ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 137 แก้แค้นถึงเมื่อใดจึงพอ (6)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ลี่หมิงตกตะลึง “ท่านก็รู้หรือว่าเจ้าตำหนักคิดเช่นนี้ วันนั้นข้าบอกเจ้าตำหนักว่า เด็กหนุ่มข้างกายเจียงโหวคือบุตรชายแท้ๆ ของท่านหัวหน้าฮั่ว เจ้าตำหนักครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานกว่าจะคิดวิธีการนี้ออกมาได้

เขาบอกว่าเจียงโหวชีพจรหัวใจอ่อนแอเป็นที่สุด ในอดีตเขาเคยเกือบตายแต่รอดมาได้ หนนี้ตอนที่เห็นเจียงโหวเซ่นไหว้แม่ทัพใหญ่ เจ้าตำหนักก็มองออกว่าชีพจรหัวใจของเขาบาดเจ็บหนักอีกหนแล้ว เจ็ดอารมณ์ทำร้ายผู้คน นับแต่โบราณเป็นเช่นนี้เสมอ ดังนั้นเจ้าตำหนักจึงมิหวังว่าคุณชายฮั่วจะลงมือสำเร็จ ขอเพียงเจียงเจ๋อทราบว่าศิษย์รักของตนตั้งใจจะลอบสังหารเขา อาการป่วยจะต้องหนักขึ้นเป็นแน่ แม้จะทำอันตรายชีวิตของเจียงโหวมิได้ แต่อย่างน้อยก็แย่งชิงอายุขัยของเขามาได้สักสิบปี

เจ้าตำหนักยังบอกอีกว่าแผนการนี้ให้ใช้หลังจากเขาตายไปแล้วจะดีที่สุด เจียงโหวเป็นคนความคิดละเอียดถี่ถ้วน ขอเพียงเจ้าตำหนักยังมีชีวิตอยู่บนโลกวันหนึ่ง เขาย่อมมิผ่อนปรนการเฝ้าจับตาดูตำหนักเฉิน แต่หลังจากเจ้าตำหนักตายแล้ว เรื่องราวย่อมต่างออกไป คนมอดม้วยดุจโคมมอดสิ้น ผู้ใดจะคอยระวังคนตายคนหนึ่ง ดังนั้นให้ข้าจัดการเรื่องที่ปาจวิ้นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยลงมือ”

ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววเวทนาแต่ก็มีความนับถืออยู่เสี้ยวหนึ่ง เขากล่าวขึ้นมาว่า “เหวยอิงช่างเก่งกาจเสียจริง ตายไปแล้วยังทิ้งแผนการไว้อีก คุณชายเองก็คงคิดมิถึงว่าแม้แต่ความตายก็มิอาจสลายความแค้นในหัวใจของเหวยอิง”

ลี่หมิงได้ยินก็ยิ้มกว้าง สีหน้าเรียบเฉยบนใบหน้าจางลงไปหลายส่วน สิ่งที่เพิ่มมาคือความฮึกเหิมเล็กน้อย เขารินสุราดื่มอีกจอกแล้วกล่าวว่า “ได้รับคำชื่นชมจากเงามาร เจ้าตำหนักก็นับว่ามิได้ตายอย่างไร้ค่าแล้ว ตัวข้าเองก็คงมิต้องลำบากท่านลงมือ ตัวตนของฮั่วฉง ข้ามิเคยบอกผู้อื่น ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ท่านก็บอกเขาสักคำ มิว่าอย่างไรเริ่มแรกข้าก็เคยติดค้างบุญคุณของศิษย์พี่ฮั่ว ย่อมต้องเหลือทางรอดสายหนึ่งไว้ให้เขา มิเช่นนั้นต่อให้เจียงโหวมิอยากสังหารเขา คู่แค้นของหัวหน้าฮั่วก็คงมิละเว้นเขาอย่างแน่นอน” พูดมาถึงประโยคสุดท้าย เสียงขาก็ค่อยๆ แผ่วเบา ใบหน้าเริ่มดำคล้ำ

