บทที่ 1139 ข้าไม่คู่ควรกับนาง
เมื่อพูดคำว่า ดี สามครั้ง หลังจากนั้นก็เหมือนมองหาอะไรบางอย่าง เดินไปเดินมาอยู่รอบห้อง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แต่ว่าหลังจากที่ตื่นเต้น กู้หนิงผิงเหมือนกับว่าหาอะไรไม่เจอเลย จิตใจห่อเหี่ยวจนคอตก ในตามีแต่ความสิ้นหวัง “ท่านพี่ ข้าไม่กล้าไป ฮือ ๆ”
กู้หนิงผิงร้องไห้ออกมา
ร้องไห้ราวกับเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ เขากอดตัวเองแน่นแล้วหมอบลงที่พื้นพลางสะอื้นไห้เงียบ ๆ
ด้วยไหล่ที่สั่นเทา ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังพยายามระงับความโศกเศร้า หากแต่สุดท้ายแล้วก็กลั้นมันไว้ไม่อยู่
เมื่อครู่ยังมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ในชั่วพริบตากลับกลายเป็นว่าเขามีสภาพเศร้าสร้อยเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานโผเข้าไปกอดกู้หนิงผิงด้วยความเจ็บปวด และเรียกด้วยความเอ็นดูว่า “หนิงผิง หนิงผิง เจ้าเป็นอะไร เจ้าเป็นอะไร”
“ฮือ ฮือ”
กู้หนิงผิงไม่ตอบคำถาม และเอาแต่สะอื้นไห้ไม่หยุด
ในใจกู้เสี่ยวหวานเหมือนถูกคนทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม กู้เสี่ยวหวานกำหมัดแน่น นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อครู่เขายังดูมีความสุขอยู่เลย แต่ตอนนี้จิตใจกลับหงอยเหงาเศร้าซึม
“หนิงผิง เหตุใดถึงไม่กล้าไปเล่า?” กู้เสี่ยวหวานพยายามกลั้นน้ำตาที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมาและถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
กู้หนิงผิงส่ายหน้าด้วยจิตใจอันหดหู่ “ท่านพี่ อวี้ซูคือจวิ้นจู่ หลานของแม่ทัพถาน นางมีฐานะสูงส่ง แต่ข้าเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีความสามารถ ไม่มีฐานะ ไม่มีอะไรที่ดีพอจะคู่ควรกับอวี้ซู ข้าชอบนางแล้วอย่างไร ข้าไม่คู่ควรกับนางเลยสักนิด”
คำพูดของกู้หนิงผิงทำให้ในหัวของกู้เสี่ยวหวานเกิดเสียงดังอื้ออึง ราวกับโลกทั้งใบถล่มและรู้สึกเจ็บปวดไปหมด ความชื่นมื่นและความขมขื่นล้วนปะปนกันอยู่ในใจ
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยคิดว่า เดิมทีต่อหน้าถานอวี้ซู หนิงผิงจะคิดว่าตนเองต่ำต้อยและไม่สามารถตกต่ำลงมาได้มากกว่านี้
จากนั้นนางก็ไม่รู้ว่าได้พูดอะไรกับกู้หนิงผิงไปกันแน่ แต่คืนนั้นนางรู้สึกว่าทุกคนต่างมีความกลัดกลุ้มอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกับว่ามีอะไรมาทับไหล่อย่างหนัก พลิกตัวไปมาก็นอนไม่หลับ
ในคืนที่เงียบงันนี้ ดูเหมือนว่ายังได้ยินเสียงคำรามของกู้หนิงผิง
อารมณ์ของกู้หนิงผิงไม่ดีนัก ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกเป็นกังวล และเป็นห่วงกู้หนิงผิงเป็นอย่างมาก หากแต่กลับทำอะไรไม่ถูก
กู้เสี่ยวหวานแนะนำให้ทุกคนกลับไปที่เมืองหลิวเจีย หากอยู่ที่นี่นานเกินไปคงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับกู้หนิงผิง กู้เสี่ยวหวานยังจะมีจิตใจไปเที่ยวเล่นที่ไหนได้อีก การเดินทางไปหมินซานครั้งนี้ก็ทำได้เพียงยอมแพ้แล้ว
ครั้นกลับมาถึงเมืองหลิวเจียก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
และหลังฤดูใบไม้ร่วง จะมีงานใหญ่เกิดขึ้นที่เมืองหลิวเจีย
เฉาซินเหลียนถูกตัดสินประหารชีวิต คาดว่าตลาดในเมืองหลิวเจียคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
หลายปีมานี้ การตัดสินโทษประหารเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก ดังนั้นทุกคนจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น
ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าเฉาซินเหลียนจะถูกประหารชีวิตในวันนี้ หากแต่นางก็ไม่มีเวลาว่างที่จะไปดูคนอื่นถูกตัดหัว
คนประเภทนี้ แม้ว่าจะตายตกเป็นพันครั้ง นางก็รู้สึกว่าเฉาซินเหลียนไม่มีค่าอะไร
แต่คนร้านจิ่นฝูต่างไปดูความคึกคักในครั้งนี้ เดี๋ยวพอพวกเขากลับมาก็มาเล่าทุกสิ่งที่เห็นให้ทุกคนฟังอย่างทั่วถึง
กู้เสี่ยวหวานก็ได้ยินมาเช่นกัน
ได้ยินมาว่าก่อนที่เฉาซินเหลียนถูกตัดสินให้ตัดศีรษะ นางเหมือนคนไร้วิญญาณ ร่างกายซูบผอมจนเหลือแต่กระดูก
