บทที่ 1138 ไปตามหานางที่เมืองหลวง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1138 ไปตามหานางที่เมืองหลวง

จวิ้นจู่ไม่เคยลังเลกับการยกย่องขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้

คนหนึ่งมีสถานะอันสูงส่ง อีกคนหนึ่งเป็นเด็กทรงผมเกรียนติดดิน อุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่านไปนี้อยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน กู้หนิงผิงไม่อาจไล่ตามทัน แม้อยากจะไล่ตามมากแค่ไหน

ยิ่งกว่านั้น ได้ยินมาว่าแต่ไหนแต่ไรมา เรื่องการแต่งงานขององค์ชายองค์หญิง จวิ้นจู่ที่สูงส่ง และลูกของขุนนาง เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถตัดสินใจเองได้

ฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับใคร เจ้าก็ต้องยอมรับ

ฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับใคร เจ้าก็ต้องแต่ง

ถานอวี้ซูไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเองได้ ความหวังของกู้หนิงผิงยิ่งเลือนราง

รถม้ากำลังวิ่งอยู่ ทั้งสองจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไร

เมื่อพวกเขามาถึงร้านจิ่นฝู มีเพียงกู้ฟางสี่และฉือโถวที่รออยู่หน้าประตู

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ มาถึง กู้ฟางสี่รีบเข้าไปในครัวเพื่ออุ่นอาหาร

ฉือโถวบอกเรื่องที่กลับมากับกู้เสี่ยวหวาน

กู้หนิงผิงทำแผลอย่างเชื่อฟัง กินข้าวเพียงไม่กี่คำก็กลับเข้าห้องไปโดยไม่พูดอะไร ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา

ตั้งแต่ถานอวี้ซูจากไป ห้องนอนที่นางเคยอาศัยอยู่นั้นว่างเปล่าง กู้หนิงผิงจึงย้ายของทั้งหมดของตัวเองไปที่ห้องถานอวี้ซู

หลังจากฟังคำพูดของฉือโถวแล้ว กู้เสี่ยวหวานมองห้องที่กู้หนิงผิงนอน และถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่ฉินเย่จือกลับมีความรอบคอบ

มีข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลจิน ทุกคนในร้านฝูจิ่นล้วนพูดคุยกันเรื่องตระกูลจิน

คุณชายสามของตระกูลจิน บางคนบอกว่าเสียชีวิต บางคนก็บอกว่าได้รับบาดเจ็บ บางคนก็บอกว่าหายสาบสูญ

กู้เสี่ยวหวานนึกถึงท่าทางที่เร่งรีบของถานเย่สิงก่อนจากไป หรือว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

นางคิดไม่ถึง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉินเย่จือคิดไม่ได้

ถานเย่สิงรีบร้อนออกจากเมืองรุ่ยเสียน ฆ่าจินติ่งเทียนและจินโหย่วกุ้ย แต่กลับเหลือจินซื่อข่ายไว้หนึ่งคน เป็นการตบตาเพื่อให้ยังมีสายเลือดตระกูลจินเหลืออยู่หนึ่งคน

เป็นไปได้หรือไม่ว่า จินติ่งเทียนกุมความลับอะไรไว้ ถึงยอมแลกด้วยชีวิต

รู้หรือไม่ว่าด้วยบุคลิกของถานเย่สิง การไม่ฆ่าตระกูลจินจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ถือว่าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุดแล้ว

“แม่ทัพถานหาสาเหตุการตายของลูกชายและลูกสะใภ้มาหลายปีแล้ว นายท่าน ท่านรู้หรือว่าไม่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีใครบางคนพบเบาะแสนี้” ตอนนี้อาเว่ยอยู่ที่เมืองรุ่ยเสียน รายงานสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ฉินเย่จือฟัง

ฉินเย่จือหรี่ตา “ใคร?”

ขณะนั้น ในหัวของฉินเย่จือพลันคิดถึงคนคนหนึ่ง “หมิงอ๋อง”

“ไม่ผิดขอรับ คนผู้นั้นคือหมิงอ๋อง” อาเว่ยรียพูด “ลูกชายของแม่ทัพถานกับฮูหยินกำลังสอดแนมสถานการณ์ทางทหารในเขตแดนศัตรู ราวกับย่างเท้าเข้าสู่ความตาย สุดท้ายพวกเขาก็มีจุดจบที่ไม่ดี เรื่องนี้ย่อมมีเงื่อนงำ ถึงรู้ที่อยู่ของแม่ทัพถานและรายงานที่อยู่ไปยังเขตแดนของศัตรู ลูกชายของแม่ทัพถานกับฮูหยินก็เสียชีวิตลง”