เสี่ยวซุ่นจื่อแววตาเย็นยะเยือก เดินไปข้างตัวเขาแล้วจับชีพจร ในใจทราบแล้วว่าคนผู้นี้กินยาพิษเข้าไปตั้งแต่หลังจากเห็นตนเองแล้ว แต่ตอนนี้ยาพิษเพิ่งออกฤทธิ์เพื่อคร่าชีวิตเขา เมื่อครู่เขาร่ำสุราจนสาแก่ใจน่าจะเป็นเพราะต้องการเร่งยาพิษให้ออกฤทธิ์เร็วขึ้นสักหน่อย ยาพิษชนิดนี้เขาก็รู้จักอยู่บ้าง ตอนออกฤทธิ์จะทรมานพอสมควรทีเดียว แต่ภายนอกจะมิมีสัญญาณแสดงให้เห็น รอจนกระทั่งมีอาการให้สังเกตเห็นก็มิอาจช่วยได้แล้ว

เขาถอนหายใจอย่างห้ามมิได้ “ยังเหลือเวลาตั้งนานกว่าฟ้าจะสาง ไฉนเจ้าจึงรีบร้อนตายจากไปเช่นนี้เล่า”

ลี่หมิงตอบอย่างยากลำบาก “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ข้ากลัวความตาย แล้วก็กลัวถูกคนหยามเกียรติ ดังนั้นจึงขอยาพิษสำหรับปลิดชีพตนเองจากเจ้าตำหนักมาก่อนแล้ว พอเห็นท่านหลี่มาโซ่วชุนด้วยตนเอง ในใจข้าหวาดกลัวยิ่งนักจึงกินยาพิษเข้าไปล่วงหน้า หากรู้ก่อนว่าท่านหลี่จะอ่อนโยนเช่นนี้ ข้าคงรอฟ้าสางแล้วค่อยตาย”

เสี่ยวซุ่นจื่อถามอย่างร้อนใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าลู่เฟิงอยู่ที่ใด คุณชายของข้าทราบว่าเขาอยู่ในมือเหวยอิง”

ดวงตาของลี่หมิงเผยแววตากระจ่างแจ้งออกมา ก่อนจะฝืนตอบว่า “เพราะต้องการถามเรื่องนี้เองหรือ เจ้าตำหนักให้เขาไปอาศัยที่บึงมังกรพิษ หลังจากเจ้าตำหนักตาย ข้าเคยเดินทางไปตามหาเขา แต่เขามิอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ว่าน่าจะยังมิตาย” สองสามคำสุดท้ายแทบจะฟังมิได้ยิน แววตาลี่หมิงค่อยๆ หม่นแสงลงทุกที

เสี่ยวซุ่นจื่อทราบว่าคงถามสิ่งใดมิได้อีกแล้วจึงถอนหายใจ “เชิญท่านร่ำสุราหมดจอก ถึงคราออกเดินทางสู่ปรโลกพบหมู่มิตร เจ้าก็นับว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง จากไปอย่างสบงบเถิด” เสี่ยวซุ่นจื่อมิต้องการเห็นลี่หมิงทรมานอีกต่อไปจึงจี้ดัชนีสะบั้นชีพจรหัวใจของเขา ลมหายใจของลี่หมิงหยุดลงในที่สุด บนใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวยังมีรอยยิ้มน้อยๆ

เสี่ยวซุ่นจื่อคิดในใจ แม้ความสามารถของคนผู้นี้จะอยู่ในขั้นธรรมดา แต่เขากลับซื่อตรงภักดี มิแปลกที่จะได้รับความไว้วางใจจากเหวยอิงจนเขาฝากฝังเรื่องราวหลังสิ้นใจไว้ให้ พอคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็เกิดความเวทนา หากเขาทราบว่าแผนการของเหวยอิงล้มเหลว น่ากลัวว่าก่อนตายคงโทษตนเองมิหยุด ตนมาเพื่อถอนรากถอนโคนศัตรูและเพื่อสืบว่ายังมีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนของฮั่วฉงอยู่อีกหรือไม่ ดังนั้นจึงมิได้บอกความจริงกับลี่หมิง แม้จะมาเสียเที่ยวเปล่า แต่ทำให้เขาจากไปอย่างสงบได้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

พอจัดการเรื่องที่ต้องทำเสร็จแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อก็นึกย้อนกลับไป เขารู้สึกว่าโชคดียิ่งนัก แผนการทิ้งทวนของเหวยอิงโหดเหี้ยมอย่างยิ่งจริงๆ หากฮั่วฉงมิได้คิดตกด้วยตนเองก่อน เจียงเจ๋อก็คงถูกบีบให้เผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมศิษย์อาจารย์เข่นฆ่ากันเองจริงๆ

