให้คุณชายรองตระกูลจีเป็นค่าชดเชยความเสียหายทางจิตใจ หลังจากนั้นก็คุมตัวเสนาบดีหยางกับเถ้าแก่เนี้ยและพรรคพวกไปอยู่ในคุก

คุกของจวนเจ้าเมือง อาหารไม่อร่อย นี่เป็นเรื่องแน่นอน

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเถ้าแก่เนี้ยผู้ร่ำไห้โหยหวน แล้วมองเงินทองทรัพย์สมบัติหีบโตตรงหน้า ในที่สุดก็ยิ้มหน้าบาน

ที่ตรงนี้ห่างจากเรือนสี่ประสานไม่ไกล จีอู๋ซวงได้ข่าวก็รีบเร่งมาแก้ฤทธิ์ยาให้ใต้เท้าเจ้าสำนักทันที เขาถูกผงสลายกำลังที่ใช้กันตามปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อันตรายต่อร่างกายมากนัก เพียงแต่ว่าระหว่างที่ต่อสู้ดิ้นรน ใต้เท้าเจ้าสำนักข้อเท้าพลิก ข้อเท้าขวาจึงบวมเป่ง ต่อให้ทายาแล้วก็ต้องใช้เวลาสองสามวันกว่าจะหายดีอย่างสมบูรณ์

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินกะโผลกกะเผลกมาชั้นล่าง

เริ่มแรกจีหมิงซิวมองดูอย่างเฉยชา ไม่ยอมขยับ แต่พอใต้เท้าเจ้าสำนักเหยียบพลาดเกือบจะล้ม จีหมิงซิวก็คว้าแขนเขาไว้แล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า “ขึ้นมา”

“ข้าไม่ขึ้นหรอก!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สบอารมณ์ ออกอาการเหมือนคนที่แผลหายดีก็ลืมสิ้นความเจ็บ กลับมาทำตัวเป็นเด็กน้อยแซ่จีผู้ยโสโอหังอย่างที่สุดอีกหน!

จีหมิงซิวถาม “หรือเจ้าจะให้อุ้ม”

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองห้องโถงใหญ่ที่มีคนแน่นขนัดเป็นเงาทะมึน แล้วแค่นเสียงออกทางจมูก กระโดดขึ้นไปบนหลังของพี่ใหญ่!

ทับเจ้าให้ตายไปเลย! ทับเจ้าให้ตายไปเลย! ทับเจ้าให้ตายไปเลย!

จีหมิงซิวเอื้อมมือมาสอดไว้ใต้ขาของเขา รองไว้ไม่ให้เขาร่วงลงมา

“หีบของข้า!” เขาร้องเสียงดัง

สารถีหิ้วหีบร้อยสมบัติของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วหิ้วเงินทองทรัพย์สมบัติที่ยึดมาได้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ขนขึ้นรถม้าเป็นพัลวัน

รถม้าจอดหน้าประตูจวนชั้นใน จีหมิงซิวแบกน้องชายขึ้นหลังกลับมายังบ้านชิงเหลียน

ใต้เท้าเจ้าสำนักบ่นอย่างรังเกียจรังงอน “ข้าจะนั่งเกี้ยว”

“ไม่มี”

“เจ้าโกหก!”

จีหมิงซิวสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “คนอื่นมีให้นั่ง แต่ เจ้า ไม่มี”

ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “เหตุใดเล่า!”

จีหมิงซิวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งหน้าหากเจ้ากล้าหนีออกไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะอุ้มเจ้าตระเวนรอบเมืองหลวง ให้คนเห็นกันทั้งเมือง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน “เจ้ากล้าหรือ!”

จีหมิงซิวตอบเสียงเรียบ “เจ้าคอยดูว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขารู้สึกว่าเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ จีหมิงซิวจะต้องกล้าทำแน่!