นางถูกขังคุกอยู่นานขนาดนั้น จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร
เพียงแต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ไปดูการประหารในครั้งนี้ แต่กลับมีคนมาตามหาตัวนางถึงที่
และแน่นอนว่าคนที่มาคือ ลวี่เทา จากศาลาว่าการ
ยามก้าวเท้าเข้ามาในร้านจิ่นฝู เขาก็กล่าวว่าต้องการขอพบกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อลูกจ้างในร้านพบว่าเป็นใต้เท้าจากศาลาว่าการ อีกทั้งยังรู้ว่าเฉาซินเหลียนถูกประหารชีวิตในวันนี้ และเมื่อเห็นใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี ลูกจ้างในร้านก็เดาได้ทันทีว่าลวี่เทากำลังหมายถึงอะไร
ลูกจ้างจึงกุลีกุจอนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อกู้เสี่ยวหวาน
พอกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าลวี่เทามาหานาง นางก็รับรู้ได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม
เฉาซินเหลียนถูกประหารชีวิตในวันนี้ ลวี่เทาย่อมต้องแย่งเอาความดีความชอบของผู้อื่นมาเป็นของตน
แน่นอนว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดกับลวี่เทาสักประโยค จากนั้นลวี่เทาก็เอาความดีความชอบทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังบอกให้กู้เสี่ยวหวานพูดจาดี ๆ ต่อหน้าคนอื่น ถ้าหากในอนาคตเข้าไปในเมืองหลวงจะต้องเจอเจ้าหน้าที่ระดับสูง
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าลวี่เทามักจะขมวดคิ้วและมีท่าทีพอใจตั้งแต่ต้นจนจบ และถ้อยคำประจบประแจงนั้นดูแปลกยิ่งนัก จนกระทั่งลวี่เทาพูดจบ กู้เสี่ยวหวานจึงเข้าใจ
กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธและพูดว่า “ใต้เท้าลวี่ช่างน่าขันยิ่งนัก ข้าเป็นเพียงเสี้ยนจู่ระดับห้าในเมืองเล็ก ๆ หากฮ่องเต้ประทานตำแหน่งจวิ้นจู่ให้ข้า ข้าคงจะลืมชื่อแซ่ตัวเองไปเสียแล้ว ถ้าข้ามีโอกาสไปเมืองหลวงแล้ว เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีแต่บุคคลมากความสามารถ แล้วจะมีที่สำหรับเสี้ยนจู่ตัวเล็ก ๆ อย่างข้าได้อย่างไร”
หลังจากกู้เสี่ยวหวานพูดจบประโยค นางก็มองลวี่เทาปราดหนึ่ง
เมื่อลวี่เทาได้ยินกู้เสี่ยวหวานบอกว่าตัวเองฐานะต้อยต่ำเกินไป ไม่มีอำนาจใด ลวี่เทาก็ร้อนใจทันที เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “เสี้ยนจู่ ท่านพูดอะไร เจ้าเป็นเสี้ยนจู่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแต่งตั้งตำแหน่งให้เป็นการส่วนตัว ฮ่องเต้จะลืมเจ้าได้อย่างไร แต่ถ้าพูดอีกที ถึงแม้ว่าจะลืมเจ้า แต่จวิ้นจู่ก็เป็นพี่น้องที่ดีของเจ้านะ”
ลวี่เทาทำหน้าประจบสอพลอ
หลังจากกู้เสี่ยวหวานฟังจบ นางก็ได้แต่ยิ้มเยาะในใจ
สิ่งที่ตัวเองเดานั้นไม่ผิดจริง ๆ
เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองรุ่ยเสียน คนในเมืองหลิวเจียส่วนใหญ่รู้กันอย่างทั่วถึง
เพียงแต่ว่ากู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นตกใจแล้วถามว่า “ใต้เท้าลวี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักจวิ้นจู่”
“หรือว่าเสี้ยนจู่ไม่รู้ว่าเรื่องในเมืองรุ่ยเสียนถูกโพนทะนาออกไปตั้งนานแล้ว ไม่เพียงแต่ถูกพูดถึงในเมืองรุ่ยเสียนเท่านั้นว่าเสี้ยนจู่ช่างโชคดียิ่งนักที่ได้รู้จักจวิ้นจู่”
จวิ้นจู่ ถานเย่สิง
คนหนึ่งคือจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งตั้งให้ อีกคนเป็นแม่ทัพทหารม้าขุนนางระดับสอง
ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็แข็งแกร่งกว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ลวี่เทาผู้นี้เป็นคนเมามายที่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา แต่สิ่งที่เขาสนใจคือตระกูลถาน
“ครั้งนี้ที่เฉาซินเหลียนถูกประหาร ก็ยังสามารถปลอบประโลมวิญญาณพ่อแม่ของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ได้” ทันใดนั้น ลวี่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนนี้หากพวกเขาสองคนรู้ว่าเจ้ามีอนาคตไกลแบบนี้ พวกเขาก็คงนอนตายตาหลับ”