ตอนที่ 278-1 ขอลูกอีกสักคน
ฟ้ามืดแล้ว อาเขยฉินสนทนากับเฉียวเวยไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นจากไป ก่อนจากไปยังบอกเฉียวเวยว่าเขาคุยเรื่องสมัครเข้าเรียนกับอธิการแล้ว อธิการขอเวลาใคร่ครวญหนึ่งคืน วันพรุ่งจะให้คำตอบ เฉียวเวยมาส่งอาเขยฉินที่ประตูจากนั้นจึงหันหลังกลับเข้ามาในบ้าน
จีหมิงซิวอาบน้ำเสร็จนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เขายกพู่กันเขียนอะไรอยู่ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เฉียวเวยรู้ว่าเขายังโกรธน้องชายอยู่ เจ้าหมอนั่นไม่ได้เพิ่งวางแผนหนีแค่วันสองวัน ระหว่างทางกลับเขาเคยหนีอยู่หลายหน แต่ทุกครั้งก็ถูกจับกลับมาได้ ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไร แต่หนนี้ปล่อยให้คนจับตัวเข้าไปในหอคณิกาในคราบร้านสุรา หากไม่พบหมิงซิวเข้า จุดจบของเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
“เมื่อครู่อาเขยมาหรือ” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยตอบว่า “เขามาขอโทษ บอกว่าเมื่อกลางวันไม่ควรพาหมิงเยี่ยออกไป ยิ่งไม่ควรพาออกไปแล้วไม่เฝ้าหมิงเยี่ยไว้ให้ดี…ข้าดูแล้วอาเขยใส่ใจหมิงเยี่ยมากทีเดียว”
จีหมิงซิวไม่แสดงท่าทีตอบรับหรือปกิเสธ “ตอนฝังหมิงเยี่ยลงสุสาน เขาเป็นคนทำโลงเอง”
“อาเขยทำโลงศพเป็นด้วยหรือ” เฉียวเวยประหลาดใจ
จีหมิงซิวอธิบายว่า “บ้านเขาเป็นตระกูลช่างไม้ เขาเองก็ทำเป็นอยู่บ้าง หมิงเยี่ยถูกฝังอย่างเร่งรีบ ช่างไม้ที่หาไว้เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน อาเขยได้ยินว่าช่างไม้มาไม่ได้แล้วจึงอาสาทำโลงให้เอง”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว นางเอ่ยต่ออีกว่า “ข้าดูแล้วอายุของอาเขยก็ยังไม่มากนัก เหตุใดเขาจึงแต่งงานกับท่านอาเร็วเช่นนั้นเล่า”
จีหมิงซิววางฎีกาที่เขียนเสร็จแล้วไว้ด้านข้าง จากนั้นเล่าว่า “ตอนนั้นยังไม่แต่งงานกัน อาเขยกับอารอง อาสามต่างเป็นลูกศิษย์ที่สำนักศึกษาหนานซาน พวกเขาอยู่ชั้นเรียนเดียวกัน มีความสัมพันธ์กันไม่เลว บางครั้งจึงถูกเชิญมาเป็นแขกที่บ้าน วันนั้นบังเอิญอาเขยอยู่ที่ตระกูลจีพอดี”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ที่แท้อาเขยก็รู้จักท่านอาเช่นนี้เอง บ้านอาเขยฉินเป็นช่างไม้ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นบัณฑิตตระกูลยากจนสิ เหตุใดตระกูลจีจึงยกท่านอาให้แต่งงานกับเขาเล่า ฐานะอย่างท่านอา เป็นฮองเฮาก็ยังได้กระมัง”
จีหมิงซิวถอนหายใจ “ท่านปู่ไม่ชมชอบให้ลูกหลานแต่งเข้าราชวงศ์ สมัยนั้นเรื่องระหว่างมารดากับบิดาของข้าก็ถูกท่านปู่คัดค้านอย่างรุนแรง”
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่มีความแค้นกับราชวงศ์หรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “หาใช่ไม่ เพียงแต่พระญาติเชื้อพระวงศ์ในแต่ละรัชสมัยน้อยนักจะพบจุดจบที่ดี”
เฉียวเวยพยักหน้า “พูดไปก็ถูก หนึ่งโอรสสวรรค์ หนึ่งรุ่นขุนนาง รัชสมัยนี้เป็นพระญาติ พอเปลี่ยนฮ่องเต้ก็อาจกลายเป็นเสี้ยนหนามตำตา ท่านปู่ใคร่ครวญได้รอบคอบยิ่งนัก แต่ข้าดูแล้วฮ่องเต้รัชสมัยนี้ค่อนข้างดี รัชทายาทเองก็ไม่แย่ อย่างน้อยตระกูลจีก็น่าจะรุ่งเรืองได้อีกร้อยปี”