สองพี่น้องกลับมาถึงบ้านชิงเหลียนแล้วก็ปิดเรื่องนี้ไว้ เพราะกลัวว่าหากเรื่องลอยไปถึงหูของเหล่าฮูหยิน นางจะทนรับไม่ไหว มีเพียงเยียนเอ๋อร์กับปี้เอ๋อร์ที่รู้ว่าคุณชายรองแอบหนีออกไปจากจวน เยียนเอ๋อร์ตกใจกลัวแทบตาย เพราะคุณชายรองหายตัวไปใต้หนังตาของนาง หากคุณชายรองเป็นอันใดขึ้นมา นางคงไม่กล้ามีชีวิตอยู่ ยังดีที่คุณชายใหญ่ตามหาคุณชายรองกลับมาได้ ช่างเป็นบรรพบุรุษน้อยที่ทำให้คนเหนื่อยใจยิ่งนักจริงๆ!

ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกส่งกลับมาที่ห้อง เยียนเอ๋อร์ยกน้ำร้อนมาให้เขาล้างหน้าล้างตา

เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็บิดหูของเขา “มีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วใช่หรือไม่ เจ้าลูกกระต่าย”

“อ้าก! โอ้ยๆ! เจ็บจะตายแล้ว! เจ้าปล่อยนะ! รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ใต้เท้าเจ้าสำนักเจ็บจนร้องลั่น

เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “รู้จักเจ็บแล้วเจ้ายังจะกล้าหนีอีกหรือไม่ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักขาเจ้าเสีย!”

“ฮูหยินน้อย อาเขยฉินมาเจ้าค่ะ!” เสียงปี้เอ๋อร์แจ้งมาจากด้านนอก

เฉียวเวยปล่อยหูของเขา พอเห็นหีบใบใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นก็ยกขึ้นมาอุ้มอย่างไม่พูดพร่ำทันที

ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าถอดสี “นางยักษ์เจ้าจะทำอะไร”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “ไม่มีหีบ ดูซิว่าเจ้าจะหนีอย่างไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกำหมัด “เจ้าคืนข้ามานะ!”

เฉียวเวยเดินเชิดจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

จีหมิงซิวเหงื่อออกทั่วทั้งตัวจึงไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ เฉียวเวยมาต้อนรับอาเขยฉินที่โถงหมิง

อาเขยฉินถามอย่างร้อนรน “เมื่อครู่หมิงซิวส่งคนมาบอกว่าหาหมิงเยี่ยพบแล้ว จริงหรือไม่”

ปี้เอ๋อร์ยกน้ำชาเข้ามา อาเขยฉินปฏิเสธอย่างเกรงใจ “ข้าไม่กระหายน้ำ”

เฉียวเวยยิ้มตอบ “หาพบแล้วเจ้าค่ะ เขากำลังอาบน้ำอยู่ในห้อง”

อาเขยฉินยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “หาพบก็ดีแล้ว เรื่องนี้ต้องโทษข้า ข้าไม่ควรพาเขาออกไป ออกไปแล้วยังไม่เฝ้าเขาไว้ให้ดีอีก”

ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องหมิงอันสืบมาจนกระจ่างชัดแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักทั้งข่มขู่ทั้งหลอกล่อสารพัดที่หน้าประตูใหญ่ตระกูลจี เห็นชัดว่าอาเขยฉินดื้อรั้นสู้ไม่ได้ ทั้งยังไม่อยากล่วงเกินจึงพาเขาออกจากจวนไปด้วย ส่วนหลังจากเข้าไปในสำนักศึกษา เด็กรับใช้ก็เป็นพยานว่าใต้เท้าเจ้าสำนักแอบหนีออกไปเอง ดังนั้นดูจากเช่นนี้แล้ว เรื่องนี้จะโทษอาเขยฉินก็ไม่ถูก

เฉียวเวยจึงตอบว่า “อาเขยฉินอย่าโทษตัวเองมากเกินไปเลย เขาอยากหนีไม่ใช่แค่วันสองวัน ตั้งแต่ตอนอยู่บนทะเลก็วางแผนจะหนีแล้ว”