หากเป็นก่อนหน้านี้ก็คงมิเป็นอันใด แต่ยามนี้ดันเป็นตอนที่ชีพจรหัวใจของเจียงเจ๋อบาดเจ็บหนักซ้ำสองอยู่ นับว่าเป็นการฉวยโอกาสยามผู้อื่นล้มป่วยเอาชีวิตเขาอย่างแท้จริง

วิธีการซ้ำเติมเคราะห์ร้ายของผู้อื่นเช่นนี้ หากทำสำเร็จ ต่อให้คุณชายมิตายก็คงชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง อายุขัยลดทอนไปสิบปี นับว่าเหวยอิงคาดการณ์ไว้น้อยแล้ว

เสี่ยวซุ่นจื่อถอนหายใจเดินออกมาจากห้องพัก พอเห็นลูกจ้างของโรงเตี๊ยมสองคนยังรอคำสั่งอยู่ที่โถงทางเดินจึงสั่งเรียบๆ “พวกเจ้าจัดการฝังศพคนผู้นี้ให้ดี” กล่าวจบร่างก็หายลับไปกับสายฝน เพียงพริบตาเดียวก็หายตัวไป สองคนนั้นมองหน้ากัน ในใจต่างสงสัยว่าคนที่เห็นใช่ภูตผีหรือไม่

เสี่ยวซุ่นจื่อมิอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบเร่งเดินทางข้ามคืนกลับสวีโจว มิว่าข้างกายเจียงเจ๋อจะมียอดฝีมือคอยคุ้มกันมากเท่าใด หากเขามิอยู่ข้างกาย เขาก็มักจะวางใจมิลงอยู่เสมอ

ระหว่างที่วิ่งอยู่ จู่ๆ เขาก็หวนนึกถึงครั้งที่ติดตามคุณชายเดินทางไปคารวะประมุขพรรคมารเมื่อหกปีก่อน จิงอู๋จี๋เคยบอกกับตนว่า ปรารถนาบรรลุมรรคา ต้องปล่อยวางเสียก่อน หากตนมิอาจปล่อยวางห่วงในใจ สุดท้ายก็เป็นได้เพียงกบก้นบ่อเท่านั้น

แม้ในใจรู้สึกมิอยากยอมรับ แต่เมื่อนึกขึ้นว่าพลังภายอันลึกล้ำสุดประมาณ มากมายมหาศาลดั่งมหาสมุทรของจิงอู๋จี๋ก้าวหน้ากว่ายามพบพานกลางทางเมื่อปีนั้นมากตั้งมิรู้กี่เท่า ก็เชื่อว่าการละทิ้งการแย่งชิงในโลกคงเป็นสาเหตุ

เสี่ยวซุ่นจื่อใช้วิชาตัวเบา ร่างกายประหนึ่งเม็ดฝุ่นลอยละล่องตามสายลม พริบตาเดียวก็เหินผ่านชานเมืองรกร้างระยะทางร้อยจั้ง เขายิ้มน้อยๆ หากมิมีคนผู้นั้น จะปล่อยวางทุกสิ่งก็คงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ตนยังตัดใจมิลงอย่างแน่นอน

หนทางหลายร้อยลี้ สำหรับเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วธรรมดายิ่งนัก ฟ้ายังมิทันสางเขาก็เดินทางมาถึงนอกสวนผลึกหยก ทว่าเมื่อเพ่งสายตามองกลับเห็นองครักษ์มากมายยื่นศีรษะชะเง้อคอกันอยู่ตรงประตู บางคนสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนท่าทางร้อนรนยิ่งนัก เสี่ยวซุ่นจื่อประหลาดใจ ตนเองจากไปเพียงวันเดียวก็มีเรื่องพิลึกอันใดเกิดขึ้นแล้วหรือ

ในใจเต็มไปด้วยความฉงน แต่เมื่อแน่ใจว่าไม่มีบรรยากาศโศกเศร้า หรือเจ็บแค้นเสียใจ เสี่ยวซุ่นจื่อก็วางความกังวลลงเล็กน้อย เขาเดินมาถึงประตูก็ถามองครักษ์ทั้งหลายเสียงเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าวิ่งออกมากันหมด เกิดปล่อยมือสังหารปะปนเข้าไปเล่า พวกเจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”