ใช่แล้ว หลังจากทราบที่อยู่ของถานอิงและภรรยา ข้าศึกก็บุกมาจับตัวทั้งสองไป

นับว่าเป็นแผนการที่แยบยล

“นายท่าน ท่านบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับถานอิงและภรรยาในปีนั้น เป็นฝีมือของท่านหมิงอ๋องใช่หรือไม่”

หมิงอ๋องเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อน ปัจจุบันเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้น้อย

คุณสมบัติของหมิงอ๋องดีกว่าฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ แต่เนื่องจากเขาเป็นพระราชโอรสองค์ที่สอง ราชบัลลังก์ย่อมตกทอดแก่พระราชโอรสองค์แรก ดังนั้นราชบัลลังก์จึงตกทอดไปยังพระราชโอรสของฮ่ององค์ก่อนโดยธรรมชาติ

“หมิงอ๋องขึ้นชื่อเรื่องความใจดี เป็นมือขวาและคอยให้คำปรึกษาแก่ฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ มาโดยตลอด ท่านพูดผิดหรือเปล่าที่บอกว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้”

หลังจากฉินเย่จือได้ฟังคำพูดของอาเว่ย เขาก็ไม่ได้ตอบกลับไป ชะงักการเคลื่อนไหวแล้ววางพู่กันในมือลง

หมึกจากปลายพู่กันหยดลงบนกระดาษ

เมื่อครู่กระดาษยังขาวสะอาด แต่ตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยหมึก

“อาเว่ย เจ้าดูพู่กันนี้ ถ้าหมึกมากเกินไป ละเลงออกมาก็ไม่สวย ก็เหมือนกับคน หากแบกรับมากเกินไปก็จะสูญเปล่า” หลังจากฉินเย่จือเอ่ยประโยคอันแสนลึกซึ้งก็ไม่มีคำพูดใดอีก

อาเว่ยมองหมึกที่จางหายไปอย่างครุ่นคิด

ตั้งแต่กู้หนิงผิงอาศัยอยู่ในห้องของถานอวี้ซู เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับทุกคนเป็นเวลาหลายวัน ตลอดทั้งวันนอกจากกินข้าวและเข้าห้องน้ำแล้ว เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง

ยิ่งมองกู้หนิงผิงแล้วยิ่งเจ็บปวด กู้เสี่ยวหวานก็ทนไม่ได้เช่นกัน

รู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วยกัน

หลายวันมานี้ กู้หนิงผิงไม่กิน ไม่ดื่ม เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่รู้ว่ากำลังคิดหรือทำอะไรอยู่

ครั้นเห็นร่างกายที่ซูบผอมและใบหน้าซีดเซียวของเขา ทำไมกู้เสี่ยวหวานยังคงแข็งใจและปล่อยให้เขาคิดไปเองคนเดียว

ในชั่วพริบตา ถานอวี้ซูออกจากเมืองรุ่ยเสียนได้เจ็ดแปดวันแล้ว

กู้หนิงผิงกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วก็กลับเข้าห้องไป

ทุกคนบนโต๊ะมองไปที่กู้หนิงผิง และพวกเขาทั้งหมดก็วางตะเกียบลงอย่างเศร้าใจ กู้หนิงผิงเป็นเช่นนี้ เขาจะกินข้าวลงได้อย่างไร

กู้เสี่ยวหวานทนไม่ได้อีกต่อไป และเดินตามเข้าไปในห้อง

นางเห็นกู้หนิงผิงทำตัวโง่เง่า เขานั่งลงบนพื้น บนพื้นมีจี้และผ้าเช็ดหน้าที่ถานอวี้ซูมอบให้วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในห้อง กู้หนิงผิงไม่มีปฏิกิริยาเลย ซ้ำยังนั่งโง่ ๆ อยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง

หลังจากสงบสติอารมณ์ลง กู้เสี่ยวหวานก็ก้าวไปข้างหน้าและกระซิบกับกู้หนิงผิงว่า “หนิงผิง ถ้าเจ้าคิดถึงอวี้ซู พวกเราไปเมืองหลวงกันเถอะ ไปตามหานางกันดีหรือไม่”

ครั้นได้ยินว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อไปหาถานอวี้ซู กู้หนิงผิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย “ท่านพี่ จะไปจริงหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “จริงสิ ถ้าเจ้าจะไป พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปเมืองหลวงกัน”

ที่บ้านมีรถม้า เดินทางเร็วสุดก็สิบวัน ช้าสุดก็ครึ่งเดือนน่าจะถึงเมืองหลวง

กู้หนิงผิงรู้สึกตื่นเต้นมากและรีบเก็บของที่อยู่ข้างหน้าไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง จากนั้นยืนขึ้นและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ได้ ๆๆ”