ณ โรงเตี๊ยมผิงอานในเมืองโซ่วชุน โคมไฟทอแสงสลัวอย่างเดียวดาย สายฝนโปรยปรายเศร้าสร้อย เสียงนาฬิกาทรายดังแทรกท่ามกลางสายลมโหยหวนกับเสียงฝนคร่ำครวญยิ่งทำให้ยากจะนอนหลับใหล
ลี่หมิงสวมอาภรณ์แล้วลุกจากเตียง เขาปรับโคมไฟบนโต๊ะให้สว่างขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงรินสุราเย็นเฉียบหนึ่งจอกมาจิบอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแตกระแหงพร่ามัวขึ้นอีกหลายส่วน
ในตอนที่เขาคิดจะรินสุราอีกจอกนั่นเอง ภายในห้องอันอบอุ่นก็พลันเย็นเยียบขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แม้แต่หยดน้ำก็ยังดูเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็ง ลี่หมิงตัวสั่นเทา ทว่าดูเหมือนเขาจะมิสังเกตเห็นความผิดปกติแต่อย่างใด เขายังคงรินสุราต่อจนหมดก้นไห ได้สุราข้นคลั่กมาเพียงครึ่งจอก เขายกจอกสุราขึ้นมาแต่มิรีบร้อนจิบน้ำเมรัย กลับเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบว่า “ท่านรอข้าพูดสักสองสามประโยคค่อยลงมือได้หรือไม่”
เสียงเย็นยะเยือกดังตอบมาจากด้านหลัง “ข้ามิรีบร้อน มีสิ่งใดเจ้าค่อยๆ พูด เวลาทั้งหมดก่อนฟ้าสางล้วนเป็นของเจ้า ขอเพียงเจ้ามิคิดจะดิ้นรนเอาชีวิตรอด ข้าก็จะมิลงมือ”
ลี่หมิงหันกลับมา เขาห็นชายหนุ่มดวงหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาแต่เย็นชาดุจน้ำแข็งทำสีหน้าเฉยชายืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตู แม้จะสวมอาภรณ์สีเขียว แต่ท่วงท่าหยิ่งทะนงกลับทำให้คนมิกล้ามองข้ามสง่าราศีของเขา
ลี่หมิงอดหัวเราะออกมามิได้ “ที่แท้ท่านหลี่เงามารก็เดินทางมาจัดการผู้น้อยด้วยตนเอง ผู้แซ่ลี่รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก มิสู้ให้ผู้น้อยสั่งสุราอีกสักไห ร่ำสุรายามค่ำคืนวสันต์เป็นสุขประการหนึ่งในชีวิตมนุษย์ เพียงแต่มิทราบว่าคนต่ำต้อยเช่นผู้น้อยจะได้รับเกียรตินี้หรือไม่”
แววตาของเสี่ยวซุ่นจื่ออ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบว่า “เจ้าย่อมได้รับเกียรตินั้น ผู้ใดอยู่ข้างนอกบ้าง ยกสุราเข้ามา”
หลังจากเสียงคำสั่งของเขา ประตูห้องก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ ลูกจ้างสองคนยกเตาไฟ ถ่านไม้ กาทองแดงขนาดใหญ่กับสุราเลิศรสชั้นเยี่ยมหนึ่งไหเข้ามา พวกเขาจัดวางทั้งหมดริมหน้าต่าง หลังจากนั้นก็คำนับแล้วถอยออกไป
ลี่หมิงม้วนแขนเสื้อเริ่มต้มสุรา เพียงแต่ท่าทางเงอะงะของเขาช่างทำให้คนอับอายอย่างแท้จริง เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นแล้วขัดใจนัก จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้าทำเองเถิด สุราเลิศรสเช่นนี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้า คงกลายเป็นเผาพิณต้มนกกระสา” กล่าวจบก็เริ่มใส่ถ่านอย่างชำนิชำนาญ