อาเขยฉินเหมือนจะเข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าไปเยือนสถานที่ชื่อว่าเกาะนิรนามมา ที่แห่งนั้น…คือที่ใดหรือ”

หัวข้อสนทนาเปลี่ยนเร็วเกินไปเล็กน้อย เฉียวเวยชะงักไปพักหนึ่ง นางยิ้มจางๆ “เป็นเกาะในทะเลเกาะหนึ่ง”

อาเขยฉินขานอ้อคำหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ข้าได้ยินว่าท่านตาของเจ้าเป็นผู้ปกครองเกาะแห่งนั้น”

เรื่องนี้นางเคยบอกเหล่าฮูหยินเพียงคนเดียว คิดว่าเหล่าฮูหยินคงบอกอาเขยฉิน เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่บอกไม่ได้ เฉียวเวยจึงตอบว่า “ใช่แล้ว”

อาเขยฉินยิ้ม “เดิมทีคิดว่าเจ้าเป็นเพียงคุณหนูจวนปั๋วคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ บิดามารดาของเจ้าจะกลับมาเมื่อใดเล่า”

เฉียวเวยครุ่นคิด “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ พอจัดการเรื่องบนเกาะเรียบร้อยก็คงจะกลับมา”

อาเขยฉินใคร่ครวญครู่หนึ่งก็บอกว่า “วันนี้หมิงเยี่ยออกไปข้างนอก…คงไม่พบอันตรายอะไรใช่หรือไม่ เมื่อครู่ตอนข้าเข้ามาในห้องเหมือนจะได้ยินเสียงเขาร้องโอดโอย”

เฉียวเวยยิ้มแห้งๆ “นั่นน่ะหรือ…เขาเท้าพลิกน่ะ”

“ร้ายแรงหรือไม่” อาเขยฉินถามอย่างกังวล

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ไม่ร้ายแรง พักไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”

อาเขยฉินพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนเขาจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “หมิงซิวหาเขาพบที่ใด เหตุไฉนข้าตามหาไปทุกที่ก็ยังหาไม่พบ”

เฉียวเวยจึงเล่าว่า “หลังจากเขาออกมาจากสำนักศึกษาก็พบโจรกลุ่มหนึ่ง เพื่อหลบโจรกลุ่มนั้นเขาจึงบุกเข้าไปในร้านสุราแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าหมิงซิวอยู่ในร้านสุราพอดี”

อาเขยฉินยิ้มน้อยๆ “พี่น้องช่างใจเชื่อมถึงกันจริงๆ…เขาไปพบโจรได้อย่างไรเล่า”

เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ ข้ายังไม่ได้ถามให้ละเอียด ได้ยินหมิงซิวบอกมาคร่าวๆ เพียงเท่านั้น”

อาเขยฉินลูบถ้วย แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คงไม่ใช่…มีคนร้ายคอยจ้องหมิงเยี่ยอยู่กระมัง วันหน้าออกจากบ้านคงต้องระวัง”

เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย “อาเขยฉินคิดว่าหมิงเยี่ยถูกคนจับจ้องอยู่หรือ”

อาเขยฉินชะงัก หันไปมองเฉียวเวยแล้วยิ้มอ่อนโยน “เจ้าคิดว่าไม่ใช่หรือ”

เฉียวเวยทำท่าครุ่นคิด “หมิงเยี่ยเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยล่วงเกินผู้ใด และไม่มีผู้ใดรู้ว่าตระกูลจีมีคุณชายเพิ่มมาหนึ่งคน ข้ากลับรู้สึกว่าอาจเป็นโจรปล้นทรัพย์มากกว่า”

อาเขยฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบ “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เมื่อครู่ข้าเพียงสันนิษฐานมั่วซั่ว เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”