ทุกคนตาลายวูบเดียวก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อมายืนมือไพล่หลังอยู่หน้าประตูแล้ว ราชองครักษ์หู่จีที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงคนหนึ่งรีบเข้ามารายงานหน้าเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างตระหนกลนลาน “ท่านหลี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว คุณชายฮั่วสั่งว่าหากท่านหลี่กลับมาถึง ขอให้ท่านช่วยไปเกลี้ยกล่อมท่านโหวด้วย”

เสี่ยวซุ่นจื่อตกตะลึงวูบหนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้าเร็วไวเข้าไปในสวนผลึกหยก เขาเห็นว่าองครักษ์ด้านในสวนล้วนถูกไล่ออกมา ในใจก็ขุ่นเคืองยิ่งนัก ฮั่วฉงทำงานรู้เหมาะควรมาตลอด วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาเดินมาถึงหน้าที่พักของเจียงเจ๋อ ทันใดนั้นสายตาก็หยุดนิ่ง

เห็นคนสองคนคุกเข่าอยู่นอกประตู คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเหลืองสว่าง เขาก็คือองค์รัชทายาทหลี่จวิ้น อีกคนหนึ่งสวมเสื้อสีเหลืองแขนเสื้อสีหยก คนผู้นั้นก็คือโหรวหลัน

ในใจเสี่ยวซุ่นจื่อเข้าใจโดยพลัน มิน่าฮั่วฉงถึงไล่ทุกคนออกไป ภาพเช่นนี้หากปล่อยให้ผู้อื่นเห็น มิเพียงรัชทายาทจะเสียหน้าหมดสิ้น แม้แต่คุณชายก็คงยากเลี่ยงเรื่องยุ่งยากที่จะตามมา

เขาเดินมาถึงด้านหลังของทั้งสองคนแล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “องค์รัชทายาท โหรวหลัน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไฉนมิใช่ผิดจารีตประเพณี”

ทั้งสองคนได้ยินเสียงของเสี่ยวงซุ่นจื่อก็ราวกับได้ยินเสียงราชโองการของจักรพรรดิ โหรวหลันลุกขึ้นมายืนคนแรก แต่ดูเหมือนเพราะคุกเข่านานเกินไป ขาจึงอ่อนแรงเล็กน้อยเกือบจะล้มคว่ำลงกับพื้น ทว่าหลี่จวิ้นประคองเอาไว้ก่อน ทั้งสองคนหันกลับมา โหรวหลันเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อพลันน้ำตาพรั่งพรูดุจน้ำพุ ร้องไห้โฮเสียงดังลั่น จากนั้นก็โถมเข้ามาในอ้อมแขนของเสี่ยวซุ่นจื่อสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “อาซุ่น ท่านรักหลันเอ๋อร์ที่สุดมาตลอด ท่านไปขอร้องท่านพ่อได้หรือไม่ หลันเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานกับพี่ฮั่ว”

ตอนนี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อเพิ่งนึกออกว่าเมื่อหลายวันก่อนเจียงเจ๋อเคยเปรยเรื่องจะให้โหรวหลันหมั้นหมายกับฮั่วฉง แต่ฮั่วฉงถ่วงเวลาคุณชายไว้ชั่วคราวแล้วมิใช่หรือ เหตุไฉนตอนนี้สองคนนี้จึงรู้เรื่องแล้วเล่า

หลี่จวิ้นเห็นความสงสัยบนใบหน้าของเขาจึงบอกอย่างกระอักกระอ่วน “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าได้รับจดหมายจากฮั่วฉงแล้วอดรนทนมิไหวจึงเดินทางข้ามคืนมาจากฉู่โจว ต้องการขอร้องอาเขยให้หมั้นหมายหลันเอ๋อร์กับข้า แต่อาเขยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แล้วยังสั่งให้ข้ากลับฉู่โจวทันที ข้า ข้ามิทันคิดให้ดี จึงคุกเข่าหน้าประตูห้องของอาเขย ปรากฏว่าหลันเอ๋อร์รู้เรื่องเข้า นางจึงมาขอร้องด้วย แต่อาเขยก็มิยอมรับปาก”

ตลอดเวลาที่ผ่านมายามอยู่ต่อหน้าเสี่ยวซุ่นจื่อ หลี่จวิ้นมิเคยกล้าวางท่าเป็นองค์รัชทายาท มิรู้ว่าเขาคิดไว้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ว่าสักวันจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น