ลี่หมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ “หากทราบว่าท่านหลี่จะยอมลดเกียรติมาทำให้ ต่อให้เดิมทีข้าต้มสุราเป็น ตอนนี้ก็คงจะต้มมิเป็นอย่างแน่นอน”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “เจ้าใจกล้านักนะ แต่เห็นแก่ที่เจ้ากำลังจะเดินทางไปปรโลกอยู่แล้ว ข้าจะมิถือสาหาความกับเจ้า”
ลี่หมิงตอบอย่างภาคภูมิใจ “ใต้หล้านี้คนที่ทำให้เงามารต้มเหล้าให้ได้ นอกจากเจียงโหวจะมีอีกสักกี่คน ผู้น้อยได้รับเกียรติที่หาได้ยากยิ่งประการนี้ย่อมใจกล้าขึ้นมาก”
เสี่ยวซุ่นจื่อควบคุมไฟอย่างชำนิชำนาญพลางมองดูสีของสุราในกา ปากกลับเอ่ยว่า “หากเป็นคนทั่วไป ข้าคงมิให้โอกาสเจ้าพูดจาไร้สาระ แต่เจ้าเป็นคนน่าสนใจทีเดียว
จากที่ข้ารู้มา เจ้าเป็นผู้ติดตามของฮั่วจี้เฉิง ต่อมากลายเป็นคนสนิทของเหวยอิง หลังจากฮั่วจี้เฉิงตาย เจ้ายังคอยดูแลบุตรกับภรรยาของเขาดุจดังเดิม จวบจนกระทั่งฮั่วฮูหยินจากโลกและฮั่วฉงหายตัวไป เจ้าถึงเดินทางออกจากฉางอัน เรียกได้ว่าทำหน้าที่จนถึงที่สุด
หลังจากเหวยอิงตาย เจ้าก็ทำตามคำสั่งเสียของเขา ไปส่งมอบกระบี่ที่ปาจวิ้นก่อน ต่อจากนั้นจึงไปบีบบังคับฮั่วฉงที่ไหวซี หมายจะทำร้ายคุณชายของข้า
เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าสองเรื่องนี้มิว่าเรื่องใดก็ล้วนทำให้เจ้าถูกป่นกระดูกเป็นผุยผงได้ แต่เจ้ากลับยังกล้าทำ ฮั่วจี้เฉิง เหวยอิงล้วนมิใช่ยอดวีรบุรุษอะไร พวกเขาต่างหลอกใช้เจ้ามากกว่าจะมีบุญคุณ เหตุใดเจ้ายังต้องจงรักภักดีต่อพวกเขาอย่างมิสนใจความเป็นความตายด้วยเล่า” กล่าวจบ เขาก็รินสุราเลิศรสที่อุ่นร้อนจอกหนึ่งส่งให้ลี่หมิง
ลี่หมิงรับจอกสุรามาดื่มหมดในรวดเดียวแล้วตอบว่า “ผู้แซ่ลี่เป็นบุตรหลานตระกูลสาขาของตระกูลลี่แห่งแคว้นสู่ ข้าเกิดมาโง่เขลา บิดามารดาจากไปเร็ว แม้แต่ลูกหลานของตระกูลที่ใช้แซ่อื่นก็ยังกล้ารังแกข้า ผู้อื่นดูถูกข้า มีเพียงศิษย์พี่ฮั่วที่เก็บข้ามาดูแลข้างกาย แม้ส่วนมากเขาจะเอาแต่บงการข้าให้ทำงานจิปาถะสารพัดให้ แต่ยามปกติก็ชี้แนะวรยุทธ์ให้ข้าด้วย นับว่าเขาดีต่อข้าไม่น้อย
ต่อมาเขาออกจากสำนัก ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ข้าคิดว่าตนเองอยู่ที่ตระกูลลี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอีกแล้วจึงติดตามเขาไปด้วย แต่วรยุทธ์ของข้าอ่อนด้อย เขาจึงมิเห็นค่า ให้ข้าเป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าผ่านไปไม่นานเขาก็รู้จักกับฮูหยิน ฮูหยินเป็นบุตรีของตระกูลใหญ่ แต่เพราะภัยสงครามจึงถูกบีบให้หลบลี้หนีภัยมาอยู่ในชนบท ศิษย์พี่ฮั่วบอกว่าฮูหยินเหมือนภรรยาที่ยังมิทันเข้าพิธีที่เขาทอดทิ้งมายิ่งนัก ดังนั้นจึงใช้กำลังบังคับตบแต่งฮูหยินเป็นภรรยา