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยแล้วบอกว่า “พูดถึงฝ่าบาท ฝั่งข้ากลับได้ข่าวดีมาเรื่องหนึ่ง”
“ข่าวดีอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เจ้าจะได้เป็นฮูหยินตราตั้งแล้ว”
เฉียวเวยเบิกตาโต “จริงหรือหลอก”
จีหมิงซิวหัวเราะ “ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร ต้องขอบคุณที่เจ้าถ่ายทอดวิชาเพาะปลูก บนทุ่งหญ้าของเผ่าซยงหนีว์จึงปลูกธัญพืชขึ้นแล้ว องค์ชายรองของเผ่าซยงหนีว์ส่งสาส์นมาขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาทปลาบปลื้มจึงตัดสินใจมอบยศให้เจ้า”
เฉียวเวยจัดผมหน้าม้าอย่างสง่างาม “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าก็เป็นคนที่มียศประดับกายแล้วสิ! เดี๋ยวก่อนนะ แล้วมีเบี้ยหวัดหรือไม่”
จีหมิงซิวอมยิ้ม “มี รอแจ้งกรมพิธีการ ทำป้ายหยกกับหนังสือแต่งตั้งเสร็จสิ้น ฝูกงกงก็น่าจะมาประกาศที่จวน”
เฉียวเวยดีใจแทบแย่ นางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าตนเองจะคว้าตำแหน่งข้าราชการในยุคโบราณมาได้ ตำแหน่งข้าราชการนี้ไม่เพียงมีเบี้ยหวัดให้กินทั้งชีวิต ยังไม่ต้องทำงานอีกต่างหาก เป็นชามข้าวเหล็กขั้นสุดยอดอย่างแท้จริง หลังจากนี้ต่อให้นางล้มละลายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องออกไปเร่ร่อนบนถนนแล้ว
จีหมิงซิวมองท่าทางดีอกดีใจของนางแล้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ โชคดีที่ขอเบี้ยหวัดมาได้ หากมีแต่ยศเปล่าๆ เกรงว่าหนังตานางคงไม่กระตุกสักนิด
เฉียวเวยคว้าแขนของจีหมิงซิวแล้วมองเขาตาปริบๆ บางทีอาจเพราะมีชามข้าวเหล็กใบหนึ่งแล้ว แววตาจึงสว่างไสวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ “นอกเรื่องไปไกลแล้ว ยังไม่ได้เล่าเลยว่าเหตุไฉนท่านปู่จึงตกลงให้ท่านอาแต่งงานกับเด็กจากตระกูลยากจนคนหนึ่ง คงไม่ใช่ว่าเพราะไม่อยากเกี่ยวพันกับราชวงศ์จึงเลือกลูกเขยมาส่งๆ สักคนกระมัง”
สวินหลันดีเลวก็เป็นทายาทของตระกูลดังในกูซู เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง เป็นลูกหลานตระกูลบัณฑิต แต่อาเขยฉินเป็นเพียงบุตรชายของช่างไม้…นี่แตกต่างจากฐานะช่างตีเหล็กของหลัวหย่งเหนียนที่ใด หากว่าตามมาตรฐานนี้ ไยมิใช่หลัวหย่งเหยียนก็หาคู่ครองเป็นแม่นางจากตระกูลจีได้ แน่นอนว่าหากพูดถึงหน้าตา อาเชยฉินนับว่าเป็นของชั้นยอดอย่างแท้จริง
จีหมิงซิววางพู่กัน กุมมือขาวผ่องนุ่มนิ่มของนางแล้วเล่าว่า “ประการแรกท่านอาไม่อยากแต่งออกไปจากตระกูลจี ประการที่สองท่านอาชอบท่านอาเขย ประการที่สามแม้ท่านอาเขยจะเป็นลูกหลานจากตระกูลยากจนแต่ประวัติตระกูลขาวสะอาด ทั้งยังเป็นสหายร่วมเรียนกับอารอง อาสาม อาเขยใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งตื๊ออยู่พักหนึ่งท่านปู่จึงยอมตกลง”
เฉียวเวยกะพริบตา “วันหน้าวั่งซูของพวกเราก็หาลูกเขยแต่งเข้าสักคนเถิด ข้าตัดใจให้นางแต่งออกไปไม่ลง”
จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะไม่ไหว “วั่งซูเพิ่งจะอายุเท่าไร เจ้าก็คิดไปไกลถึงเพียงนั้นแล้วหรือ”
เฉียวเวยหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ท่านอาเป็นฝ่ายตามจีบอาเขยหรือ”
“ได้ยินว่าเป็นเช่นนั้น” จีหมิงซิวตอบ แล้วจุมพิตกลางฝ่ามือของนาง
เฉียวเวยถูกจูบจนหัวใจหวานล้ำ ดวงตาหยีโค้งเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น วันนี้ข้าไปที่เรือนของท่านอา นำของขวัญที่พกกลับมาจากชนเผ่าถ่าน่าไปมอบให้ท่านอากับท่านอาเขย ผลปรากฏว่าพอท่านอาเขยเข้ามาในห้อง ดวงตาของท่านอาคู่นั้นก็แปะติดอยู่กับตัวเขาไม่ละสายตา ท่านว่า หลังจากพวกเราแต่งงานกันนานปานนั้น ดวงตาของข้าจะยังแปะอยู่บนตัวท่านอย่างไม่ละสายตาอีกหรือไม่”
จีหมิงซิวครางฮึมไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ “ตอนนี้สายตาของเจ้าก็ไม่ได้แปะอยู่บนตัวข้านะ”
“อะแฮ่ม!” เฉียวเวยกระแอม อย่าขัดเช่นนี้สิ…
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว จากนั้นปล่อยมือนาง กลับไปเขียนฎีกาต่อ
“จะว่าไปแล้ว” เฉียวเวยเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเขา ยกมือขึ้นขวางฎีกาที่เขากำลังเขียน “ท่านเลิกประชุมแล้วไม่รีบกลับ แต่วิ่งไปเที่ยวผู้หญิงกับคนอื่น เจ้าชู้นักนะ”
“เพียงทานอาหารมื้อเดียวเท่านั้น” จีหมิงซิวตอบ
ในความรู้สึกของบุรุษส่วนมากในราชวงศ์ต้าเหลียง การทานอาหารมื้อหนึ่งในร้านที่มีคณิกากับการทานอาหารในร้านที่ไม่มีคณิกา ความจริงแล้วไม่แตกต่างกันมากมายนัก ก็เหมือนมีสุราเพิ่มมาหนึ่งชนิด ต้องดูว่าเจ้าจะดื่มหรือไม่ดื่มสุราชนิดนี้ก็เท่านั้น จีหมิงซิวบังเอิญเป็นพวกที่ไม่แตะต้องสุราชนิดนี้ แต่ตัวเขาไม่แตะต้อง ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะไม่เข้าไปเหยียบร้านสุรา
เฉียวเวยย่อมเข้าใจเหตุผลประการนี้ แล้วก็เข้าใจว่าเขาอยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ ย่อมขาดงานสังสรรค์ทำนองนี้ไปไม่ได้ นางย่อมเชื่อใจเขา เพียงแต่ว่าผู้ใดให้เมื่อครู่เขาโอดครวญว่าดวงตาของนางไม่แปะอยู่บนตัวของเขาเล่า นางก็แค่ละสายตาจากตัวเขาไปบ้างบางครั้งเท่านั้น ไม่เหมือนเขาเสียหน่อย เดี๋ยวๆ ก็ไปเที่ยวหอคณิกา!
จีหมิงซิวจับมือของเฉียวเวยออกอย่างแผ่วเบาแล้วเขียนฎีกาต่อ
เฉียวเวยเท้าศอกไว้กับโต๊ะ แล้วเท้าคางมองเขา หรี่ตาลงอย่างอันตราย “หมิงซิวววว”
“หืม” จีหมิงซิวเขียนไปพลางก็ขานตอบนางไปด้วย
เฉียวเวยลากเสียงยาวอย่างมีเลศนัย “ท่านไปสถานที่เช่นนั้นบ่อยหรือไม่”
“สถานที่เช่นไร” จีหมิงซิวถาม
ดวงตาของเฉียวเวยเต็มไปด้วยไอสังหาร “สถานที่ที่มีหญิงสาว”
มือที่เขียนตัวอักษรอยู่ของจีหมิงซิวหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะมีรอยยิ้มเลือนราง “หึงหรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวของตัวเอง แล้วเสตามองฟ้า “ผู้ใดบอก ข้าเพียงถามเฉยๆ ท่านอยากไปที่ใดก็ไปสิ”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ที่แท้ภรรยาของข้าก็ใจกว้างถึงเพียงนี้”