เวลานั้นกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมากขึ้นทุกที ฮูหยินเพิ่งคลอดคุณชาย ร่างกายมิค่อยแข็งแรงนัก ศิษย์พี่ฮั่วจึงให้ข้าแสร้งตาย หลายจากนั้นให้ข้าพาฮูหยินกับคุณชายมาส่งยังที่ซ่อนตัวในฉางอัน นับจากนั้นเป็นต้นมาข้าก็อยู่ที่ฉางอันดูแลฮูหยินกับคุณชาย
ปีนั้นตอนที่ศิษย์พี่ฮั่วกับรัชทายาทหลี่อันร่วมมือกัน เขาเคยลอบมาพบฮูหยิน แต่ต่อมาจู่ๆ ก็เงียบหายไร้ข่าวคราว แม้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะยังโลดแล่นอยู่ในยุทธภพ แต่ข้ากับฮูหยินต่างทราบว่าเขาตายแล้ว ผ่านไปมินานฮูหยินก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ความจริงตั้งแต่วันที่มาถึงฉางอัน ฮูหยินก็ป่วยออดแอดมาตลอด หลังจากนางสิ้นใจ ข้าจึงช่วยคุณชายน้อยทำพิธีศพให้กับฮูหยิน เดิมทีคิดจะพาคุณชายน้อยกลับมาที่สู่จง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ เขากลับหายตัวไป หลังจากนั้นข้ามิได้ออกตามหาเขาอีก ฮั่วฉงฉลาดยิ่งนัก ข้าคิดว่าเขาจะต้องคิดดีแล้วว่าสมควรจะทำสิ่งใด”
เสี่ยวซุ่นจื่อรินสุราอีกหนึ่งจอก หนนี้กลับดื่มเองแล้วพูดว่า “ฮั่วจี้เฉิงสันดานเป็นคนใจจืดใจดำ เขาเพียงเห็นเจ้าเป็นบ่าว แต่มิกลัวเจ้าทรยศเขา จึงฝากภรรยากับบุตรชายไว้กับเจ้า หากถึงเวลาจำเป็นเขาคงมิลังเลแม้แต่น้อยที่จะเสียสละเจ้า เจ้าทำให้เขาจนถึงขั้นนี้ นับว่ามีคุณธรรมน้ำมิตรจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ”
ลี่หมิงรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก หลังจากดื่มลงไป ใบหน้าก็มีริ้วสีแดงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ข้ามิมีความสามารถประการใด ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ฮั่วบอกอะไร ข้าก็ทำสิ่งนั้น หลังจากศิษย์พี่ฮั่วตาย ข้าก็ท่องยุทธภพเพียงลำพัง ชีวิตยากลำบากอย่างยิ่ง จนต่อมาตกต่ำกลายเป็นโจร แต่ข้าใจมิเหี้ยมพอจึงมักเสียท่าอยู่เสมอ หากมิปล่อยแพะอ้วนหลุดมือก็ถูกผู้อื่นข่มเหงเป็นประจำ โชคยังดีสมัยก่อนศิษย์พี่ฮั่วคอยเคี่ยวเข็ญ วรยุทธ์ของข้าจึงยังพอไปวัดไปวา กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดมาได้
ต่อมามีหนหนึ่งข้าถูกคนลอบเล่นงานแล้วได้เจ้าตำหนักช่วยเอาไว้ เขาเห็นว่าข้าเป็นคนซื่อตรง จึงให้ข้าติดตามข้างกายเขา หากกล่าวถึงวรยุทธ์และความสามารถ ในตำหนักเฉินมีคนที่เหนือกว่าข้ามากมาย แต่เจ้าตำหนักเฉินกลับให้ข้ามาเป็นคนสนิท มอบหมายงานมากมายให้ข้าทำ แม้จะมีข้อผิดพลาดอันใด เจ้าตำหนักก็มักจะปิดบังให้ผ่านไปเสมอ เจ้าตำหนักปกครองลูกน้องอย่างเข้มงวดยิ่งนัก หากเป็นผู้อื่นทำพลาด เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะถูกลงโทษอย่างหนัก แต่เขากลับปล่อยข้าให้รอดเสมอ บุญคุณนี้ข้ามิอาจลืมชั่วชีวิต
หนนี้ตอนเขาจะเดินทางไปหนานหมิ่น เขาบอกกับข้าว่าเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว ก่อนออกเดินทางเขาไหว้วานข้าให้ทำงานสองชิ้น งานที่หนึ่งให้นำกระบี่คู่กายกับจดหมายที่แม่ทัพใหญ่ทิ้งไว้ไปส่งให้ถึงมือแม่ทัพอวี๋ เจ้าตำหนักกล่าวว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด ข้าจะต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ หากทำเรื่องนี้เสร็จแล้วก็ให้ข้าตามหาคุณชายฮั่ว บังคับให้เขาลอบสังหารเจียงโหว
แต่เดิมข้ากังวลใจยิ่งนักว่าจะทำให้คุณชายฮั่วเคราะห์ร้ายไปด้วย แต่ข้าตอบแทนบุญคุณของศิษย์พี่ฮั่วแล้ว ทว่าข้ายังมิตอบแทนบุญคุณของเจ้าตำหนัก จึงทำได้เพียงรับปาก วันนั้นคำพูดที่ข้าใช้ขู่บังคับคุณชายฮั่วเป็นคำพูดที่เจ้าตำหนักให้ข้าท่องมา มีประโยชน์มากยิ่งนักจริงๆ”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายคมปลาบ กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อข้าล่วงรู้เรื่องนี้ มิเพียงฮั่วฉงที่ต้องตาย แม้แต่เจ้าก็หนีการไล่ล่าของข้าไปมิพ้น คุณชายของข้าเป็นผู้ใด จะปล่อยให้คนเช่นเจ้ามาวางแผนร้ายลอบเล่นงานได้หรือ”
ดวงตาของลี่หมิงฉายแววหม่นหมอง กล่าวว่า “เจ้าตำหนักบอกว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จหกส่วน ยามนี้ในเมื่อท่านหลี่เดินทางมาที่นี่ ถ้าเช่นนั้นการวางยาพิษก็คงล้มเหลวแล้ว แต่เจ้าตำหนักบอกอีกว่าต่อให้คุณชายฮั่วลงมือพลาด เจียงโหวก็มิแน่ว่าจะสังหารเขา เจ้าตำหนักบอกว่าแม้เจียงโหวจะอำมหิต แต่บางครั้งก็ใจอ่อนดุจสตรีอยู่บ้าง มิเช่นนั้นสองแคว้นทำศึกกัน เรื่องอย่างการทำให้แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรูตายเช่นนี้ ยังจะต้องมาคำนึงถึงสายสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อันใดอีก
เจ้าตำหนักเคยบอกอีกว่ามิว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ข้าล้วนมิอาจมีชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้นหากข้ามิยินดีทำ เขาก็จะมิทำให้ข้าลำบากใจ แต่ข้าคิดมาคิดไป ก็ยังรู้สึกว่าจะผิดต่อความเชื่อใจของเจ้าตำหนักมิได้ ดังนั้นจึงรับปาก มิทราบว่าตอนนี้คุณชายฮั่วตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่”
แววตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายวูบไหวอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยว่า “ยาพิษนั่นร้ายแรงก็จริง แต่ปิดบังดวงตาของคุณชายมิพ้น ฮั่วฉงยังมิตาย คุณชายมิได้สังหารเขา จะว่าไปแล้วข้าก็นับถือแผนการของเหวยอิงจริงๆ ยุยงฮั่วฉงให้ลอบสังหารคุณชาย หากสำเร็จย่อมดีที่สุด แต่หากมิสำเร็จ ให้ลูกศิษย์มาทำร้ายคุณชาย เขาก็บรรลุเป้าหมายเฉกเช่นเดียวกัน”